บทที่ 87 รวมตัว
1 ชั่วยามต่อมา
จางเทียนเยว่กำลังยืนอยู่บนเนินเขาเล็กทางทิศใต้ของสถาบันมังกรซ่อนเร้น มือทั้งสองไพล่หลัง โดยมีซินหยวนยืนอยู่ด้านหลัง
ชายหนุ่มแบกดาบผู้หนึ่งเผยกายขึ้น กำลังย่างกรายขึ้นเนินเขาเล็ก
เขาไม่ได้เดินเร็วนัก หากแต่ละย่างก้าวของเขานั้นราวกับย่นระยะได้ไกลนัก เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็เดินมาข้างจางเทียนเยว่ “หวังโต้วซานหัวดื้อนัก ข้าไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย”
เขาพูดแล้วก็เดินไปเอนหลังพิงต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกล
จางเทียนเยว่ขมวดคิ้ว กำลังจะเอ่ยปาก หากแต่ได้ยินอีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียก่อน “ไม่แปลก หากเจ้าจงฉือซื่อ สามารถเค้นเอาข้อมูลสำคัญจากปากมันได้ก็ไม่ใช่ฉือซื่อ (1) แล้ว เจ้ามาสังหารคน ไม่ใช่มาเค้นคอคน”
จงฉือซื่อไม่ใส่ใจ จางเทียนเยว่จึงเอ่ยขึ้น “พอแล้วหงหมิง พูดให้น้อย อย่าไปล่วงเกินเขา”
คนตัวเตี้ยคนหนึ่งกระโดดลงมาจากยอดไม้ คือหงหมิงตระกูลจักจั่นทอง ลุงสี่ของหงอู่
เมื่อเท้าแตะถึงพื้น หงหมิงจึงเอ่ย “ซุนจี้จู่ลื่นไหลระวังตนนัก ข้าไม่อาจเค้นอันใดจากมันได้เลย แต่พอถามถึงการตายของเหยียนฟู่ซิง มันก็ดูโกรธหน่อย ๆ ดูออกว่ามันจงเกลียดจงชังใครบางคน แต่ข้าไม่รู้ว่าเป็นใคร”
จงฉือซื่อหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าได้ข้อมูลมาเท่านี้เองหรือ ?”
“เท่านั้นก็พอแล้ว” เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น
พวกเขาหันไป พบว่าเป็นอีกคนที่กำลังเดินมาทางพวกเขา
คนมาใหม่ผู้นี้ไม่สูงนัก หากแต่มีแขนและนิ้วมือหนามาก คือคนตระกูลมังกรแล้ง
เขามีนามว่าเจียงเทา เป็นลุงสามของเจียงหยาง
เจียงเทาเดินเข้ามาแล้วเอ่ยขึ้น “ยัยหนูตู้ฉิงก็พอกัน แม้นางจะพยายามทำท่าทีปกติ แต่ก็มองออกว่าตอนเจียงหยาง และคนอื่น ๆ ตาย…… นางก็อยู่ด้วย”
“ฮึ่ม จงติ่ง เจียงหยาง และคนอื่น ๆ ตายกันหมด แต่คนไร้สายเลือดกลับรอด ปัญหาสำคัญคือจุดนี้” หงหมิงเอ่ย
“แต่เท่านั้นไม่พอใช้เป็นหลักฐานมัดตัว” จางเทียนเยว่ขมวดคิ้ว
“ยังต้องมีหลักฐานอันใดอีกเล่า ? ขวงเอ๋อร์และคนอื่น ๆ ตายไปแล้ว แต่พวกไร้สายเลือดนั่นยังมีชีวิตรอด แม้พวกมันไม่ใช่คนที่ทำร้ายคนของเรา แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้พวกมันมีชีวิตอยู่ต่อได้ สังหารพวกมันให้มันตามไปอยู่เป็นเพื่อนเด็ก ๆ ของเราเสีย ยังต้องการหลักฐานอีกหรือ ?”
น้ำเสียงทรงพลังหยิ่งผยองดังขึ้น
น้ำเสียงหยาบโลนที่เปล่งมาชวนให้คนฟังนึกถึงเจ้าของเสียงเป็นโจรร่างกำยำ หากแต่แท้จริงกลับเป็นสตรีผู้หนึ่ง
นางองอาจดั่งชายชาตรีจนบุรุษอื่น ๆ พากันรู้สึกละอายยิ่ง
มองนางแล้วทำให้นึกถึงเหล่าสัตว์อสูรดุร้ายร่างยักษ์ที่พเนจรอยู่บนที่ราบตอนเหนือ
สตรีผู้นี้ ชายใดได้ยลย่อมมองแม่นางที่บ้านเป็นนางฟ้านางสวรรค์ ทำให้คู่รักสมานฉันท์ยิ่งกว่าเก่า
ทุกคราที่สตรีที่กำลังสูบยาสูบผู้นี้ขยับขาที่คล้ายกับขาช้างย่างกราย เขาเนินเล็กแห่งนี้ก็สะท้านสะเทือนรู้สึกจนทั่ว
ยามนางเดินมาถึงยอดเนิน ทุกคนก็รู้สึกราวกับถูกเมฆใหญ่บดบังแสง
เมื่อนางมาถึงจางเทียนเยว่ก็หัวเราะ “เจิ้งปาซาน สถาบันมังกรซ่อนเร้นมิใช่กองทหารระมาดทมิฬ ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องทุกอย่างตามกฎเขาเก้ายอด หากเจ้าอยากสังหารคนก็ต้องรู้ว่าอยากสังหารใครก่อนแล้วค่อยแจ้งสถาบันมังกรซ่อนเร้น หากได้รับคำตอบแล้วจึงลงมือได้ ไม่เช่นนั้นจะนำเภทภัยมาสู่ตน หากไร้หลักฐานก็ไม่อาจโน้มน้าวสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ เราไม่อาจลงมืออะไรได้อีก จะว่าไป ฝั่งเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
เจิ้งปาซานเคาะกล้องยาสูบสองสามครั้งก่อนจะพ่นควันหนาออกมา “ข้าไม่เจอตัวอวิ๋นเป้า”
“หือ ?” จางเทียนเยว่เลิกคิ้วสูง “เพราะเหตุใด ? มันซ่อนตัวหรือ ?”
“เปล่า ข้าไปกินข้าวมา เพิ่งกินเสร็จเมื่อครู่”
จางเทียนเยว่โกรธจนตัวเซ “เจิ้งปาซาน ! ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ว่าจัดการธุระให้เสร็จเสียก่อนไปหาของกิน ?”
“ข้ารู้แล้ว แต่ข้าไปเจอร้านเล็กแห่งหนึ่ง ก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่นั่นกลิ่นหอมเย้ายวนนัก ข้าไม่อาจห้ามใจไหว กินไป 98 ชาม เดิมทีข้าคิดจะกิน 1 ร้อย แต่เจ้าของร้านบัดซบนั่นบอกว่าของหมดร้านแล้ว จากนั้นข้าจึงไปตามหาอวิ๋นเป้า แต่ก็เห็นว่าได้เวลารวมตัวแล้วก็เลยกลับมาก่อน” สตรีที่มีร่างสูงใหญ่กว่ากังเหยียน บนร่างมีกล้ามมัดใหญ่โตกว่าหมีตอบเสียงเรียบ
หงหมิงหัวเราะเสียดสี “ข้ารู้แล้วว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น คนหนึ่งจงฉือซื่อ อีกคนเจิ้งปาซาน พึ่งพาอันใดไม่ได้”
จงฉือซื่อขมวดคิ้ว “อย่างน้อยข้าก็ไปหาคน”
“ไปก็เหมือนไม่ไป”
“เจ้าอยากตายหรือ ?”
“ก็ลองดูสิ”
คนทั้งคู่ทำท่าพร้อมรบเต็มที่
“พอ !” จางเทียนเยว่คำราม “ธุระยังจัดการไม่เสร็จ ถกเถียงกันพอหรือยัง ? คิดจะต่อสู้กับคนฝั่งเดียวกันหรือไร ?”
“ใครอยู่ฝั่งเดียวกันกับเจ้านั่นกัน” จงฉือซื่อพึมพำ
จางเทียนเยว่และเจียงเทารู้สึกปวดหัวยิ่ง มีเพียงเจิ้งปาซานที่หัวเราะไม่ใส่ใจสิ่งใด
ความอดทนของจางเทียนเยว่กำลังจะหมดลง หากแต่พลันเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ย “กวนซานเหนียง เจ้าจะเผยตนออกมาเล่าเรื่องทางฝั่งเจ้าหรือไม่ หรือต้องให้ข้าทำการรับรองเป็นอย่างดีก่อนเจ้าถึงคิดจะเผยตน ?”
เสียงหัวเราะยวนใจดังสะท้อนก้องไปทุกทิศ “คนเราชอบเปรียบเทียบกับผู้อื่นเพื่อดูว่าตนเองอยู่จุดใด ข้าเพียงอยากฟังความล้มเหลวของพวกเจ้าให้มากหน่อยก็เท่านั้น”
จางเทียนเยว่นัยน์ตาเป็นประกาย “เจ้าจะบอกว่าเจ้ามีเบาะแสหรือ ?”
“ไม่มีสิ่งใดที่ข้ากวนซานเหนียงผู้นี้เปิดเผยไม่ได้”
พริบตาเดียวกวนซานเหนียงก็ปรากฏกาย นางยังคงสวมชุดดำชุดเดิม
เทียบกับเจิ้งปาซานแล้ว ราวกับเอาสาวงามไปเทียบกับอสูรป่า
น่าเสียดายที่อสูรป่าตนนั้นก็เป็นสตรีเช่นกัน
“เป็นอย่างไร ?” ทุกคนเอ่ยถาม
“เป็นไปดังคาด” กวนซานเหนียงตอบ “มีคนป้ายยาใส่เซิ่งอันและคนอื่น ๆ เพื่อดึงดูดโคลนยักษ์”
“ใคร ?”
“ใครที่เป็นนักปรุงยาเล่า ?”
เชิงอรรถ
จงฉือซื่อ ชื่อ ฉือซื่อ แปลว่า สิบสี่ ในที่นี้หงหมิงใช้พูดกระทบจงฉือซื่อ