บทที่ 230 หน้าด้านอันดับหนึ่ง
“ทุกคนจงเบิกตามองดูให้ดีว่าฝีมือของยอดเซียนกระบี่ประจำเมืองหยุนเมิ่งน่ากลัวเช่นไร!”
หลินเป่ยเฉินตะโกนก้อง
ฟู่!
น้ำแตงโมสาดกระจาย
แตงโมลูกใหญ่ถูกหั่นจนเละเทะไม่เป็นรูปทรง
มีแต่เศษแตงโมกระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะหินประมาณ 70 ถึง 80 ชิ้น
ทุกคนล้วนไม่อยากเชื่อกับการกระทำของหลินเป่ยเฉิน
เกิดความเงียบครอบคลุมบรรยากาศในห้องโถงใหญ่
ไม่ว่าจะเป็นบนหน้าจอการถ่ายทอดสดใหญ่น้อย ชาวเมืองที่เฝ้าหน้าจอต่างก็สำลักน้ำลายและมีสีหน้าแปลกประหลาดพิกล
นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้พบว่าการทดสอบความเร็วในการใช้กระบี่ มีวิธีที่แปลกประหลาดพิสดารขนาดนี้
และในขณะที่ทุกคนกำลังตั้งตัวไม่ติดอยู่นั้นเอง หลินเป่ยเฉินก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง
เขาหันหน้ามามองกระจกถ่ายทอดสด กระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะวางมาดเข้มขรึมจริงจัง และนำสิ่งของที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสออกมาจากแหวนเก็บของ เขาถือของสิ่งนั้นเอาไว้ในมือและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
“ช่วงนี้พักชมสิ่งที่น่าสนใจกันสักครู่ แล้วเดี๋ยวเราค่อยมาติดตามการแข่งขันต่อนะขอรับ”
“ทุกท่านคงอยากรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดข้าถึงได้รับฉายาว่าเป็นหนุ่มหล่ออันดับหนึ่งประจำหยุนเมิ่ง นั่นเป็นเพราะว่าข้าใช้สบู่อาจารย์ฟาง ซึ่งมีร้านขายอยู่ที่ถนนหลิวเฟิงหมายเลข 23 เมื่อแจ้งแก่พนักงานร้านว่าท่านมาซื้อโดยได้รับคำแนะนำจากหลินเป่ยเฉิน ท่านก็รับไปเลยส่วนลด 20 ส่วนจากราคาทั้งหมด…”
เด็กหนุ่มพูดช้าๆ ชัดถ้อยชัดคำ
ในมือของเขาถือสบู่โดดเด่นสะดุดสายตา
เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาซึ่งมีหน้าที่เป็นเสมือนตากล้องตกตะลึงเกินกว่าที่จะหันกระจกส่งสัญญาณไปทางอื่น ทำให้การโฆษณาสบู่ของหลินเป่ยเฉินแพร่ภาพออกไปทั่วเมือง
ณ ลานจัตุรัสประจำเมืองในขณะนี้ ชายชราร่างเตี้ยผู้หนึ่งกำลังยกมือขึ้นชี้ไปบนหน้าจอ และร้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น “ใช่แล้ว นี่คือสบู่ของข้าเอง สบู่ของข้าจะต้องขายดิบขายดีแน่นอน วะฮ่าฮ่าฮ่า!”
กลุ่มคนที่รับชมการถ่ายทอดสดส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที
ในเวลาเดียวกันนี้ ไม่ว่าลานจัตุรัสขนาดใหญ่ โรงเตี๊ยมหรือบ่อนพนัน หรือที่ไหนๆ ที่มีหน้าจอการถ่ายทอดสดติดตั้งอยู่ ทุกคนก็กำลังจ้องมองการโฆษณาของเด็กหนุ่มด้วยความไม่อยากเชื่อ
นี่มันอะไรกัน?
ทำไมการแข่งขันถึงมีโฆษณาคั่น?
หลินเป่ยเฉินกำลังทำอะไรอยู่?
คำถามเหล่านี้ล้วนปรากฏขึ้นในจิตใจของผู้คนที่รับชมการถ่ายทอดสด
เรื่องราวเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
แต่บัดนี้ สบู่อาจารย์ฟ่างกลับกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ถูกฝังลงไปในจิตใต้สำนึกของคนดูโดยไม่รู้ตัว ต่อให้พวกเขาอยากจะลืม แต่ถ้อยคำโฆษณาของเด็กหนุ่มก็ติดหูไปเรียบร้อยแล้ว
สบู่อาจารย์ฟ่างเป็นกิจการที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ขณะนี้กลับโด่งดังในชั่วข้ามคืน
ชายชราเจ้าของร้านจ่ายค่าโฆษณาให้แก่หลินเป่ยเฉินเพียง 10 เหรียญทองคำเท่านั้น
เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองหลี่สงฟู่กำลังยกน้ำชาขึ้นจิบ ก็ถึงกับสำลักน้ำชาออกมาพรวดใหญ่
ฟางเจิ้นหรู่ซึ่งเป็นเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำมณฑลที่นั่งอยู่ด้านข้าง ใช้พัดจีบตบลงไปบนโต๊ะเสียงดังปัง
“ใต้เท้า ใจเย็นก่อนครับ” เหล่าขุนนางที่รายล้อมอยู่รอบตัวต่างรีบส่งเสียงโดยเร็ว
ณ หอนางโลม
หลิงไท่ซวี อาจารย์ใหญ่ประจำสถานศึกษากระบี่ที่สามนั่งเงียบอยู่เนิ่นนาน ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังกังวาน
“คนสวย เจ้าเห็นหรือไม่? นี่แหละทายาทสืบทอดตำแหน่งคนต่อไปที่ข้าเลือกเอาไว้ นับจากนี้ไป ข้าไม่ใช่คนที่หน้าด้านอันดับหนึ่งประจำเมืองนี้อีกแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
ชายชราหัวเราะพลางโอบกอดหญิงสาว
หญิงสาวหลายนางอยู่ห้องล้อมรอบกายหลิงไท่ซวี พวกนางบางคนเอนซบลงมาที่ไหล่ของเขา บางคนกำลังยิ้มแย้มปอกผลไม้ บางคนกำลังรินเครื่องดื่ม บางคนก็กำลังป้อนขนมขบเคี้ยวเข้าปากของชายชรา…
ณ สถานศึกษากระบี่ที่สาม
ลานประลองในสถาบันถูกใช้เป็นสถานที่ตั้งหน้าจอรับชมการถ่ายทอดสด บรรยากาศกำลังตกอยู่ในความเงียบ
หลังจากนั้น ไม่มีใครทราบว่าผู้ใดเป็นคนแรกที่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
หลังจากนั้น เสียงหัวเราะก็ดังกึกก้องสถานศึกษาของพวกเขา
…
ย้อนกลับมาที่สถานศึกษากระบี่หลวง
ณ หอประชุมหมายเลขสอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า นี่ไงล่ะถึงมีคำกล่าวเอาไว้ว่า คนฉลาดย่อมตักตวงผลประโยชน์ได้มากกว่าเสมอ” หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจ เมื่อเขาโฆษณาสบู่เสร็จเรียบร้อย ก็หยิบแตงโมบนโต๊ะหนึ่งชิ้นขึ้นมารับประทานหน้าตาเฉย “ท่านอาจารย์ ได้โปรดรีบนับจำนวนแตงโมเร็วเข้า ไม่ทราบว่าเมื่อสักครู่ข้าหั่นได้กี่ชิ้นกัน?”
อู๋เฟิ่งกูยกมือปาดน้ำแตงโมออกไปจากใบหน้า และส่งเสียงคำรามว่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”
เห็นได้ชัดว่าชายชราเดือดดาลไม่ใช่น้อย
“ข้าก็กำลังเข้ารับการทดสอบอยู่ไงขอรับ” หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “ปกติเราใช้กระบี่ในการสังหารศัตรูไม่ใช่หรือ? ข้าก็ทำแบบเดียวกับตอนที่ต่อสู้กับศัตรูนั่นแหละขอรับ เพราะว่าถ้าข้าเชื่องช้ามากเกินไป มันก็จะเป็นอันตรายต่อตัวข้าเอง แล้วคู่ต่อสู้ก็จะสามารถ…”
“หุบปากไปเดี๋ยวนี้” อู๋เฟิ่งกูระเบิดเสียงคำรามออกมาอีกครั้ง “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าหรือ…เจ้าทำผิดกฎ นี่ไม่ใช่การหั่นแตงโมอย่างที่ควรจะเป็น ข้าไม่นับคะแนนให้เจ้าเด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินพยายามอธิบายอย่างดีที่สุดว่า “อาจารย์อ่านกฎกติกาละเอียดแล้วหรือขอรับ ไม่เห็นมีส่วนไหนที่บอกว่าสิ่งที่ข้าทำลงไปนั้น เป็นการละเมิดกฎสักหน่อย…”
“ละเมิดกฎก็คือละเมิดกฎ” อู๋เฟิ่งกูขัดขึ้นก่อนที่เด็กหนุ่มจะพูดจบ “ในฐานะที่ข้าเป็นหัวหน้าคณะกรรมการตัดสินบททดสอบนี้ ข้ามีสิทธิ์บอกว่าเจ้าละเมิดกฎ แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้หั่นแตงโมใหม่อีกรอบ มิฉะนั้นแล้ว เจ้าจะถูกปรับไม่ให้ผ่านการทดสอบครั้งนี้!”
ระหว่างที่พูด ชายชราก็ต้องปัดเศษแตงโมที่เปรอะเปื้อนอยู่ตามเสื้อคลุมของเขาออกไป
“เฮ้อ…”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ดูเหมือนว่าแผนการของเขาจะสะดุดเสียแล้วสิ
เมื่อผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่นๆ ได้ยินคำสั่งของอู๋เฟิ่งกู พวกเขาต่างก็พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หลินเป่ยเฉินพูดถูกต้อง ในกฎกติกาการแข่งขันไม่มีรายละเอียดบอกเอาไว้ว่าสิ่งที่เขาทำคือการละเมิดกฎ เพียงแต่ว่ามันเป็นสิ่งที่คนปกติไม่ค่อยจะทำกันเท่านั้นเอง
เจ้าแกะดำเล่นใช้กระบี่ฟันแทงแตงโมจนเละเทะไม่เป็นรูปทรง จำนวนชิ้นของเขาจึงมากกว่าผู้อื่นเป็นธรรมดา หากการกระทำของหลินเป่ยเฉินยังสามารถนับคะแนนได้ แล้วการหั่นแตงโมออกมาเป็นชิ้นอย่างปราณีตของเยว่เว่ยหยาง หลิงเฉินหรือเฉาพั่วเถียน จะไม่กลายเป็นเพียงเรื่องตลกแล้วหรือ?
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินทำ ใครๆ ก็ทำได้!
อู๋เฟิ่งกูที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเปื้อนทั้งน้ำแตงโมและเศษแตงโมเดินเข้ามาทำความสะอาดโต๊ะหินบนเวทีและนำแตงโมลูกใหม่มาตั้งไว้ตรงกลาง
“เริ่มต้นการทดสอบอีกครั้ง”
ชายชราตะโกนออกมาเสียงดัง
เขายืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน เพื่อจับตามองการใช้กระบี่ของเด็กหนุ่มอย่างใกล้ชิด
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ
เขาไม่เก่งเรื่องการหั่นแตงโมให้สวยงามเลยจริงๆ
นั่นเป็นเพราะว่า ที่ผ่านมาเขาเลือกฝึกแต่วิทยายุทธ์ที่ส่งเสริมการป้องกันตัวและการหลบหนี มากกว่าจะเลือกฝึกวิชาที่เน้นพละกำลังและการจู่โจมของกระบี่
ในมุมมองของเขา การใช้กระบี่ได้รวดเร็วไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
เพราะถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้สัก 10,000 คน ต่อให้ใช้กระบี่ได้รวดเร็วมากแค่ไหน สุดท้ายก็ไร้ประโยชน์อยู่ดีไม่ใช่หรือ?
ความรวดเร็วที่มีประโยชน์มากที่สุด คือความรวดเร็วตอนหลบหนีต่างหาก
เขารับกระบี่ที่อู๋เฟิ่งกูยื่นส่งมาให้ หลังจากนั้น จึงยืนมองแตงโมอยู่นานสองนาน
หลินเป่ยเฉินเอาแต่ยืนมองมันจนผิดปกติ
ปรากฏว่าลูกแตงโมที่ถูกนำมาใช้ในการทดสอบ ล้วนแล้วแต่มีขนาดเท่ากันหมด สีเขียวมรกตบนเปลือกของมันก็เปล่งประกายสวยงาม เพียงมองก็ชวนให้น้ำลายสอแล้ว
“นับเป็นแตงโมที่ดียิ่ง!” หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดายของ
อู๋เฟิ่งกูที่ยืนอยู่ข้างกายเขาตอนแรกก็มีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม รอยยิ้มกลับปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายชรา “แน่นอนว่าเป็นแตงโมที่ดียิ่ง เพราะมันเป็นแตงโมที่มาจากสวนตระกูลอู๋ของข้าเอง เราใส่ปุ๋ยธรรมชาติให้มันโดยไม่ต้องใช้ค่ายอาคม ปุ๋ยที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุหรือพลังลมปราณช่วยเหลือ ระยะเวลาหนึ่งปีสามารถเก็บเกี่ยวได้สองครั้ง นอกจากมีหน้าตาสวยงามแล้ว ขนาดของแตงโมทุกลูกยังเท่ากันหมด มิหนำซ้ำ มันยังเป็นแตงโมที่เปลือกบางเนื้อหนา รสชาติหอมอร่อยหวานฉ่ำ จำหน่ายเพียงลูกละหนึ่งเหรียญเงินเท่านั้น เมื่อเทียบกับคุณภาพของแตงโมเหล่านี้ จึงนับเป็นราคาที่ถูกมาก…”
ครึ่งประโยคหลัง อู๋เฟิ่งกูไม่ได้พูดคุยอยู่กับหลินเป่ยเฉินอีกต่อไป แต่ชายชราหันไปพูดคุยกับกระจกถ่ายทอดสัญญาณ
เกิดความเงียบในห้องโถงใหญ่
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ให้ตายเถอะ!
ยังมีคนหน้าด้านมากกว่าเขาอีกเหรอเนี่ย?
เด็กหนุ่มต้องยกตำแหน่งผู้ที่หน้าด้านอันดับหนึ่งประจำเมืองให้แก่อู๋เฟิ่งกูแล้วจริงๆ