ตอนที่ 199

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 199 – พาราไดซ์กับโลก (5)

เมื่อพวกเขาได้มาถึงวัง เทเรว่าที่เฝ้ารอคอยการมาถึงของพวกเขาก็ได้ก้าวลงบันไดมาอย่างรวดเร็ว

“ยินดีต้อนรับ!”

เทเรซ่าก็ยังคงมีชีวิตชีวาอารมณ์ดีจนช่วยบรรเทาของอารมณ์คนรอบตัวเช่นเคย ซอลจีฮูยิ้มออกมาได้ก็เพราะเธอ

“ไม่เจอกันนานเลยนะเจ้าหญิง”

“ใช่ นั่นแหละ”

หลังแค่นเสียงเบาๆ เทเรซ่าก็กระทุ้งศอกใส่สีข้างซอลจีฮู

“ฉันได้ยินมาว่านายกลับมาจากโลกแล้ว ฉันคิดว่าอย่างน้อยนายจะมาหาฉันสักครั้งซะอีก แต่นี่กระทั่งจดหมายก็ยังไม่มีส่งกันมาให้กันเลยนะ! นายทำแบบนี้กับฉันได้ยังไงกัน?”

เมื่อเทเรซ่าได้เหลือบตามองมาอย่างไม่พอใจ ซอลจีฮูก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ

“ฉันมัวแต่สนใจอยู่กับการรักษาตัวน่ะ หากว่าค่าสถานะของฉันลดลงไปอย่างถาวร ฉันก็คงสิ้นหวังแน่ๆ”

จากนั้นเขาก็ถอนหายใจเบาๆ

“นอกจากนี้…”

เมื่อเขาไม่ได้พูดต่อออกมา สีหน้าของเทเรซ่าก็สลดลงไป ในฐานะที่เธอเป็นคนอยู่เบื้องหลังจากไปหาเขาของกษัตริย์ฟีไฮ เธอก็จะต้องรู้ถึงสถานการณ์เป็นอย่างดี

“…”

เมื่อสีหน้าของซอลจีฮูมืดมนลงไป เธอก็พูดอะไรไม่ถูกแล้ว

ความกังวลของเธอได้ปรากฏขึ้นมา การได้รอดชีวิตจากสงครามครั้งใหญ่มา เขาก็ควรที่จะมีสิทธิ์ได้พักผ่อนอย่างสงบสุขสิ แต่ว่าในทันทีที่เขาเพิ่งหายดี เขากลับต้องมาเจอกับแผนการต่างๆมากมายที่ต้องทำให้ลำบากใจอีก

รางวัลของสงครามที่เขาต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงแค่การถูกยกย่องมันยังไม่พอ เทเรซ่าไม่รู้เลยว่าจะขอโทษยังไงกับสิ่งที่เป็น

“ขอบคุณที่ช่วยนะ”

เทเรซ่าได้ยิ้มแห้งๆออกมา เธอไม่มีทางรู้เลยว่าในขณะที่ซอลจีฮูขอบคุณเธอออกมา ภายในใจของเขารู้สึกยังไง

“ไม่เอาสิ ฉันก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้นเอง”

สำหรับฮารามาร์คแล้ว ซอลจีฮูก็คือผู้มีพระคุณที่ช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากการถูกทำลาย ในเมื่อซอลจีฮูได้ใช้ชีวิตตัวเองเพื่อปกป้องพวกเขา ถ้างั้นทางราชวงศ์ก็ควรที่จะปกป้องเขาเช่นกัน ต่อให้นั่นมันจะหมายความว่าพวกเขาจะสร้างศัตรูขึ้นมาก็ตาม

“อย่าไม่ต้องห่วงหรอกนะ ราชวงศ์ แล้วก็กระทั่งซิซิเลีย ซันเหอ แล้วก็องค์กรอื่นๆ พวกเขาก็กำลังรีบแก้ปัญหานี้อยู่ พวกเรามีแผนที่จะจ้างคนนอกเพื่อหามาตราการรับมืออีกด้วย เพราะงั้นเราน่าจะจบเรื่องนี้ได้โดยไม่มีปัญหาอะไร”

‘ซันเหอ?’

ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมาโดยที่ไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่าซันเหอก็เข้ามาเกี่ยวด้วย เทเรซ่าได้พูดต่อด้วยความมั่นใจ

“แม้ว่าวิหารลูซูเรียจะเป็นองค์กรที่มีอิทธิพลมากที่สุดรองมาจากกิลด์นักเวทย์ แต่ว่าพวกเขาก็ไม่อาจจะแตะต้องราชวงศ์ได้ง่ายๆ ตนนี้พอสิ่งต่างๆกลายมาเป็นแบบนี้แล้ว ก็ใช้โอกาสนี้พักยาวๆก็ได้ แค่ทำใจเย็นๆคอยรอก็พอแล้วล่ะ”

“ขอบคุณมากนะ! ถ้างั้นฉันก็ขอยอมรับความหวังดีแล้วกันนะ”

ซอยูฮูได้ยอมรับในความปรารถนาดีของราชวงศ์ เทเรซ่าได้โน้มตัวมาข้างหน้าและถามขึ้นมา

“กินข้าวกันไหม?”

ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา เป็นสัญญาณว่าเขายังไม่ได้หิว

“แล้วอาบน้ำล่ะ? หรือว่า…”

“ไม่”

ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาอย่างสงบ

“ถ้าไม่ว่าอะไร ช่วยเตรียมห้องเงียบๆไว้ให้ฉันหน่อยไหม?”

รอยยิ้มของเทเรซ่าได้หายไป ซอลจีฮูรู้สึกผิดหน่อยๆ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนคำพูด มันไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ถึงความตั้งใจของเทเรว่า แต่ว่าความตกตะลึงจากสิ่งที่เขาได้อ่านจากบันทึกยังไมได้หายไป

เขาจำเป็นจะต้องใช้เวลาสักหน่อยในการจัดการความคิด

“ได้เลย ตามมาสิ ฉันจะนำทางไปให้”

เทเรว่ายังคงรักษารอยยิ้มร่าเริงเอาไว้ต่อ และดึงมือซอลจีฮูออกไป จากนั้นเธอก็ได้เดินตัดผ่านทางเดินในวังไปทั้งๆที่คล้องแขนพูดคุยกับซอลจีฮูอยู่

ฟีไฮที่เห็นทั้งคู่ค่อยๆหายไปก็ส่งเสียงพึมพำ ‘หืมมม’ ออกมาพร้อมทั้งกอดอก

“ฉันคิดว่าอย่างน้อยเธอก็ควรจะบอกว่าฉันทำได้ดีสิ”

เขาได้หันไปมองแจน แซงตัสที่กำลังยืนอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็ยิ้มมุมปากขึ้นมา

“ฉันก็คิดเหมือนกับโอลิเวียนะ แต่ว่าการเลี้ยงดูลูกสาวนี่มันไร้ความหมายไปเลย นายก็คิดเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”

“แต่ว่าทั้งคู่ก็เหมาะสมกันดีนะครับ?”

น้ำเสียงเมินเฉยของผู้บัญชาการกองทัพที่ตอบกลับมาได้ทำให้กษัตริย์ผงะไป

“นี่มันเป็นครั้งแรกที่เจ้าพูดอะไรแบบนี้เลยนะ นี่เทเรซ่าติดสินบนอะไรไว้งั้นหรอ?”

“ไม่ ไม่มีครับ”

“นี่เป็นคำสั่งนะ พูดความจริงมา”

“…เธอสัญญาว่าจะให้การสนับสนุนและผลักดันทหารราบหุ้มเกราะ”

แจน แซงตัสได้แอบหลบสายตาออกไป ฟีไฮที่เห็นแบบนี้ก็ยิ้มแห้งๆออกมา

***

หลังจากหนีมาที่วัง ซอลจีฮูก็แทบจะรักษาความสงบเอาไว้ไม่ได้เลย แค่เพราะว่าสถานการณ์ได้ถูกบรรเทาลงไปแล้ว นั่นมันไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้

เทเรซ่าได้บอกให้เขาไม่ต้องกังวล แต่ว่าเขาไม่อาจจะยอมรับได้ว่าการโจมตีมันจบลงไปแล้ว แม้ว่าสถานการณ์จะค่อนข้างสงบลงไปแล้ว แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมาอีก

นอกไปจากนี้กฎแห่งทองคำของเขาก็ไม่ยอมให้เขาปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป

เขาโกรธ และเขาก็ควรที่จะโกรธด้วย

คำถามก็คือเขาจะระบายความโกรธนี้ออกไปอย่างไร

เนื่องจากระดับเหตุการณ์ที่ต่างออกไป เขาจึงรู้ดีว่าเขาไม่อาจจะบรรเทาสถานการณ์ได้ด้วยการจัดการคนสักคนสองคนเหมือนอย่างในงานจัดเลี้ยงได้

เพราะงั้นวอลจีฮูจึงได้ใช้เวลาอยู่ในห้องที่เทเรซ่าจัดหาเอาไว้อย่างเงียบๆ เขาจะออกจากห้องเฉพาะเขาสูบบุหรี่เท่านั้น และเมื่อเทเรซ่าได้เอาที่เขี่ยบุหรี่มาให้ เขาก็ได้ขังตัวเองสูบบุหรี่อยู่ในห้องไปตลอด

เทเรซ่าได้เข้ามา และออกไปจากห้องโดยที่ไม่ได้รบกวนเขาเลย และซอลจีฮูก็ทำเพียงแสดงสีหน้าขอบคุณในทุกๆครั้ง และไม่ได้มีอะไรออกมาอีก

“…เขาไม่เคยบอกให้ฉันอยู่ต่อเลย”

เทเรซ่าที่เพิ่งจะเอาเครื่องดื่มมาให้เขาได้หน้าบึ้งขึ้นมา เธอได้ยืนอยู่ตรงหน้าประตู และแอบเหลือบมองเข้าไปข้างใน

เขาไม่เจ็บคองั้นหรอ? ซอลจีฮูจะคาบบุหรี่อยู่ในปากทุกๆครั้งที่เธอเข้าไป จากท่าทีที่เขาค่อยๆหลับตาลงไปในบางครั้ง มันดูเหมือนกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

ไม่นานนักเมื่อซอลจีฮูลืมตาขึ้นมา ประกายสีน้ำเงินส่องประกายก็ปรากฏขึ้นในดวงตาเขา เขาได้เริ่มจ้องมองบันทึกราวกับเขาคิดจะกินมันลงไป

เทเรซ่าที่แอบเหลือบมองซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลงไป เธออยากจะเข้าไปคุยกันเขา…

‘น่ากลัว…’

แต่ว่าเขากลับเปล่งออร่าควรเข้าไปใกล้ทำให้เธอต้องถอยไป

***

จนกระทั่งถึงช่วงเย็น เทเรว่าถึงได้มีเหตุผลดีๆเข้าไปหาเขาอีกครั้ง

“แขก?”

“ใช่แล้ว เขาบอกว่าอยากจะเจอนายจริงๆ”

เทเรซ่าได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

“เขารออยู่ที่ห้องอาหาร นี่ก็ถึงเวลาอาหารแล้วด้วย ทำไมไม่ไปกินอะไรก่อนล่ะ?”

“ฉัน-“

“เขาเป็นคนที่นายรู้จักดีเลยนะ”

ซอลจีฮูรู้สึกว่ามันยากที่จะปฏิเสธเทเรซ่า โดยเฉพาะหลังจากที่เธอพูดแบบนี้ แม้ว่าเขาไม่อยากจะไปเจอแขกคนนี้ แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ไปปฏิเสธ นอกไปจากนี้หากว่าเป็นแขกที่ไม่ควรจะเจอหน้า เทเรซ่าก็คงจะไม่เอามาบอกเขาแน่ๆ

ซอลจีฮูก็ได้จัดระเบียบความคิดส่วนใหญ่เสร็จแล้ว และก็ได้ข้อสรุปออกมาแล้วด้วย เพราะงั้นเขาจึงออกไปจากห้องโดยไม่มีอะไรต้องคิดอีก

เมื่อเขามาถึงห้องอาหาร เขาก็ได้เห็นชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงหน้าภาพแขวนโดยที่สองมือไขว้หลังไว้อยู่

เมื่อซอลจีฮูเห็นผ้าพันคอสีเทาที่คอ และเสื้อโค้ทสีดำ เขาก็นึกถึงภาพร่างที่คุ้นเคยในทันที

“คุณฮ่าวอวิ่น?”

ชายคนนี้ได้หันกลับมา แม้ว่าจะมองไม่เห็นตาของเขาเพราะแว่นกันแดดที่สวมอยู่ แต่ว่ารอยยิ้มยินดีที่เผยออกมาได้แสดงให้เห็นว่าคือฮ่าวอวิ่นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

“เอ๋ ไม่เจอกันนานเลยนะ”

ฮ่าวอวิ่นได้พูดขึ้นอย่างขี้เล่น และเขามาหาซอลจีฮู ทั้งสองคนได้เดินเข้าหากัน และจับมือกัน

“นายให้กลิ่นอายที่ต่างไปจากที่เขตพื้นที่เป็นกลางอย่างสิ้นเชิงเลยนะ”

“ฮ่าวอวิ่น… ผมไม่คิดเลยว่าจะมาเจอนายที่นี่”

“นายคงจะคิดว่านี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่งานจัดเลี้ยง…”

ฮ่าวอวิ่นได้ลดแว่นกันแดดลง และพูดต่อ

“แต่ว่าหลังจากงานจัดเลี้ยงฉันได้เจอนายอยู่หลายครั้งแล้ว ฉันได้ไปหานายที่ห้องพักฟื้นอยู่ประมาณสี่ครั้ง นายคงไม่รู้ใช่ไหมล่ะ?”

ไม่ จริงๆแล้วเขารู้ ซอลจีฮูยังจำได้ชัดเจนว่าฮ่าวอวิ่นได้มาเยี่ยมเขาในตอนที่สติของเขาตื่นขึ้นมา

“พอได้ยินว่านายตื่นขึ้นมา ฉันค่อยโล่งใจหน่อย ฉันคิดว่าจะหาเวลาดีๆมาหานาย แต่ว่าพอไปหานาย นายก็กลับไปที่โลกซะแล้ว”

“ผมรีบกลับไปที่โลกหน่อยนึง…”

ซอลจีฮูกับฮ่าวอวิ่นได้นั่งลงบนโต๊ะ และคุยเรื่องต่างๆกัน ในเวลาเดียวกันอาหารต่างๆก็ได้ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ

“หากว่าต้องการอะไรก็เชิญกดกระดิ่งได้เลยนะ”

เทเรซ่าที่ได้เปลี่ยนมาเป็นชุดเดรสชนชั้นสูงได้วางกระดิ่งเล็กๆเอาไว้บนโต๊ะ จากนั้นเธอก็ค่อยๆเดินออกไปอย่างสง่างามหลังจากที่โค้งคำนับ

ฮ่าวอวิ่นได้หัวเราะออกมา

“เจ้าหญิงคนนี้… ฮ่าฮ่า เธอกำลังเล่นสวมบทบาทมากไปแล้ว”

“สวมบทบาท?”

เมื่อเห็นซอลจีฮูเอียงหัวออกมา ฮ่าวอวิ่นก็แลบลิ้น

“อย่ามาทำเป็นทึ่มสิ นายถูกปฏิบัติเหมือนกับเป็นลูกเขยของราชวงศ์ สัญชาตญาณของฉันกำลังบอกแบบนี้ นายก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรอ?”

เมื่อซอลจีฮูยังแสดงสีหน้าสับสนออกมาอยู่ ฮ่าวอวิ่นก็ผิวปากออกมาก่อนที่จะมองลงไปบนโต๊ะ

“ยังไงก็ตาม การถูกทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงเลยสักนิด มันเกือบจะทำให้ฉันอึดอัดใจ”

“นายกินอาหารเย็นหรือยัง?”

“ไม่ แต่ว่าสิ่งที่ฉันกำลังจะบอกนายมันอาจจะทำให้นายปวดท้อง”

หลังจากได้ยินแบบนี้ซอลจีฮูก็พอจะเดาได้แล้วว่าฮ่าวอวิ่นมาทำไม เขาได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มเบื่อหน่าย

“ไม่เป็นไรหรอก กระเพาะของผมมันแกร่งมาก”

“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะ ถ้างั้นก็มากินกันก่อนดีกว่า ตั้งแต่เมื่อวานฉันต้องวิ่งเต้นเหมือนกับไก่ไม่มีหัวแน่ะ ฉันกำลังหิวสุดๆไปเลย!”

ฮ่าวอวิ่นได้หยิบมืดกับส้อมขึ้นมาหลังจากพูดอย่างขี้เล่น

อาหารเย็นได้ดำเนินไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น ด้วยอาหารที่ยอดเยี่ยม และเพื่อนที่ดี การกินอาหารก็กลายเป็นเรื่องง่ายต่อให้ไม่อยากอาหารก็ตาม

ทั้งคู่ได้เริ่มคุยกันตั้งแต่เรื่องเขตพื้นที่เป็นกลางจนมาถึงสงคราม จนกระทั่งเมื่อมื้ออาหารใกล้จะจบลง พวกเขาก็ได้เริ่มเข้าเรื่องแล้ว

“นายทำได้เยี่ยมมากที่ห้ามตัวเองเอาไว้ได้ตอนอยู่ที่บาร์”

ฮ่าวอวิ่นได้หยิบกระดาษขึ้นมาหลังจากจิบไวน์

มันเป็นการรายงานข้อมูลข่าว

-ธาตุแท้ของซอลจีฮู วีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์ค และหัวหน้าของคาเพเดี่ยม

ซอลจีฮูได้เงยหน้าขึ้นมาหลังจากอ่านหัวเรื่อง ฮ่าวอวิ่นที่กำลังเช็ดปากอยู่ได้ยกยิ้มขึ้นมา

“ในคืนนั้น หนึ่งในสมาชิกของตระกูลฉันก็อยู่ที่บาร์เหมือนกัน”

“…”

“เขาเป็นคนที่หัวไว เขาได้ถ่ายทอดสดสถานการณ์ให้กับฉัน และฉันก็รู้สึกแย่ขึ้นมาทันทีเลย ฉันได้ติดต่อขอความร่วมมือกับซิซิเลีย จากนั้นก็ตระเวนไปตามท้องถนนโดยคิดว่าจะมีคนค้าข้อมูลอยู่แถวนั้น”

จากนั้นฮ่าวอวิ่นก็ได้จี้มาที่กระดาษ

“นี่คือผลจากการสืบสวนของเขา มีมันอยู่เต็มกล่องไปหมดเลยล่ะ ลองอ่านดูสิ”

สายตาของซอลจีฮูได้ก้มลงไปมองบนเนื้อข่าวทันที

-ราชวงศ์และองค์กรต่างๆในฮารามาร์คกำลังให้การปกป้องซอลจีฮู แต่ว่าจริงๆแล้วมันเป็นการฟังความฝ่ายเดียว

ตามเนื้อผ้าแล้วเราควรที่จะฟังความทั้งสองฝ่าย บางทีชาวโลกกับชาวพาราไดซ์ต่างก็กำลังมองไปที่ซอลจีฮูด้วยความเข้าข้ามเพราะชื่อวีรบุรุษสงครามแห่งฮารามาร์คของเขาก็ได้

นักข่าวคนนี้ได้พบกับชาวโลกที่อ้างตัวว่าถูกคาเพเดี่ยมคุกคาม และทุบตีในวันนั้น

เมื่อไหร่ก็ตามที่เขานึกถึงเหตุการณ์นั้นเขาก็ต้องนอนสั่นด้วยความหวาดกลัว แต่ว่าฉันก็พอจะสามารถโน้มน้าวเขาได้ด้วยเงื่อนไขที่จะเก็บตัวตนของเขาเอาไว้เป็นความลับ

เพื่อนำเสนอความจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ข้อความด้านล่างต่อจากนี้ก็คือบทสัมภาษณ์

ผู้สอบถาม) ผมได้ยินมาว่าคุณเป็นฝ่ายเริ่มก่อน
ผู้ตอบคำถาม) ครับ ผมยอมรับ แต่ว่าผมก็มีเรื่องอย่างจะพูดเหมือนกัน มันไม่ใช่ว่าผมบ้าหรือไม่ได้รู้ว่าคาเพเดี่ยมมีแรงค์เกอร์ระดับสูงหลายคนหรอกนะ ทำไมผมถึงต้องไปเริ่มหาเรื่องโดยไม่มีเหตุผลด้วยล่ะ?

ผู้สอบถาม) นั่นฟังดูเหมือนกับว่าคุณมีเหตุผลที่ยั่วยุพวกเขาเลยนะ
ผู้ตอบคำถาม) ถูกแล้วครับ ผมยั่วยุเขาก่อนก็จริง แต่ว่ามันมีเหตุผลอยู่ ในตอนแรกที่ผมเห็นพวกเขา ผมก็นั่งลงบนโต๊ะและมองดูพวกเขาเฉยๆ ผมไม่ได้รู้สึกอะไรไม่ดีกับพวกเราเลยนักนิด

ผู้สอบถาม) ผมอยากจะรู้เหตุผลนั่นจัง
ผู้ตอบคำถาม) ผมก็ได้เข้าร่วมในสงครามนั่นเหมือนกัน และผมก็ขอบคุณพวกเขาที่สู้ในแนวหน้าเพื่อผลักดันให้ศัตรูถอยกลับไป แต่ว่ามันไม่ใช่ว่าเราก็เป็นสหายร่วมรบที่ต่อเอาชีวิตเข้าเสี่ยงสู้กับศัตรูเหมือนกันหรอกหรอ? ผมยอมรับในความสำเร็จของพวกเขา แต่ว่ามันยากที่จะทนฟังพวกเขาพูดดูแคลนคนอื่นๆที่สู้ร่วมกับพวกเขาได้

ผู้สอบถาม) ดูแคลน? คุณเพิ่งพูดว่าดูแคลนงั้นหรอครับ?
ผู้ตอบคำถาม) พวกเขาทำเหมือนกับว่าชาวโลกที่ร่วมรบเป็นเหมือนคนโง่ และบอกว่าพวกเราควรจะคำนับพวกเขาเพราะพวกเขาได้ช่วยชีวิตเราเอาไว้ นี่มันไม่ใช่การดูแคลนหรอครับ? ผมได้เข้าร่วมสงครามครั้งนั้นตามหลักการของผม แต่ว่าการมาได้ยินพวกเขาพูดเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นคนเดียวที่สู้ในสงครามนั่นมันทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจ

ผู้สอบถาม) ผู้คนในบาร์ได้ให้การว่าคุณดูถูกพวกเขามากเกินไป
ผู้ตอบคำถาม) ผมก็รู้ดี ผมไม่ได้จะบอกว่าสิ่งที่ผมทำมันถูกหรือดี ผมรู้ว่าผมทำพลาดไป แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมนึกถึงสหายของผมที่ตายไปในสงครามครั้งนี้ สหายที่ผมได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายปี… จู่ๆผมก็ตะคอกออกไป ผมพูดออกไปเพราะแบบนี้แหละ แถมผมก็เมาอีกด้วย ผมไม่ได้ไตร่ตรองถึงคำพูดที่ใช้ออกไป แต่ว่า…

ชายคนนี้ไม่อาจจะพูดต่อได้อีก และนักข่าวก็หยุดบทสัมภาษณ์เพียงเท่านี้ ในขณะที่ฉันกำลังฟังเรื่องราวของชายคนนี้ หัวของผมก็นึกไปถึงซึงชิฮยอนโดยอัตโนมัติ

ในด้านหนึ่งซึงชิฮยอนกับซอลจีฮูคล้ายกันมาก ไม่เพียงแค่พวกเขาจะมาจากที่เดียวกัน แต่ว่าพวกเขายังทำตัวคล้ายๆกัน ทุกๆคนมั่นใจในความสามารถของซึงชิฮยอน แต่ว่าเขาเป็นคนที่มีนิสัยที่โหดร้าย และยิ่งยโส…

“…เรื่องสาธารณะเป็นเรื่องสาธารณะ และเรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องส่วนตัว แน่นอนว่าความจริงของเรื่องนี้ยังไม่ได้ถูกเผยออกมา…”

ซอลจีฮูได้ขย้ำกระดาษลงไปโดยไม่อ่านต่อไปอีก

“ถ้าต้องการจะฉีกมันทิ้งก็ได้นะ”

แคว๊ก! ซอลจีฮูได้ฉีกกระดาษขาดครึ่งไปในทันที หลังจากฉีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระดาษกลายเป็นชิ้นเล็กๆ ซอลจีฮูก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

“นี่คือแผนที่พวกเขาคิดจะขายเรื่องนี้งั้นหรอสินะ”

“มันคือพลังของคำพูด”

ฮ่าวอวิ่นได้หยักไหล่ออกมา

“อย่างที่นายรู้ ชื่อของนายมีคุณค่าในตัวมันเอง ยิ่งหลังสงครามนี้มันยิ่งทวีคุณค่าขึ้นไปอีก หากจะพูดว่าคนทั่วทั้งพาราไดซ์ต่างก็รู้จักชื่อของนายมันก็ไม่ได้เว่อเกินไปเลย นายรู้ไหมว่าผู้คนได้ประเมินนายเอาไว้ยังไงกัน?”

ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมา แม้ว่าเขาจะได้เห็นนามแฝงใหม่ๆแล้ว และพอคิดอยู่บ้าง แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจมันมากขนาดนั้น

“คนลึกลับ ชาวโลกลึกลับที่ทำความสำเร็จไม่น่าเชื่อจากระดับต่ำ คนผิดปกติจากพื้นที่ที่ 1 ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นอย่างมากจากความสำเร็จในเขตพื้นที่เป็นกลาง และงานจัดเลี้ยง นี่มันคือการประเมินโดยทั่วไป”

จากนั้นฮ่าวอวิ่นก็หัวเราะดังมากออกมา

“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ แต่ว่าพวกเขาช่างน่าหัวเราะ! พวกเขาพยายามที่จะเผยความลึกลับของนายผ่านการต่อสู้ที่บาร์ซึ่งมันจะเกิดขึ้นในตอนไหนก็ได้ในช่วงชีวิตนาย และจากนั้นทับซ้อนชื่อเสียของซึงชิฮยอนลงไปบนตัวนาย… ฮ่าฮ่า ฉันอยากจะเห็นผู้อยู่เบื้องหลังผลงานนี้จริงๆเลย!”

“…”

“แต่ก็นะ นายไม่ต้องกังวลไปหรอก พวกเราได้จัดการแก้ไขข่าวก่อนที่พวกเขาจะปล่อยมันออกมา และส่งข้อมูลต่อให้กิลด์นักฆ่าก่อนที่จะมานี่แล้ว ซิซิเลียก็ยังยืนยันว่าทั้งสี่คนนั้นไม่ได้เข้าร่วมสงคราม เพราะงั้นข่าวที่พูดถึงเรื่องนี้เดี๋ยวก็จะออกมาแล้วล่ะ ในตอนที่มันเกิดขึ้น พวกเขาก็จะไม่อาจแตะต้องนายได้อีกสักพักล่ะนะ”

ฮ่าวอวิ่นที่กำลังหยักหน้าอยู่ จู่ๆก็ถอนหายใจยาวออกมา

“แต่มันก็แค่สักพักเท่านั้น”

“…ขอบคุณนะ”

ซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าขอบคุณออกมา แต่ว่าเขาไม่ได้ดูยินดีเลย ในตอนนี้แม้กระทั่งพูดขอบคุณ เขาก็ยังรู้สึกรำคาญใจ

ทุกๆคนได้ทำเต็มที่เพื่อช่วยสนับสนุนเขา แต่ว่าเขากลับมาติดอยู่ที่วังโดยที่ทำอะไรไม่ได้

เขารู้สึกหมดหนทางยิ่งกว่าในตอนที่เผชิญหน้ากับความหมั่นเพียรอันนิรันดร์ซะอีก

‘นี่คือพลังขององค์กรที่เหนือกว่าทีมสินะ….?’

“นายไม่จำเป็นต้องมาขอบคุณฉันหรอก ฉันได้สนุกไปกับเขตพื้นที่เป็นกลางก็เพราะนาย แล้วฉันก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะทำเป็นไม่เห็นในตอนที่เพื่อนเดือดร้อนหรอกนะ เรื่องที่ฉันทำมันก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นเอง “

จากนั้นฮ่าวอวิ่นก็ถอนหายใจออกมา และสวมเสื้อโค้ทของเขา

“นอกจากนี้ในงานจัดเลี้ยงฉันก็ถูกช่วยเอาไว้เหมือนกัน เพราะงั้นฉันก็อยากจะใช้หนี้คืนก่อนจะจากไป ถือว่าเป็นของขวัญจากลาแล้วกัน”

ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา

“ของขวัญจากลา…? นายกำลังจะไปแล้วหรอ?”

“ใช่แล้ว มันเพิ่งจะถูกตัดสินใจได้ไม่นานนี้เอง ซันเหอกำลังจะไปจากฮารามาร์ค”

ฮ่าวอวิ่นได้พูดออกมาราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ว่าซอลจีฮูรู้ดีว่าการย้ายฐานบัญชาการขององค์กรที่มีอิทธิพลมันไม่ใช่เรื่องง่าย

นี่มันเป็นเรื่องสำคัญมาก!

ซอลจีฮูได้กระพริบตาออกมาโดยพูดอะไรไม่พูด ในตอนนั้นเองฮ่าวอวิ่นก็พูดขึ้น

“ยังงก็ตาม ฉันดีใจนะ”

“เรื่องอะไรหรอ?”

“ก็สิ่งที่ฉันพูดก่อนหน้านี้น่ะ ฉันกลัวว่านายจะพูดว่า ‘อ๊า เราต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรอ?’”

เขากำลังพูดถึงเรื่องการปล่อยข่าวโต้ตอบงั้นหรอ? ซอลจีฮูที่เข้าใจเรื่องนี้ได้ถามออกไปอย่างสับสน

“…มันมีเหตุผลที่ฉันจะปฏิเสธด้วยหรอ?”

“แน่นอนสิ การอดทนต่อความอยุติธรรมได้ทำให้นายเป็นคน แต่การอดทนต่อความสูญเสียจะทำให้นายหัวอ่อนถูกหลอกง่าย”

ฮ่าวอวิ่นได้สวมผ้าผันคอและลุกขึ้น

“ทำไมเราไม่ไปเดินด้วยกันหน่อยล่ะ? จะได้ย่อยของที่กินกัน และก็ไปสูบกันสักหน่อย”

เมื่อซอลจีฮูได้มองขึ้นมาอย่างเหม่อลอย-

“…นอกไปจากนี้ฉันก็มีเรื่องที่อยากจะถามนายก็ไปด้วย”

จู่ๆน้ำเสียงของฮ่าวอวิ่นก็กลายเป็นทุ้มลึก

มันไม่ใช่สิ่งที่เขาจะพูด แต่เป็นสิ่งที่เขาจะถาม

ถึงจะคล้ายกัน แต่ว่ามันก็ต่างกันอยู่เล็กน้อย

ซอลจีฮูได้ลุกขึ้นทันทีราวกับว่าเขาต้องมนต์