บทที่ 229 ปัญหาของหลินเป่ยเฉิน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 229 ปัญหาของหลินเป่ยเฉิน

หลินเป่ยเฉินไม่คิดไม่ฝันเลยว่าการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองจะกลายเป็นการแข่งขันหั่นแตงโมไปเสียได้

เขาจ้องมองแตงโมที่วางอยู่บนโต๊ะหินด้วยความพินิจพิเคราะห์ มันคือแตงโมทรงกลมเกลี้ยงเกลา เปลือกมีสีเขียวดั่งมรกต ดูสวยงามเป็นที่สุด แต่กลับไม่มีป้ายร้านหรือสัญลักษณ์ใดบอกเลยว่าเป็นผลิตภัณฑ์มาจากไหน

ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นสินค้าจากผู้สนับสนุนการแข่งขันจริงๆ ด้วย

แต่ถ้าจะให้พูดกันตามตรงก็คือ หลินเป่ยเฉินไม่มีความมั่นใจในเรื่องของการหั่นแตงโมเลยสักนิด

เขามีประสบการณ์ตัดหัวคนมากกว่าผ่าแตงโมเสียอีก

ระหว่างที่เด็กหนุ่มกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น การแข่งขันทดสอบความเร็วในการใช้กระบี่ก็เริ่มต้นขึ้น

ผู้เข้าแข่งขันคนแรกที่ต้องขึ้นไปทดสอบเป็นเด็กสาวผมหางม้าจากสถานศึกษากระบี่ที่ห้า นางเลือกกระบี่จากชั้นวางมาได้หนึ่งเล่ม เมื่อลองทดสอบน้ำหนักดูจนแน่ใจว่าเหมาะมือ เด็กสาวก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีและหยุดยืนอยู่หลังโต๊ะหินซึ่งตั้งลูกแตงโมเอาไว้

เด็กสาวมีใบหน้าสะสวย รูปร่างอรชร สวมใส่ชุดเครื่องแบบมือกระบี่หญิง ดูเป็นคนมั่นใจในตนเอง นางสูดหายใจรวบรวมสมาธิเล็กน้อยท่ามกลางการจับจ้องของผู้คนทั้งห้องโถงใหญ่

หลังจากนั้น เด็กสาวก็ชักกระบี่ออกจากฝักและหันไปพยักหน้ากับอู๋เฟิ่งกูที่ยืนอยู่ด้านข้าง

“เริ่มได้”

สิ้นเสียงตะโกนของชายชรา เด็กสาวผมหางม้าก็ฟันกระบี่ กระบี่แรกนางฟันเข้าไปที่ฐานแตงโม ส่งผลให้ลูกแตงโมลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วจังหวะต่อมา กระบี่ก็สาดประกายสีเงินวาววับ ได้ยินเสียงคมกระบี่ตัดอากาศดังควับควับ

“หยุดมือ!”

อู๋เฟิ่งกูส่งเสียงออกมาอีกครั้ง

กำหนดระยะเวลาในการหั่นแตงโมก็คือชั่วหนึ่งการสูดลมหายใจ

นับเป็นระยะเวลาที่สั้นมาก

เด็กสาวลดกระบี่ลง

ลูกแตงโมตกกลับลงไปตั้งอยู่บนโต๊ะอีกครั้ง มันยังคงเป็นแตงโมทรงกลมเหมือนเดิม

เด็กสาวใช้กระบี่เคาะโต๊ะหินเล็กน้อย

โต๊ะหินสั่นสะเทือน

แล้วลูกแตงโมสีเขียวมรกตก็แยกออกเผยให้เห็นเนื้อในสีแดงสด มันถูกผ่าแยกตรงกลางแบ่งออกชิ้นเล็กชิ้นน้อย วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอย่างชวนรับประทาน

“โอ้โห…”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงอุทานออกมาด้วยความมหัศจรรย์ใจ

ผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่นๆ หันมามองหน้าเขาเป็นตาเดียว

“อยากกินจังเลยแฮะ”

หลินเป่ยเฉินแลบลิ้นเลียริมฝีปาก

ทุกคนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

“หลิวหยิง หนึ่งกระบี่สามารถหั่นได้ 22 ชิ้น ความเร็วในการใช้กระบี่อยู่ที่ระดับปานกลาง”

อู๋เฟิ่งกูประกาศผลการทดสอบ

สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ จะแบ่งความเร็วในการใช้กระบี่ออกเป็นสามระดับ คือระดับสูง ระดับปานกลาง และระดับต่ำ

เด็กสาวผมหางม้าที่ชื่อหลิวหยิงจัดอยู่ในประเภทไม่ดีไม่แย่

นางสอดกระบี่คืนฝัก ยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลังจากนั้นก็เดินนำกระบี่กลับไปวางคืนบนชั้นวาง

แล้วการทดสอบก็ดำเนินต่อไป

“เสว่เจียหยิน หนึ่งกระบี่หั่นได้ 18 ชิ้น ความเร็วในการใช้กระบี่อยู่ที่ระดับปานกลาง”

“ซื่อเฟย ความเร็วในการใช้กระบี่อยู่ในระดับปานกลาง”

“ลู่เฉิงหยุน ความเร็วในการใช้กระบี่อยู่ในระดับปานกลาง”

“เยว่หงเซียง หนึ่งกระบี่หั่นได้ 14 ชิ้น ความเร็วในการใช้กระบี่อยู่ที่ระดับปานกลาง”

“ฮันปู้ฟู่ หนึ่งกระบี่หั่นได้ 16 ชิ้น ความเร็วในการใช้กระบี่อยู่ที่ระดับปานกลาง”

“ไป๋ชินหยุน หนึ่งกระบี่หั่นได้ 10 ชิ้น ความเร็วในการใช้กระบี่อยู่ที่ระดับต่ำ”

ลูกศิษย์ทั้งสามคนของสถานศึกษากระบี่ที่สามผ่านการทดสอบ ถึงคะแนนจะอยู่ในระดับปานกลางและระดับต่ำ แต่ก็ไม่นับว่าทำให้สถาบันขายหน้า

เมื่อทบทวนดูผลการแข่งขันก่อนหน้านี้ของสถาบัน นับว่าเยว่หงเซียง ฮันปู้ฟู่และไป๋ชินหยุนทำผลงานได้ดีที่สุดในรอบหลายปีด้วยซ้ำไป

หัวหน้าคณะอาจารย์หลิวฉีไห่ยิ้มแย้มออกมาด้วยความพอใจ

แต่แน่นอนว่าเขาฝากความหวังสูงสุดเอาไว้ที่หลินเป่ยเฉิน

ไม่มีใครทราบว่าหลินเป่ยเฉินจะสร้างปาฏิหาริย์อันใดอีกในการแข่งขันหั่นแตงโมครั้งนี้?

ฉู่เหินกับพานเว่ยหมินก็เฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นผลการทดสอบเช่นกัน

“เยว่เว่ยหยาง หนึ่งกระบี่หั่นได้ 44 ชิ้น ความเร็วในการใช้กระบี่จัดอยู่ที่ระดับสูง”

ทันใดนั้น เสียงประกาศผลการทดสอบของอู๋เฟิ่งกูก็ดังกังวานทั่วห้องโถงใหญ่อีกครั้ง

เสียงของเขาดังกังวานอยู่ในหูของทุกคน

หนึ่งกระบี่สามารถหั่นได้ถึง 44 ชิ้น!

ในช่วงสูดลมหายใจเข้าออกครั้งเดียว นางสามารถตวัดกระบี่ได้ถึง 44 ครั้งได้อย่างไร?

นี่คือผลการทดสอบที่เหนือคำว่าธรรมดาหลายเท่า

“ให้ตายสิ 44 ชิ้นในไม่กี่วินาที…มือต้องเร็วขนาดไหนวะเนี่ย?” หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจด้วยความเหลือเชื่อ

ความเร็วระดับนี้น่ากลัวมากเกินไป

หรือว่านักบวชสาวของวิหารเทพกระบี่จะเป็นโสดมาตลอด ก็เลยสามารถใช้มือได้อย่างคล่องแคล่ว…

ไม่เอาน่า ทำไมเขาถึงได้สัปดนแบบนี้นะ

เด็กหนุ่มรีบสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง

แต่อย่างไรก็ตาม ผลการทดสอบของเยว่เว่ยหยางก็ทำให้เฉาพั่วเถียนที่มีความมั่นอกมั่นใจเป็นนักหนา กลับต้องมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว

ไม่นานหลังจากนั้น เสียงของอู๋เฟิ่งกูก็ดังกังวานอีกครั้ง

“หลิงเฉิน หนึ่งกระบี่หั่นได้ 42 ชิ้น ความเร็วการใช้กระบี่จัดอยู่ที่ระดับสูง”

ความผิดหวังปรากฏขึ้นในแววตาของหลิงเฉิน นางสอดกระบี่กลับเข้าฝักด้วยสีหน้าปราศจากความรู้สึก ก่อนจะเดินลงมาจากเวที ควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในความนิ่งเฉยขณะวางกระบี่กลับคืนลงไปที่ชั้นวาง

และจังหวะนั้นเอง นางก็หันมาประสานสายตากับเยว่เว่ยหยาง

สายตาของเด็กสาวทั้งสองคนเหมือนจะมีประกายไฟปะทุขึ้นมา

ไม่มีใครรู้เลยว่าเด็กสาวทั้งสองนางนี้ กลายเป็นคู่แข่งกันตั้งแต่เมื่อไหร่

การแข่งขันยกกระถางทองคำเมื่อวานนี้ เยว่เว่ยหยางสามารถยกกระถางใบที่ห้าได้ก็จริง แต่นางก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่หลิงเฉิน ทว่าการแข่งขันทดสอบความเร็วในการใช้กระบี่วันนี้ หลิงเฉินกลับต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ นี่แสดงให้เห็นว่าการแข่งขันระหว่างเด็กสาวทั้งสองคนเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

ยิ่งการทดสอบดำเนินไปมากเท่าไหร่ ผลการทดสอบที่น่าเหลือเชื่อก็ปรากฏออกมามากขึ้น

หลิงเสวียนสามารถหั่นได้ 36 ชิ้น มีความเร็วอยู่ในระดับสูง

หลินอี้สามารถหั่นได้ 34 ชิ้น มีความเร็วอยู่ในระดับสูง

ตงฟางจันสามารถหั่นได้ 28 ชิ้น มีความเร็วอยู่ในระดับสูง

เมื่อถึงคราวการทดสอบของเฉาพั่วเถียน เสียงประกาศของอู๋เฟิ่งกูก็ดังกึกก้องอีกครั้ง

“เฉาพั่วเถียน หนึ่งกระบี่สามารถหั่นได้ 44 ชิ้น มีความเร็วอยู่ในระดับสูง”

เสียงประกาศของชายชราดังสะท้อนไปทั่วห้องโถงใหญ่

กลุ่มผู้เข้าแข่งขันส่งเสียงฮือฮาออกมาอีกครั้ง

เขาสามารถทำคะแนนได้เท่ากับเยว่เว่ยหยางและทำคะแนนได้มากกว่าหลิงเฉิน

สมแล้วที่เป็นลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุน

เมื่อวานนี้ เฉาพั่วเถียนต้องพ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉินอย่างน่าเจ็บใจจนเขาต้องกระอักเลือดออกมา แม้ว่าเด็กหนุ่มผมทองจะสามารถยกกระถางหมายเลขห้าได้ก็จริง แต่เขากลับโดนหลินเป่ยเฉินทำคะแนนหนีห่างไปแบบไม่เห็นฝุ่น และมันก็เป็นสิ่งที่เฉาพั่วเถียนแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว

ทว่า ในการทดสอบความเร็วของการใช้กระบี่วันนี้ ในที่สุด เฉาพั่วเถียนก็แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา

เมื่อคะแนนของเฉาพั่วเถียนถูกประกาศออกไป เจ้าตัวก็รู้สึกโล่งอกขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ต้องเสแสร้งแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา ก่อนจะสอดกระบี่กลับคืนเข้าฝักพลางส่ายหัวดิกๆ เดินลงจากเวทีอย่างแช่มช้า แล้วจึงจะนำกระบี่ไปวางคืนที่เดิมในที่สุด

เมื่อหันหน้ามองกลับมา สายตาของเขาก็จ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินด้วยความเย้ยหยัน

บังเอิญว่าการทดสอบในวันนี้ หลินเป่ยเฉินคือคนที่ต้องขึ้นเวทีต่อจากเขาพอดี

หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปเลือกกระบี่อยู่นานสองนาน เมื่อเห็นว่าเลือกไม่ได้เสียที อู๋เฟิ่งกูจึงต้องส่งเสียงเร่งเร้า นั่นเองหลินเป่ยเฉินถึงได้เลือกกระบี่มั่วๆ มาเล่มหนึ่ง และเดินขึ้นเวทีไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

สายตาของทุกคนจับจ้องมองมาที่เขาเป็นจุดเดียว

ทุกคนต่างก็อยากรู้ว่าผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งมหาศาลอย่างหลินเป่ยเฉิน จะมีความรวดเร็วในการใช้กระบี่อยู่ในระดับไหน?

ดวงตาของเด็กหนุ่มจ้องมองอยู่ที่ลูกแตงโม

หัวใจเต้นระรัวดั่งกลองตี

แม้แต่ในเมืองหยุนเมิ่ง ชาวเมืองแทบทุกคนก็หยุดกิจกรรมที่กำลังทำอยู่อย่างพร้อมเพียง เพื่อมาดูถ่ายทอดสดการหั่นแตงโมของเด็กหนุ่ม

บนหน้าจอในขณะนี้ กำลังแสดงภาพหลินเป่ยเฉินหันไปพยักหน้าให้กับอู๋เฟิ่งกู

“เริ่มได้!”

อู๋เฟิ่งกูส่งเสียงให้สัญญาณ

ควับ!

หลินเป่ยเฉินชักกระบี่ออกจากฝัก และผ่าลงไปที่กึ่งกลางของลูกแตงโมก่อนเป็นลำดับแรก หลังจากนั้นเขาก็ขยับมือเป็นแนวสี่เหลี่ยมจัตุรัส ฟันลูกแตงโมอย่างดุดัน

แต่การเคลื่อนไหวกระบี่ของหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ มันมีความรวดเร็วเกินกว่าคำว่า ‘ฟัน’ ไปหลายเท่า