ภาคที่ 2 บทที่ 88 สมรู้ร่วมคิด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 88 สมรู้ร่วมคิด

ซูเฉินพบหน้าจางเทียนเยว่อีกครั้งในตอนกลางวัน

ครั้งนี้มีคนมาด้วยอีก 6 คน

จางเทียนเยว่ยืนหัวเราะอยู่หน้าหอพลังต้นกำเนิด “ข้าเองคุณชายซู ข้ามาคุยเรื่องหลานข้าอีกครา พอจะมีเวลาหรือไม่ ?”

ซูเฉินเหลือบมองคนด้านหลังชายวัยกลางคนแล้วเอ่ย “หากท่านมีเรื่องอยากพูดคุยก็คุยที่นี่ได้”

“เหตุใดไม่หาที่ค่อย ๆ นั่งคุยเล่า ?” จางเทียนเยว่ถาม

ซูเฉินส่ายหัว “เราจะคุยกันที่นี่”

จางเทียนเยว่ขมวดคิ้ว คิดหาคำจะเอื้อนเอ่ย หากแต่เจิ้งปาซานกลับโพล่งขึ้นมาไม่รีรอ “เจ้าหนู กลัวเสียแล้วหรือ ? อะไรกัน ? คิดว่าอยู่ในหอพลังต้นกำเนิดของอาจารย์ตนแล้วจะปลอดภัยหรือ ? ฮึ่ม หากกล้าลงมือเหตุใดไม่กล้ารับผิดชอบ อาจารย์เจ้าปกป้องเจ้าไม่ได้หรอก !”

จางเทียนเยว่โกรธเกรี้ยวกับคำเจิ้งปาซานที่เผยเจตนาให้อีกฝ่ายรู้ในพลัน

แม้จะไม่อาจลงมือภายในสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ แต่เขาก็คิดอยากหาสถานที่เงียบสงบคุยเพื่อเพิ่มแรงกดดันซูเฉิน หากคุยกันที่นี่ ซูเฉินก็จะรู้สึกว่าตนมีคนหนุนหลัง

แต่ในเมื่อคำพูดถูกกล่าวออกไปแล้วจึงไม่อาจทำอะไรได้อีก

เมื่อซูเฉินได้ยินคำเจิ้งปาซาน เขาก็เลิกคิ้วแล้วหัวเราะเสียงเย็น “ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”

“พูดอะไรอีกเล่า ? เจ้าหนู เจ้าถูกเปิดโปงแล้ว !” เจิ้งปาซานโห่ร้องเสียงดัง “พวกข้ารู้แล้วว่าเจ้าสังหารเจิ้นขวงและคนอื่น ๆ ยังคิดจะปฏิเสธอีกหรือ ? มากับพวกข้าเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้วพวกข้าจะให้เจ้าตายแบบร่างไม่แยกส่วน !”

ซูเฉินไม่สนนาง หันไปมองคนอื่น ๆ “มีท่านใดอธิบายให้ข้ากระจ่างได้หรือไม่ ?”

จางเทียนเยว่ชื่นชมที่ซูเฉินยังสามารถมีท่าทีสงบนิ่งได้ในสถานการณ์เช่นนี้จากใจจริง

หากแต่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ซูเฉิน เจ้าไม่พอใจเซิ่งอันที่ชิงวานรยักษ์เหล็กกล้าไปจากเจ้า ดังนั้นจึงใช้ยาศิลาวิญญาณกับเขาเพื่อให้โคลนยักษ์เข้าโจมตี ถูกต้องหรือไม่ ?”

“หลักฐานเล่า ?” ซูเฉินโต้กลับ

“จินหลิงเอ้อร์เป็นหลักฐาน” กวนซานเหนียงตอบ

ซูเฉินหัวเราะ “พวกท่านคิดว่าข้าจะบอกเรื่องเช่นนี้กับจินหลิงเอ้อร์หรือ ?”

“เจ้าย่อมไม่บอก แต่จินหลิงเอ้อร์คงจะล่วงรู้ได้เอง เกิดเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ เจ้าคิดว่านางจะไม่ลงมือทำอะไรเลยหรือ ? นางรู้ดีกว่าตระกูลพวกข้าย่อมเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นที่ผ่านมาจึงหาหลักฐานเก็บไว้มาโดยตลอด” กวนซานเหนียงหยิบขวดยาออกมา “นี่คงจะเป็นยาศิลาวิญญาณที่เจ้าใช้ ถูกต้องหรือไม่ ? จินหลิงเอ้อร์เจอมันตกอยู่แถวที่พักของกลุ่มเขาบนเขา และในกลุ่มมีเพียงเจ้าที่เป็นนักปรุงยา…… ฮ่า ๆ เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่ ?”

“จินหลิงเอ้อร์ !”

ซูเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อย

จากนั้นก็หัวเราะเสียงต่ำ “สุดท้ายก็พึ่งไม่ได้”

“ยอมรับแล้วสินะ ?” จางเทียนเยว่เอ่ย

ซูเฉินหัวเราะเสียงหยัน “ข้ายอมรับหรือไม่ ไม่สำคัญ สำคัญที่พวกท่านจะใช้ขวดยาเปล่านี่กล่าวหาข้าได้หรือ ? พวกท่านไร้หลักฐานชี้ตัวว่ายาขวดนี้เป็นของข้า อาจจะมีคนอื่นนำไปวางไว้เพื่อใส่ความพวกข้าก็เป็นได้ หลักฐานเท่านี้ไม่เพียงพอให้สถาบันมังกรซ่อนเร้นเชื่อได้หรอก”

“เจ้าพูดไม่ผิด แต่เท่านี้พวกข้าก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือเจ้า” จางเทียนเยว่เอ่ยเสียงชั่วร้าย “เมื่อรู้คนบงการแล้ว เจ้ายังคิดว่าจะหนีพ้นหรือ ?”

“หรือเจ้าคิดจะหดหัวอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นไปตลอดชีวิต ?” หงหมิงเอ่ยขึ้นบ้าง

ถูกต้องแล้ว

หากหลักฐานไม่แน่นพอ สถาบันมังกรซ่อนเร้นก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้ แต่ 6 ตระกูลไม่ปล่อยเขาไว้แน่

สถานการณ์ในครั้งนี้ต่างจากเรื่องครั้งก่อนที่ซูเฉินเคยเกี่ยวพันมาก

ทั้ง 6 ตระกูลอาจยอมรออยู่สถาบันมังกรซ่อนเร้นเป็นร้อยปีเพื่อล้างแค้น

ได้ยินแล้ว กระทั่งซูเฉินยังอดถอนใจไม่ได้ “โชคไม่ดีจริง ข้าคิดว่าแผนการออกมาไร้ที่ติแล้วเสียอีก แต่ดูท่าสุดท้ายข้าก็คงไม่รอด ข้ายังมีทางรอดเหลืออยู่หรือไม่ ?”

ในที่สุดมันก็ยอมสารภาพแล้วหรือ ?

ทุกคนต่างพากันกรีดร้องอยู่ภายใน

จางเทียนเยว่เอ่ย “ซูเฉิน หากเจ้าออกจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นไปพร้อมพวกข้า ข้าจะให้เจ้าได้ตายโดยเร็ว แต่หากเสียเวลาไปมากกว่านี้ ข้าไม่อาจบอกได้ว่าการตายของเจ้าจะทรมานถึงเพียงไหน”

“เป็นเช่นนี้” ซูเฉินเอียงหัวแล้วทำท่าคุ่นคิด จากนั้นพลันเอ่ย “ข้ารู้ว่าข้าทำผิดไป แต่จ้าพอจะซื้อชีวิตตนเองได้หรือไม่ ?”

“ซื้อหรือ ? จะเอาสิ่งใดมาแลกกัน ? เจ้าคิดว่าเจ้ามีทรัพย์มากกว่า 6 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงหรือ ?” เจียงเทาหัวเราะ

“วิธีทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไร้สายเลือดเป็นไร ? ข้าว่าพวกท่านน่าจะชอบ”

————————————————

เมื่อจางเทียนเยว่และคนอื่น ๆ จากไป พวกเขาก็จากไปพร้อมกับความตกตะลึงกับคำของซูเฉิน

เมื่อกลับมายังหอพลังต้นกำเนิด ซูเฉินก็เห็นว่าอวิ๋นเป้านั่งรอเขาอยู่ด้านใน

“เรียบร้อยแล้วหรือ ?” เขาถาม

ซูเฉินพยักหน้า “อืม พวกนั้นบอกราวว่า ‘เรื่องนี้ม่ใช่เรื่องเล็ก’ ‘เราไม่อาจตัดสินใจเองได้’ ‘เราต้องกลับไปรายงานสียก่อน ‘มีเพียงผู้นำตระกูลเท่านั้นที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ได้’ ”

อวิ๋นเป้าหัวเราะเสียดสี “ก็วางท่าไปอย่างนั้น ครั้งหน้ามาถึงก็จะทำทีเป็นกล่าวว่าผู้นำตระกูลตอบตกลง หากแต่ข้อแรก พวกเขาจำต้องพิสูจน์ก่อนว่าวิชาเป็นของจริงหรือไม่ ข้อสอง เจ้าไม่อาจแอบขายมันให้ผู้อื่น ภายนอกดูเหมือนเรื่องราวจบลง แต่สุดท้ายก็จะส่งคนมาสังหารเจ้าอยู่ดี แทนที่จะล้างแค้น กลับกลายเป็นการลอบสังหารเสียมากกว่า”

“หากบีบให้พวกเขาจ้องสังหารข้าเพียงคนเดียวได้ก็นับว่าดีมากพอแล้ว” ซูเฉินถอนหายใจ “หากไม่อาจลงมืออย่างเปิดเผยได้ก็จะเสียประโยชน์ไป ไม่อาจลงมือกับข้าได้อย่างโจ่งแจ้ง ดังนั้นกำลังจึงมีกำจัดเช่นกัน”

“แต่เจ้าเพิ่งจะอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณ คิดจัดการเจ้าไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งนักกระมัง”

“หากข้าบอกว่าหากต้องการข้าสามารถทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตในอีกหนึ่งเดือนเล่า ? เจ้าเชื่อหรือไม่ ?”

อวิ๋นเป้าส่ายหัว “เจ้ายังไม่ได้คิดวิธีเช่นนั้นออกมา”

“คิดไว้แล้วว่าเจ้าต้องไม่เชื่อ” ซูเฉินยักไหล่

หากดูจากอัตราการดูดซับพลังที่ได้นัยน์ตาที่มองเห็นพลังต้นกำเนิดของเขาช่วยเหลือในตอนนี้ คงไม่ยากเกินไปหากจะขึ้นสูงจุดสูงสุดของด่านก่อเกิดลมปราณ

หากแต่ตอนนี้เป็นการก่อฐาน เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเช่นนั้น

อีกทั้งหากพลังอยู่ที่ด่านก่อเกิดลมปราณไม่ได้หมายความว่าตัวเขาไม่อาจแข็งแกร่งขึ้นได้ ตั้งแต่เริ่มแรก ตอนที่ฉือไคฮวงรับมือกับแรดทลายค่าย เขาเคยพูดไว้ว่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านก่อเกิดลมปราณเองก็สามารถก้าวถึงขั้นนี้ได้ อีกทั้งตัวเขาเองยังอยู่ห่างไกลจากระดับนั้นมาก

หากต้องการทำการใหญ่จำต้องก้าวทีละก้าว สถาบันมังกรซ่อนเร้นมีศิษย์ไม่โดดเด่นหากแต่มีฝีมืออยู่มากมาย ซูเฉินไม่รู้ว่าจะมีใครทำสิ่งที่ฉือไคฮวงเคยบอกไว้สำเร็จมาก่อนหรือไม่ หากแต่ก่อนจะทะลวงสู่ด่านก่อเกิดลมปราณ เขาไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนเพิ่มพื้นฐานการบ่มเพาะพลังของตนเอง

เป็นตอนนั้นเองที่อวิ๋นเป้าถาม “จะแจ้งให้ตระกูลจูรู้ดีหรือไม่ ? เจ้าคิดว่าพวกนั้นจะตกหลุมพรางของเราหรือไม่ ?”

ซูเฉินตอบ “จะตกหรือไม่ไม่สำคัญ สำคัญคือพวกเขาไม่อาจปล่อยให้ตำราเล่มนี้หลุดไปยังมือผู้อื่นได้หากต้องการกุมอำนาจเหนือตำราเปิดพลังไคฮวง นับเป็นการสมรู้ร่วมคิด เพราะถึงอีกฝ่ายจะรู้เรื่องแต่ก็ยังต้องเล่นไปตามน้ำ”

พูดถึงตรงนั้นแล้วซูเฉินพลันหัวเราะ “สมัยข้ายังเล็กเคยฟังนิทานมามาก ครั้งหนึ่งนักเล่านิทานเล่าเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดกลุ่มใหญ่ที่ต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงตำราลับเล่มหนึ่ง ตอนนี้สถานการณ์ของเราอาจฟังดูคล้ายกัน หากแต่เป้าหมายของคนทั้งหมดไม่เพียงการได้มาซึ่งตำรา หากแต่เป็นการยับยั้งการเผยแพร่ของตำราลับเล่มนั้นด้วย…”

“ไม่นานพวกเขาจะรู้ว่าสองอย่างนี้แตกต่างกันอย่างเส้นเชิง ข้าไม่อาจชิงตำราลับจากคนอื่นได้ แต่หากพวกเขาต้องการไม่ให้ตำราลับเผยแพร่ออกไปนับว่าทำได้ยาก พวกเขาคิดจริง ๆ หรือว่าหากสามารถปลดประกาศขายในเครือข่ายแดนฝันได้แล้วข้าจะไร้ทางไป ? ฮ่า ๆ โง่เง่านัก ! หากขายในแดนฝันไม่ได้ ในโลกจริงก็ขายไม่ได้หรือไร ?”

อวิ๋นเป้าหัวเราะ “เพราะพวกเขาไม่ใช่เจ้า ไม่อาจเข้าใจความคิดเจ้าได้ คนเห็นแก่ตัวย่อมมองผู้อื่นว่าเห็นแก่ตัวเช่นตนเอง”