บทที่ 198 – พาราไดซ์กับโลก (4)
เมื่อได้อ่านบันทึกดวงตาของซอลจีฮูก็ได้สั่นไหวขึ้นมา หัวของเขาในตอนนี้ได้เริ่มเย็นลงแล้ว และเขาก็ได้เริ่มจดจ่อไปกับการอ่านบันทึก
เขาได้พลิกตาถัดไปและกลืนน้ำลายลงไป มีชื่อที่เขารู้จักอยู่
แบคแฮจู (เกาหลี)
ชาวโลกคนแรกที่ได้กลายเป็นระดับ 8 ทำทุกอย่างเพียงลำพังโดยไม่มีใครช่วย…
-ซอยูฮุย (เกาหลี)
ตำนานในหมู่ตำนาน ไม่มีคำอธิบายใดอีกแล้ว
-ซึงชิฮยอน (เกาหนี)
ระดับสูงจากพื้นที่ที่ 1 ถัดจากแบคแฮจู และซอยูฮุย ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยร่วมงานเป็นทีมเดียวกัน แต่เพราะนิสัยส่วนตัว และบุคลิกของเขาทำให้เขาได้เกิดทะเลาะครั้งใหญ่กับแบคแฮจู และก็ยังแยกทางกับซอยูฮุย
แม้ว่าเขาจะมีนิสัยที่ไม่ค่อยเป็นที่ต้องการนัก แต่ว่าพลังและความสำเร็จที่เขาได้ทำให้กับพาราไดซ์ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย
เขาได้กลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงด้วยการทำภารกิจจากราชวงศ์สกีเฮราซาร์ดที่ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในเรื่องความยากสำเร็จอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาได้บังคับให้ราชินีปรสิตที่กำลังสู้อยู่ในแนวหน้าต้องกลับไปที่บัลลังก์แห่งความทรุดโทรมได้สำเร็จ ซึ่งทำให้การกระทำต่างๆของเธอได้ถูกจำกัดอยู่ที่พื้นที่ของจักรวรรดิ
ซอลจีฮูก็ยังเห็นชื่อของคู่หมั่นของมาแชล จิโอเนียที่เป็นพัฒนาเวทย์โฟตอน รวมไปถึงชื่อของอิวาเกเลี่ยน โรสอีกด้วย
‘น่าทึ่ง น่าทึ่ง….’
เขาได้หยักหน้าออกมาไม่หยุดเลย
เหล่าผู้คนเหล่านี้ต่างก็มีความสำเร็จที่น่าทึ่งกันทั้งนั้น พวกเขาได้สร้างความสำเร็จมากมายที่ควรค่าแก่การชื่นชม… แต่ล่ะคนที่ถูกบันทึกลงไปในบันทึกของเอียนต่างก็เป็นชาวโลกที่ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างใหญ่หลวงเพื่อผลประโยชน์ของพาราไดซ์ และได้สร้างผลงานที่สำคัญ
จากนั้น…
-ซอลจีฮู (เกาหลี)
ผู้ผิดปกติที่มาจากพื้นที่ที่ 1 หลังจากไม่ได้มีโผล่มานาน ได้สร้างผลงานที่น่าทึ่งตั้งแต่อยู่ระดับ 1 ในการสำรวจป่าแห่งการปฏิเสธ เป็นผู้เสนอและวางกลยุทธ์การล่อศัตรูและนำชัยชนะมาที่หุบเขาอาร์เดน แก้ความลับของหมู่บ้านแรมแมนในตอนอยู่ระดับ 2 จากนั้นก็ได้รับยอมรับชาวบ้านแรมแมนที่กำลังตกอยู่ในอันตรายให้เข้ามาในฮารามาร์คด้วยการออกค่าใช้จ่ายให้เหล่าชาวบ้าน
นอกไปจากนี้เขายังได้ร่วมมือกับสหพันธรัฐหยุดแผนการสร้างออร์คกลายพันธุ์จำนวนมากของปรสิต ทำให้ภารกิจช่วยเหลือที่ศูนย์วิจัยสำเร็จ และในตอนที่ยังอยู่ในระดับต่ำก็ยังทำความสำเร็จที่น่าเชื่ออื่นๆอีกมากมายอย่างเช่นการสร้างเสถียรภาพในงานจัดเลี้ยง
ซอลจีฮูได้เห็นในชื่อของเขาอย่างคาดไม่ถึง ยังไงก็ตามเขาก็ต้องเอียงหัวออกมาเมื่อพลิกหน้าถัดไป เอียนไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น
มีชาวโลกที่ยอดเยี่ยมอยู่ตั้งมากมาย แล้วทำไมพาราไดซ์ถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้?
ในตอนนั้นเองมือของเขาก็ได้หยุดลง หลังจากเปิดผ่านหน้าว่างเปล่ามา หน้าใหม่ก็มีคำสามคำถูกเขียนเอาไว้
สาเหตุการตาย
‘สาเหตุการตาย?’
เมื่อเขาได้พลิกหน้าถัดไป เขาก็ต้องขมวดคิ้วและหรี่ตาลงมา
-อัล ซาราห์: สูญเสียการติดต่อไปหลังจากเข้าไปในอาณาเขตของพาราไดซ์เพื่อค้นสืบค้นโบราณสถาน
ตามข่าวลือ ราชินีปรสิตได้ให้ความสนใจในตัวเธอ และจับเธอไปเป็นนักโทษ แต่ว่าผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากทีมสำรวจของเธอได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโบราณสถานว่าอัล ซาราห์ได้เกษียณไปโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน
คำถามมากมายยังคงไม่ได้รับคำตอบ
-อัลวาโร่ สโตเกอร์: สูญเสียตำแหน่งเนื่องจากคนในองค์กรได้อ้างว่าเขาได้ใช้เงินทุนของแพ็คเพื่อประโยชน์ส่วนตัว จากนั้นแพ็คก็ได้เริ่มสูญเสียอิทธิพลไปจากการขัดแย้งกับองค์กรอื่นๆ
อัลวาโร่ โสตเกอร์ได้ยืนยันว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์โดยที่บอกว่าเขาถูกใส่ความ
จากนั้นเขาก็ถูกพบเป็นศพอยู่ในบ้านโดยคนรู้จัก ไม่ว่ามันจะเป็นการฆ่าตัวตายหรือการฆาตกรรม แต่ว่าเมื่อข้อกำหนดบทลงโทษการตายแล้ว มันจึงเป็นไปได้ว่าเป็นอย่างหลัก
-เอเลนอร์ ลูน่า: ชาวโลกนิรนามได้ยื่นคำร้องโดยบอกว่าเอเลนอร์ได้บังคับให้เขาขายข้อมูลโบราณสถานให้กับเธอ เอเลนอร์ ลูน่าได้ยืนยันตัวว่าเขาได้ทำผ่านขั้นตอนอย่างถูกต้อง แต่ว่าองค์กรต่างๆกลับเข้าข้างบุคคลนิรนาม และทำการประนามเธอต่อสาธราณะชน
บุคคลนิรนามได้ยื่นหลักฐานไปให้กับเจ็ดอาณาจักรเพื่อฟ้องร้องต่อเอเลนอร์ ลูน่า แต่ว่าเธอก็ได้ค้านหัวชนฝาว่านี่คือการปลอมแปลงหลักฐาน
องค์กรต่างๆได้เลิกการค้ากับสมาชิกการค้าของเธอ และปฏิเสธที่จะเข้าสถาบันการศึกษา เอเลนอร์ยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเธอบริสุทธิ์ แต่ในท้ายที่สุดเธอก็ได้เกษียณไปจากพาราไดซ์หลังมีเรื่องอื้อฉาวทางเพศ
ไม่นานนักสมาคมการค้าก็ได้แตกกระจายอย่างรวดเร็ว และสถาบันการศึกษาลูน่าก็ปิดตัวลงไป
-โจชัวร์ คาฟลิน: เป็นมนุษย์ที่ทำการโต้แย้งว่าไม่ควรจะปล่อยให้พันธมิตรมนุษย์สัตว์ถูกกำจัดออกไป แต่ว่าปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาช่างน้อยนิด
เขาได้ตั้งทีมขึ้นมากับผู้บริหารอีกคนที่ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับเขา นำกองกำลังเล็กๆไปเป็นกำลังเสริมให้กับพันธมิตรมนุษย์สัตว์ แต่ยังไงก็ตามเขากลับถูกความถ่อมตนอันน่าขยะแขยงแอบซุ่มโจมตีในระหว่างการเดินทาง และตายไปหลังจากการต่อสู้นองเลือด
มือของซอลจีฮูได้สั่นไหวขึ้นมา ดวงตาของเขาได้มองสำรวจดูที่แผ่นกระดาษไปมาซ้ำๆ มันไม่ใช่แค่สีคนนี้
มีชื่อกว่าร้อยคนถูกเขียนเอาไว้ในบันทึกของเอียน ส่วนใหญ่- หรือมากกว่า 80%- ได้…
‘ตาย… หมดเลย…?’
บางคนก็ไม่อาจจะพูดว่าเป็นการตายได้ แต่ว่าพวกเขาก็ได้เกษียณไปจากพาราไดซ์โดยที่ไม่ได้มีแผนที่จะย้อนกลับมา
ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นมา เขาได้ย้อนกลับไปหน้าก่อนๆแล้วอ่านเนื้อหาอย่างละเอียดก่อนจะเอามาเปรียบเทียบกับเนื้อหาการตาย
เวลาได้ค่อยๆผ่านไป ค่ำคืนอันเงียบสงบได้ผันผ่าน และแสงอาทิตย์ยามเช้าได้สาดส่องลงมาบนตัวซอลจีฮู เขายังคงอ่านบันทึกโดยไม่ขยับแม้แต่นิดเดียว
หลังจากตรวจสอบบันทึกมาตลอดทั้งคือแล้ว มีความรู้สึกไม่สบายใจเล็กๆที่รบกวนตัวเขามาตลอดได้กลายเป็นชัดเจนขึ้น
สาเหตุการตายได้ถูกแยกออกเป็นสีประเภทใหญ่ๆ ถูกปรสิตจับตัวไป ถูกเจ็ดกองทัพโจมตีและฆ่าไป ถูกพบเป็นศพในวันหนึ่ง และเกษียณออกไปจากพาราไดซ์เพราะไม่อาจจะทนต่อการใส่ร้ายป้ายสีได้
นอกจากนี้ยังมีกรณีของคนที่สูญหายเช่นกัน แน่นอนว่ามันก็อาจจะเป็นแค่อุบัติเหตุก็ได้ แต่ว่าเพราะเอียนได้เขียนไว้ว่า ‘มีหลายคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบ’ กับพวกเขาส่วนใหญ่ มันจึงยากที่จะยอมรับว่าเป็นแค่อุบัติเหตุเฉยๆ
มีสุภาษิตที่รู้จักกันดีอยู่
ครั้งแรกคือความบังเอิญ ครั้งที่สองคือปาฏิหาริย์ และครั้งที่สามก็คือความจงใจ
[ความตั้งใจของเธอชัดเจนมาก เธอได้วางแผนที่จะเปลี่ยนการเคลื่อนไหวครั้งสุดท้ายของเราให้กลายเป็นการช่วยเหลือตัวเธอแทน]
เขาได้นึกย้อนไปถึงสิ่งที่กู่ลาได้พูดไว้ และความรู้สึกไม่ดีก็ได้เข้ามาในหัวของเขา
จากภายนอกมันดูเหมือนกับว่าราชินีปรสิตไม่ได้มายุ่งอะไรกับมนุษยชาติ แต่ว่ามันมีความเป็นไปได้ว่าเธอกำลังชักใยมนุษย์จากเงามืออยู่
หากว่ามีหลักฐานนับร้อยมาเป็นหลักฐานให้กับสมมติฐานนี้…
‘ถ้างั้น…’
เขาได้ถูกยั่วยุ และซอยูฮุยถูกโจมตี… มันเป็นไปได้ไหมว่าราชินีปรสิตเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้? ยิ่งสืบลึกลงไปเรื่อยๆ มันไม่ใช่ว่าท้ายที่สุดแล้วมันชี้เป้าไปที่เธอหรอกหรอ?
จากนั้นเอง
“นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน!?”
ขณะที่เขากำลังจมดิ่งไปกับความคิด น้ำเสียงกรีดร้องอันน่ากลัวจู่ๆก็ดังเข้ามาในหัวของเขา นั่นคือเสียงของโชฮง
ซอลจีฮูได้หลุดออกมาจากความคิดของเขา มันเพราะว่าเขามัวแต่สนใจไปกับการอ่านบันทึกทำให้เขาไม่ได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกเลย
หลังจากปิดบันทึก และเก็บมันลงไปในกระเป๋าแล้ว เขาก็ได้เดินออกไปจากห้อง ข้างนอกเขาได้เห็นคนกลุ่มใหญ่กำลังยืนอยู่ในสำนักงาน
โชฮงได้ชี้นิ้วไปที่นักบวชสวมชุดขาวนับสิบ ในขณะที่จางมัลดงกับฟีโซรากำลังจ้องมองพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อซอลจีฮูได้เห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้าเหลือบมามองเขา และยิ้มอย่างไม่พอใจ เขาก็พอจะรู้แล้วว่าต้องมีเรื่องเกิดเห็น ดูจากที่ไม่มีใครเรียกเขาเลย มันดูเหมือนว่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญเหล่านี้จะมาด้วยเจตนาที่ไม่ดี
นักบวชได้พูดขึ้นมา
“ผู้ต้องสงสัยมาแล้ว สมบูรณ์แบบ”
‘ผู้ต้องสงสัย?’
ซอลจีฮูได้ตกตะลึงขึ้นมาในทันที นี่พวกเขาวางแผนกันถึงขนาดนี้เลย?
“คุณกำลังพูดอะไรอยู่?”
จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ระวังคำพูดด้วย เขามีคำแก้ต่างอยู่”
“แน่นอนว่าพวกเรารู้ดี ผมต้องขอโทษด้วยที่เลือกใช้คำพูดที่ไม่ดี มันก็แค่-“
นักบวชได้ขออภัยออกมาก่อนที่จะมองซอลจีฮูและยิ้มขึ้น
“เรากำลังพูดกันถึงเรื่องของบุตรแห่งลูซูเรียอยู่ พาราไดซ์กำลังตกอยู่ในความโกลาหลจากน้ำหนักของสถานการณ์นี้ ทางวิหารได้ประกาศกร้าวออกมาแล้วว่าจะต้องจับตัวผู้กระทำผิดมาให้ได้ พวกเราอยากจะขอความร่วมมือจากคุณ”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าต้องบอกอีกกี่ครั้ง แต่ว่าในตอนเกิดเหตุพวกเรากำลังอยู่ที่บาร์ ซอลไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้”
“แน่นอนว่าพวกเรารู้ แต่ว่ามันก็เท่านั้น… ตัดคำแก้ต่างออกไป พวกเราได้รับรายงานมาว่าเขาได้เข้าไปในบ้านคุณซอยูฮุยอยู่หลายครั้ง เพราะงั้น…”
นักบวชได้เว้นช่วงสุดท้ายเอาไว้พร้อมทั้งมองซอลจีฮู จางมัลดงได้หรี่ตาลงมา
“…เพราะงั้นคุณกำลังบอกว่าเขาอาจจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด?”
เมื่อได้ยินแบบนี้นักบวชก็ยิ้มขึ้น และโบกมือออกมา
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นครับท่าน พวกเราก็แค่ต้องการให้เขาช่วยเป็นปากคำให้เราสักสองสามอย่าง แล้วก็ช่วยเราสอบสวน ท่านซอลจีฮูไม่ใช่คนเดียวที่เราเชิญตัว มีคนอื่นอีกนับสิบที่วิหารได้เชิญตัวไปทำการสอบสวน ไม่ว่าใครที่มีข้อสงสัยแม้แต่นิดก็จะโดนเหมือนกันครับ”
จางมัลดงได้แค่นเสียงขึ้นมา
“นี่มันแปลกแล้ว คุณบอกว่ามีคนนับสิบถูกเชิญตัว แต่ว่านี่มันเป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นคนกลุ่มใหญ่มาหาคนน่ะ”
“…”
“คุณพาคนนับสิบมาล้อมพวกเรา แล้วคุณยังกล้าจะพูดว่านี่เป็นการสัมภาษณ์พยานงั้นหรอ? นี่มันชัดเจนมากว่าคุณกำลังทำเหมือนกับว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัย หากว่าคนนอกเห็นแบบนี้เขาจะคิดยังไงกันล่ะ?”
เมื่อจางมัลดงจี้จุดขึ้นมา มุมปากของนักบวชก็บิดเบี้ยวไปเล็กน้อย
“วิหารลูซูเรียจะไม่มองข้ามเหตุการณ์นี้เหมือนกับว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุหรือการโจมตี”
“แล้ว? ฉันจะพูดอะไรได้ล่ะ? ฉัน-“
“ยังไงก็ตามเราจะปฏิบัติกับเขาเป็นอย่างดี นี่คือคำสัญญา พวกเราขอเพียงความร่วมมือเท่านั้นเอง”
นักบวชได้ขัดจางมัลดงขึ้นก่อนที่เขาจะได้พูดจบ เขาเหลือบไปมองด้านหลัง และหยักหน้าออกมา
นักบวชที่กำลังรออยู่ด้านหลังได้ก้าวออกมาราวกับจะใช้กำลังพาตัวซอลจีฮูไป โชฮงได้รีบหยิบเอาหนามเหล็กกล้าออกมาทันที
“ก็ได้ ถ้างั้นก็เอาเลย ไอ้พวกเวรนี่คิดว่าเราจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นงั้นหรอ?”
เมื่อโชฮงได้แสดงความเป็นศัตรูออกมา ตัวแทนของนักบวชก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส
“หากว่าคุณขยับไม้กระบองนั่นแม้แต่นิด คุณก็จะต้องมากับเราด้วย คุณจองโชฮง”
เขาได้วางมือลงบนหลังคอราวกับจะบอกว่า ‘เอาเลย’ ในตอนนั้นเองที่ทางเข้าสำนักงานก็เกิดเสียงดังวุ่นวายออกมา นักบวชได้หันกลับไปมองตามสัญชาตญาณ และขมวดคิ้วขึ้นในทันที
ชายร่างกำยำสูงสองเมตรได้เดินงอหลังเข้ามา เมื่อเห็นเขา ซอลจีฮูก็เบิกตากว้างขึ้น
“หืมมม”
ชายคนที่เดินเข้ามามองสำรวจรอบห้องไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแม่ทัพแห่งฮารามาร์ค แจน แซงตัส เขาได้เมินเฉยต่อนักบวช และเดินตรงเข้าหาซอลจีฮู
จากนั้นเขาก็พูดขึ้น
“ได้โปรดตามเรามาด้วย มีคนกำลังรอคุณอยู่”
มีการเชิญตัวเขามาอีกครั้งหนึ่ง ยังไงก็ตามซอลจีฮูไม่ได้โง่
จางมัลดงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และโชฮงก็ได้ลดไม้กระบองลงด้วยรอยยิ้ม
ในอีกด้านหนึ่งใบหน้าของนักบวชที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย ได้กลายเป็นบิดเบี้ยวขึ้นมา มันชัดเจนแล้วว่าซอลจีฮูควรจะตามใตไป
เพราะงั้นเขาจึงไม่ได้ลังเลเลย
“ได้ครับ”
“ผมจะนำทางคุณไปเอง”
แจน แซงตัสได้ตอบกลับอย่างเคารพก่อนจะหันหน้าไป
ในเวลาเดียวกันนักบวชก็ตะโกนขึ้น
“เดี๋ยวกอ่น! พวกเรามาที่นี่จากคำสั่งของท่านบาทหลวง!”
“บาทหลวง?”
ในที่สุดแจน แซงตัสก็มองไปที่นักบวชก่อนจะตอบกลับมาห้วนๆ
“ฉันมาตามคำสั่งของราชวงศ์ หลบไปซะ”
เขาได้ประกาศออกมาอย่างคุกคาม และเดินฝ่าฝูงชนไป เพราะมันเหมือนกับว่านักบวชจะเดินชนหากว่าไม่ยอมหลบ ทำให้พวกเขาได้รีบขยับทันที
หลังจากตามแจน แซงตัสออกมาข้างนอกแล้วก็มีภาพแสนประหลาดปรากฏขึ้นมา ทหารจากราชวงศ์กำลังยืนเรียงแถวนำไปสู่รถม้าขนาดใหญ่สุดหรูหรา
และตรงหน้ารถม้ามีชายชราสวมมงกุฎยืนอยู่
เขาก็คือกษัตริย์แห่งฮารามาร์ค ฟีไฮ
เขาได้โค้งคำนับเล็กน้อยในทันทีที่เขาเห็นความสับสนของซอลจีฮู
“ขอบคุณที่ตอบรับคำเชิญจากเรานะ”
ท่าทางเซื่องซึมของเขาได้หายไปแล้ว ขณะที่ซอลจีฮูกำลังผงะไปกับบุคลิกที่ผ่าเผยของกษัตริย์ฟีไอ นักบวชก็ได้รีบตามหลังซอลจีฮูออกมาจากสำนักงาน
“หา”
เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากที่กษัตริย์ได้ทำการต้อนรับนายพลที่กลับมาอย่างยิ่งใหญ่ นักบวชที่เดินออกมาก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ
ในเวลาเดียวกันกษัตริย์ฟีไฮก็มองนักบวชและเอียงหัวออกมา
“หืม? มีปัญหาอะไรรึ? อาณาจักรนี้กำลังจะคุกคามวีรบุรุษสงคราม”
“กษัตริย์ฟีไฮ ท่านเป็นคนที่ส่งกองกำลังไปเมื่อคืนนี้ ผมมั่นใจว่าท่านจะต้องรู้ถึงสถานการณ์เป็นอย่างดี”
เขาได้ประชดประชันขึ้นมา
“อ่อ คงจะหมายถึงการโจมตีสินะ”
ฟีไฮได้เม้มปากขึ้นมา และทำสีหน้าทะเล้น
“ก็ใช่ ข้ารู้ถึงเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างดี แต่ว่าไม่ใช่เราได้ข้อสรุปแล้วหรอว่าพ่อหนุ่มคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องน่ะ?”
“หากว่าพูดถึงเรื่องผลลัพธ์ที่ถูกสรุปจากการสอบสวนของอายาเสะ คาซุกิล่ะก็ พวกเราคิดว่ามันยังขาดความน่าเชื่อถือ”
“แต่ว่า การจะหานักธนูที่โดดเด่นกว่าอายาเสะ คาซุกิในฮารามาร์คก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยนะ”
“เราไม่ได้สงสัยในความสามารถของเขา แต่ว่าเราจะต้องคำนึงถึงเรื่องที่ว่าเขาได้ถูกส่งมาจากราชวงศ์เป็นการ่วนตัว แล้วก็ยังใกล้ชิดกับผู้ต้องสงสัยอีกด้วย”
นักบวชได้รีบโต้เถียงกลับอย่างดุดัน
“นอกไปจากนี้ เรายังพบถึงความต่างเป็นอย่างมากจากการสืบสนของนักธนูของเรา”
แม้ว่านักบวชจะยังคงรักษาความสุภาพในคำพูดอยู่ แต่ว่ามันชัดเจนว่าเขากำลังพูดว่ากษัตริย์กำลังพูดมั่ว
ฟีไฮก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ว่าเขากลับยิ้มออกมา
“งั้นหรอ? ถ้างั้นมันก็มีปัญหาใหญ่ซะแล้วสิ!”
“หากว่าท่านเข้าใจแล้ว เราก็ขอให้ท่านยินยอมให้เขาไปกับเราด้วย”
“งั้นหรอ? หากว่าผลลัพธ์ของการสืบสวนของทั้งสองฝ่ายมีความต่างกัน ไม่ใช่ว่าเราไม่ควรจะทำการสืบสวนอีกครั้งด้วยความสำคัญสูงที่สุดหรอกหรอ?”
“?”
“ทำไมเราไม่ทำการสอบสวนอีกครั้งกันล่ะ? เจ้าสามารถจะส่งนักธนูเพื่อเรื่องงนี้ได้เป็นร้อยคนเลย ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ”
วิหารลูซูเรียสามารถจะทำแบบนั้นได้จริงๆหากว่าพวกเขาต้องการ แต่ว่าความเชื่อมั่นของกษัตริย์ฟีไฮได้ทำให้นักบวชต้องฉุกคิดขึ้นมา
“อ่า นั่นมัน-“
แต่ว่าฟีไฮก็ได้พูดต่อไปโดยไม่สนใจฟังเลย
“เมื่อวานนี้เราเพิ่งจะได้รับข้อความที่คาดไม่ถึงมา มันมาจากผู้บริหารแห่งซูเปอร์เบีย เขาได้แสดงความเสียใจกับการโจมตี และยื่นมือเขามา เขาบอกว่าเขาอยากที่จะสืบสวนอาชญากรรมครั้งนี้ด้วยตัวเอง”
ใบหน้าของนักบวชได้แข็งทื่อไป ผู้บริหารแห่งซูเปอร์เบียคือดวงดาวแห่งอัตตา เป็นชาวผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของนักธนูทั้งมวล เขาได้ถืออำนาจเบ็ดเสร็จในด้านนี้
“แต่หากว่าผลลัพธ์ของนักธนูคนที่สองที่ทำการสืบสวนขัดแย้งกับผลลัพธ์การสืบสวนของผู้บริหารแห่งซูเปอร์เบียขัดแย้งกัน มันคงจะไม่น่าขำหรอกเนอะ?”
สายตาของฟีไฮได้กลายเป็นเย็นชาขึ้นมาในทันที รอยยิ้มได้หายไปจากใบหน้าของนักบวชที่ยืนอยู่หน้าสุด เขาได้ขมริมฝีปากเล็กน้อย
“หืม? ข้าพูดอะไรผิดไปหรอ?”
ฟีไฮได้พูดออกมานิ่งๆ ก่อนจะยิ้มขึ้น จากนั้นเขาก็วางมือลงไปบนบ่าของซอลจีฮู
“ท่านจะต้องเสียใจ”
น้ำเสียงเป็นปรปักษ์ได้ดังออกมาอย่างชัดเจน
ฟีไฮได้หยุดชะงักไป
“เจ้าพูดว่าเสียใจสินะ”
เมื่อเขาหันกลับมามอง นักบวชก็ได้ชะงักไป เพราะว่ากษัตริย์ได้หันหลังให้เขาทำให้ซอลจีฮูมองไม่เห็นสีหน้าของเขา
“เอาเถอะนะ”
น้ำเสียงเย็นชาได้ดังออกมา
“ช่างเป็นเรื่องไร้สาระจริงๆเลย”
“อะ อะไรนะ?”
“ทั้งๆที่ที่นี่คือฮารามาร์ค การที่กษัตริย์ถูกขู่ตรงๆว่าเขาจะต้องเสียใจกับตัวเลือกของเขามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยนะ”
ก่อนที่นักบวชจะได้ทันพูดอะไรอีก ฟีไฮก็พูดต่อ
“หากว่ากล้าก็เอาไว้ หากว่ามีคำพูดใดออกมาจากเจ้าอีก เจ้าจะต้องมากับเรา”
เขาได้ยืนขึ้นสูง
“อ่า มันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกนะ เราก็แค่จะเชิญตัวทาเซียน่า ซินเซีย และยืนยันถึงข้อตกลงที่เราเคยทำไว้ เธอคงจะมาอย่างแน่นอนเลย หากว่าเจ้าสนใจอย่างจะคุยกับเธอก็เอาเลย”
นักบวชได้กลายเป็นพูดไม่ออกขึ้นมา เมื่อเขาได้ปิดปากแน่น ฟีไฮก็หัวเราะเยาะขึ้นก่อนที่จะหนักลับ และนำทางซอลจีฮูไปที่รถม้า ไม่นานนักรถม้าก็ได้เริ่มขยับ
และในท้ายที่สุดฟีไฮก็ได้อยู่กกับซอลจีฮูเพียงลำพัง เขาได้ถอดมงกุฎออกมา และถอนหายใจ
“ฟู่ววว ช่างวุ่นวายจริงๆ… เจ้าคงจะลำบากมากเหมือนกันสินะ ค่อนข้างจะน่าตื่นเต้นเลยใข่ไหม?”
“ก็นิดหน่อยครับ ต้องขออภัยที่นำปัญหามาให้นะครับ”
“ไม่ ไม่เลย เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิดสักนิด นอกจากนี้มันก็เป็นหน้าที่ของพ่อต้าที่จะต้องช่วยแก้ปัญหาให้ลูกเขยด้วยนี่”
“อะไรนะครับ”
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้น และถามขึ้นอีกครั้ง
“ข้านี่ชอบเจ้าจริงๆเลย”
ฟีไฮได้ถอนหายใจออกมา
“แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าไม่พอใจ นั่นก็คือในเมื่อเจ้าได้ยินชัดๆทำไมถึงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินด้วยล่ะ”
“อะไรนะครับ?”
“เห็นไหมล่ะ เจ้าเอาอีกแล้ว! ก็ได้ ข้าจะพอแล้ว”
ฟีไฮได้หัวเราะดังออกมา
“ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง มันก็แค่เทเรซ่าเอาแต่บ่นน่ะ เธอเอาแต่ไล่ฉันออกมาจากวัง”
‘ถ้างั้นเจ้าหญิงก็เป็นคนอยู่เบื้องหลังสินะ…’
เมื่อสถานการณ์ได้กลายมาเป็นแบบนี้แล้ว ซอลจีฮูก็พอจะมองถึงภาพรวมออกแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจให้มันกลายเป็นแบบนี้ แต่ว่าเหตุการณ์เมื่อวานและวันนี้ต่างก็เป็นแผนกลางที่มีตัวเขาเป็นตัวกลาง
พูดตรงๆเมื่อนนักบวชได้บุกเข้ามาในสำนักงานตอนเช้า เขารู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าความโกรธหรือไม่พอใจซะอีก หากว่าเขาอยู่เพียงลำพัง เขาก็อาจจะหนีไปที่โลกโดยไม่อาจจะทำอะไรได้
แต่ว่าซอลจีฮูไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
แม้ว่าจะมีคนที่พยายามโจมตีเขา แต่ว่าก็มีคนที่พยายามจะปกป้องเขาเช่นกัน นี่มันเป็นการปลอบใจอย่างหนึ่งของเขา
“ยังไงก็ตามเจ้าคงจะมีมิตรดีๆในกิลด์นักฆ่าอยู่สินะ”
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
ฟีไฮได้หยิบเอากระดาษขึ้นมาจากเสื้อโดยไม่พูดอะไรอีก มันก็คือรายงานข่าวจากกิลด์นักฆ่า
-การสาดโคลนฮีโร่ได้เริ่มขึ้น ‘อีกครั้ง’ แล้ว
ซอลจีฮูได้มองไปที่ฟีไฮ กษัตริย์กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง
หลังจากเงียบอยู่สักพัก-
“…ข้าขอโทษ”
ฟีไฮได้พูดออกมาอย่างขมขื่นเมื่อรู้สึกได้ว่าชายหนุ่มกำลังมองอยู่
“ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าได้แค่นี้”