บทที่ 247 ช่วยคน

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 247 ช่วยคน

 

พลัวะ!

เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูด ศีรษะลอยขึ้น ปรมาจารย์ฝึกจิตขั้น 9 ตาย!

ผู้คนที่อยู่บริเวณโดยรอบปากอ้าตาค้าง นั่นเป็นปรมาจารย์โลกยุทธ์แดนฝึกจิตขั้น 9 เชียวนะ ถูกฆ่าตายง่าย ๆ แบบนี้เลยรึ?

หลัวซิวบินลอยจากไปในอากาศ ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างไม่รู้ว่าน้ำแร่วิญญาณอยู่ในมือของเขา แม้ว่าจะมีคนสงสัย แต่การสังหารปรมาจารย์โลกยุทธ์ในเมื่อสักครู่นั้นมันน่าหวาดกลัวจนเกินไป เลยไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

หลังจากที่หลัวซิวจากไป นักยุทธ์สิบกว่าคนที่เหลืออยู่ ได้ทะเลาะกันขึ้นมาอีกครั้งเพราะน้ำแร่วิญญาณที่หายไป และค่อย ๆ หนักขึ้นจนกลายเป็นลงไม้ลงมือ

อันที่จริงหลังจากที่ได้ใช้ตราธรรมจุติมรณะออกมา พลังจิตแท้ทั้งหมดบนร่างกายของหลัวซิวถูกใช้ไปถึงเก้าส่วน ยังดีที่ให้ผลลัพธ์มากพอที่จะสยบได้ ทำให้ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นไม่กล้าเข้ามาขัดขวางเขา

……

“กลั่นยาวิญญาณหยินหยางเม็ดหนึ่ง ต้องการให้ได้ฤทธิ์ยาที่ดีที่สุด จะต้องใช้น้ำแร่วิญญาณห้าหยด”

แม้ว่าจะได้น้ำแร่วิญญาณมาสามหยดแล้ว แต่สำหรับหลัวซิวนั้นมันยังไม่พอ

ในทางทฤษฎี น้ำแร่วิญญาณสองหยดก็สามารถกลั่นยาวิญญาณหยินหยางได้ ทว่าอัตราความสำเร็จในการกลั่นยานั้นก็จะลดลง นอกจากนี้ฤทธิ์ของยาที่ได้ก็จะอ่อนแอลง

ในเมื่อเขาต้องการกลั่นยาวิญญาณหยินหยางให้กับเหยียนเยว่เอ๋อร์ เป็นธรรมดาที่ต้องพยายามอย่างเต็มเพื่อกลั่นให้ได้ยาที่ดีที่สุด นอกจากนี้เขายังได้ให้สัญญากับชิวลั่วสุ่ยว่า จะช่วยหาน้ำแร่วิญญาณไปให้นางด้วย

ปริภูมิในแดนปริศนานั้นกว้างขวางเป็นพิเศษ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีน้ำแร่วิญญาณอยู่เพียงแห่งเดียว หลัวซิวเตรียมที่จะตามหาต่อไป

นอกจากนี้ น้ำแร่วิญญาณได้แฝงไปด้วยพลังหยินสุดขั้วที่บริสุทธิ์ ถ้าหากใช้วรยุทธ์ที่พัฒนามาจากวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพกลั่นแปร จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการเพิ่มระดับผลการฝึกตนของเขา

ของดีแบบนี้ แน่นอนว่ายิ่งมากยิ่งดี

โบยบินไปในอากาศ มีวิญญาณปรากฏออกมาโจมตีเป็นบางครั้ง ต่างก็ต้องถูกหลัวซิวใช้เพลิงมรณะกลืนกินและกลั่นแปร ผลการฝึกคนเลื่อนระดับขึ้นอยู่ไม่หยุด

สามวันต่อมา เขาได้กลืนกินและกลั่นแปรวิญญาณไปหลายสิบตนแล้ว พลังจิตแท้สองระดับความเป็นตายในร่างกายทั้งทรงพลังและบริสุทธิ์ มีพลานุภาพเหมือนดั่งคลื่นที่ซัดสาดในทะเลใหญ่ พลังจิตแท้ทุกเส้นสายล้วนจับตัวกันเป็นรูปมังกรอยู่ในจุดตันเถียนชี่ไห่มีพลังกดทับมหาศาลแผ่ซ่านออกมาโดยไม่รู้ตัว

นี่เป็นวันที่สี่ของการเข้ามาในแดนปริศนาแล้ว ผลการฝึกตนของเขาจากฝึกจิตขั้น 5 ได้บรรลุ

ถึงฝึกจิตขั้น 6 แล้ว และยังคงก้าวไปสู่ฝึกจิตขั้น 7 อยู่ไม่หยุด พูดได้ว่าผลพวงที่ได้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์

“สมกับที่เป็นแดนปริศนาที่กองกำลังใหญ่สมัยโบราณทิ้งเอาไว้จริง ๆ หลังจากที่ผ่านไปร้อยวัน ความสามารถของข้าจะต้องเปลี่ยนแปลงไปมากอย่างแน่นอน!” ภายในใจของหลัวซิวเต็มไปด้วยการคาดหวัง

ทันใดนั้น ตัวสำนึกของหลัวซิวก็ได้สัมผัสถึงกลิ่นอายของนักยุทธ์ เขาเพ่งตามองไป พบเขากับเงาร่างของหญิงสาวนางหนึ่ง เป็นปี้เซียนเสว่นั่นเอง

องค์กรนักล่ายุทธ์มีสมาชิกพรสวรรค์ทั้งหมดสี่คนที่ได้เข้ามาในแดนปริศนา ปี้เซียนเสว่ก็คือหนึ่งในนั้น ความรู้สึกที่ให้ต่อหลัวซิวนับว่าไม่เลวนัก

ทว่าปี้เซียนเสว่ในตอนนี้นั้นได้เผชิญหน้ากับอันตราย ใบหน้างดงามของนางซีดเซียว ได้รับบาดเจ็บไปแล้ว ถูกนักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 สองคนขวางเอาไว้ในหุบเขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง

และชุดของนากได้ถูกฉีกออกไปเป็นบริเวณกว้าง ปรากฏให้เห็นผิวขาวราวหิมะ ส่วนยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 สองคนนั้นกำลังยิ้มอย่างลามก และพูดจาหยาบคาย

หลัวซิวพลันขยับตัว ไม่นานก็ได้มาถึงบริเวณด้านบนของหุบเขาเล็ก ๆ แห่งนั้น เขาก้มมองลงไปด้านล่าง พบว่าปี้เซียนเสว่น้ำตาคลอเบ้า บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“หลัวซิว? ……” ปี้เซียนเสว่สังเกตเห็นเงาร่างที่ปรากฏขึ้นในอากาศ พลันมีสีหน้าท่าทางดีใจขึ้นมาทันที และร้องตะโกนออกมาอย่างร้อนรน: “ช่วยข้าที”

นางรู้ว่าฝีมือของหลัวซิวแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จัดการกับนักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 สองคนนั้นง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก

“เจ้าหนุ่ม เจ้าเป็นตัวอะไร ถึงได้กล้าทำให้ท่านปู่ของเจ้าเสียเรื่อง”

นักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 ผู้หนึ่งตวาดขึ้นด้วยความโมโห ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากระโจนเข้าหาหลัวซิว

หลัวซิวยกมือขึ้นมาและฟันออกไปหนึ่งครั้ง ไอสังหารที่น่าหวาดกลัวแผ่ซ่านออกมาอย่างกำเริบ ราวกับปลายกระบี่ที่แหลมคม แทงเข้าไปในวิญญาณหยั่งรู้ของอีกฝ่าย

“อ้ากกก!” ตัวหยั่งรู้ของนักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 ที่กระโจนเข้ามาผู้นั้นร้องโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด

เมื่อนักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 อีกคนได้เห็นสถานการณ์ตรงหน้า ก็ตกใจหน้าถอดสีไปทันที รู้ดีว่าเจ้าหนุ่มที่น่าหวาดกลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ผู้นี้ ตนไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ในวินาทีที่เพื่อนผู้ร่วมทางถูกสังหาร เขาก็รีบลอยตัวหนีไปทันที ร้อนรนเหมือนดั่งสุนัขหลงทาง

ฮึ่มมม!

ปราณกระบี่เพลิงทมิฬในรูปมังกรสายนึ่งตามไปในทันที ชั่ววินาที ก็ได้กลืนกินนักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 ที่หนีไปผู้นั้น ร่างกลายเป็นเถ้าธุลีภายใต้เพลิงมรณะ

“หลัวซิว ขอบคุณเจ้ามาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะจ้าปรากฏตัวได้ทันเวลา ข้า……” บนใบหน้าที่ซีดเซียวของปี้เซียนเสว่ปรากฏแววหวาดกลัวขึ้นมา ถึงยังไงนางก็เป็นเพียงหญิงสาวในวัยประมาณยี่สิบเท่านั้นเอง

“อาศัยความสามารถของเจ้า ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกจิตขั้น 6 สองคน แม้ว่าจะสู้ไม่ได้แต่ก็สามารถหนีไปได้ถึงจะถูก” หลัวซิวเหลือบมองปี้เซียนเสว่ และเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“หา……” ปี้เซียนเสว่ชะงักไป เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าหลัวซิวจะถามคำถามเช่นนี้

“สามารถทำให้องค์กรนักล่ายุทธ์รับเข้าเป็นสมาชิกพรสวรรค์ได้ จากที่ข้าทราบมา ปีนี้เจ้าอายุสิบเก้า ผลการฝึกตนอยู่ที่ฝึกจิตขั้น 4 ระดับสิทธิพรสวรรค์อยู่ที่ขั้นเหลืองระดับสูงสูง

นอกจากนี้แล้วเจ้ายังเป็นนักเรียนของวิทยาลัยพระวงศ์ เป็นอัจฉริยะที่ได้รับการให้ความสำคัญในการปลูกฝังจากราชวงศ์ตระกูลฝาน เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่มีสมบัติที่ใช้ในการเอาตัวรอดอยู่ในมือ ถ้าหากข้าพูดไม่ผิดละก็ ต่อให้ข้าไม่ปรากฏตัว ผู้ฝึกจิตขั้น 6 สองคนนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้ถึงจะถูก”

หลัวซิวหรี่ตา กล่าวพลางพิจารณาปี้เซียนเสว่ เขารู้สึกว่าสตรีนางนี้มีอะไรบางอย่างผิดปกติ

เมื่อได้ยินหลัวซิวกล่าวเช่นนี้ ในดวงตาของปี้เซียนเสว่ก็ได้ปรากฏแววลนลานขึ้นมาเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับเป็นปกติ ยังคงมีท่าทางน่าสงสารอยู่เหมือนเดิม นางกล่าวอย่างอ่อนแรง: “ข้าฝึกตนมาโดยตลอดน้อยมากที่จะออกมาหาประสบการณ์ด้านนอก แม้ว่าผลการฝึกตนจะไม่ด้อยนักและพอมีสมบัติอยู่บ้าง แต่ฝีมือนั้นค่อนข้างจะอ่อนแอ”

การอธิบายเช่นนี้ของนางก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล ถึงยังไงนางอายุเพียงสิบเก้าก็ฝึกตนมาจนถึงแดนฝึกจิตขั้น 4 จะต้องใช้เวลาส่วนมากในการฝึกตนเพื่อเพิ่มระดับผลการฝึกตนอย่างแน่นอน ขาดประสบการณ์ ความสามารถในการสู้จริงไม่ค่อยจะดี ก็สมเหตุสมผล

หลัวซิวกลับไม่เชื่อคำอธิบายเช่นนี้ เพราะเขาทราบดีว่า อัจฉริยะที่องค์กรนักล่ายุทธ์และราชวงศ์ตระกูลฝานให้ความสำคัญในการปลูกฝังนั้น จะต้องให้ความใส่ใจต่อการฝึกฝนอย่างแน่นอน นอกจากนี้ในตอนที่เผชิญหน้ากับศิษย์ตำหนักจื่อ การแสดงออกของปี้เซียนเสว่ในตอนนั้น ไม่เหมือนกับคนที่ขาดประสบการณ์ ในทางกลับกันกลับขึ้นข้างสงบนิ่ง

เป็นที่ประจักษ์ ปี้เซียนเสว่มีความลับบางอย่างที่ไม่ยอมพูดออกมา หลัวซิวเองก็ไม่มีความคิดที่จะไปสืบเสาะสอบถามความลับของอีกฝ่าย

“ในเมื่อเจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน”

หลัวซิวกล่าวอย่างเรียบ ๆ จากนั้นก็เก็บเอาแหวนเก็บของของนักยุทธ์ฝึกจิตขั้น 6 ทั้งสองคนนั้นลง และกำลังจะหันหลังจากไป

พบว่าหลัวซิวไม่มีท่าทีที่จะซักถามปัญหานี้อีกต่อไป ปี้เซียนเสว่ก็วางใจลงเล็กน้อย เห็นว่าหลัวซิวกำลังจะจากไป นางก็รีบเอ่ยขึ้นมา: “ข้าไปกับเจ้าด้วยได้ไหม? หัวหน้าแก๊งหยวนเฉิงเคยบอกไว้ว่าหลังจากที่พวกเราเข้ามาในแดนปริศนาจะต้องพึ่งพาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความสามารถของข้าค่อนข้างต่ำ เคลื่อนไหวเพียงลำพังนั้นอันตรายเกินไป”

ได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็หันไปทางปี้เซียนเสว่ ขมวดคิ้ว กล่าว: “การแสดงออกของเจ้าเมื่อสักครู่นั้นดูแปลกมาก ถ้าหากไม่สามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลได้ ข้าไม่มีทางที่จะให้คนที่ข้าไม่รู้จักดีพอคอยติดตามอยู่ข้างกายข้า”

อันที่จริงแล้วมีอีกประโยคหนึ่งที่หลัวซิวไม่ได้กล่าวออกมา นั่นก็คือถ้าหากพบกับอันตราย ถ้ากลัวว่าเจ้าก็ถือโอกาสซ้ำเติม แต่ว่าถ้าหากพูดออกไปแบบนี้มันไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไหร่

แต่ปี้เซียนเสว่ก็พอจะฟังความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของหลัวซิวออกได้