บทที่ 231 หมดความน่าเชื่อถือ
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าอู๋เฟิ่งกูจะมีนิสัยแบบเดียวกับเขา
เพราะฉะนั้น เด็กหนุ่มจึงทราบดีว่าควรเอาใจชายชราอย่างไร
เขารีบถามออกไปโดยเร็ว “แล้วข้าจะซื้อแตงโมเหล่านี้ได้ที่ไหนบ้างหรือขอรับ?”
อู๋เฟิ่งกูดวงตาเป็นประกายสดใสขึ้นมาในทันใด
เขาเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าหลินเป่ยเฉินจะเป็นเด็กดีขนาดนี้
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าถามออกมาได้ดีมาก แน่นอนว่าพวกท่านสามารถซื้อหาแตงโมเหล่านี้ได้ที่ร้านขายแตงโมสกุลอู๋ ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนหลิวเฟิงสาย 24 ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลไหนของช่วงปี ก็สามารถมีแตงโมอร่อยรับประทานได้เสมอ และถ้าซื้อหาเป็นจำนวน 50 เหรียญเงินขึ้นไป รับไปเลยส่วนลด 15 ส่วนพร้อมด้วยบัตรกำนัลตลอดปี นอกจากนั้น ทางเรายังมีบริการจัดส่งแตงโมถึงที่อีกด้วย”
ชายชราตอบคำถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ล้วนพากันขมวดคิ้วนิ่วหน้า
นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
พวกเขามาทำอะไรที่นี่กันแน่?
หลายคนรู้สึกว่าตนเองมาผิดที่หรือไม่ก็อาจจะเข้าสู่สนามแข่งขันผิดแห่ง
เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองหลี่สงฟู่ สำลักน้ำชาเป็นรอบที่สอง
อู๋เฟิ่งกูเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร
ไม่มีใครคิดเลยว่า เพียงเพื่อจะได้โฆษณาร้านขายแตงโมของตนเอง อู๋เฟิ่งกูกลับลืมเลือนการแข่งขันไปหมดสิ้น
พวกเขาควรจะเอะใจอยู่แล้วตอนที่อู๋เฟิ่งกูได้รับมอบหมายให้คอยดูแลการทดสอบความเร็วในการใช้กระบี่ และชายชราก็เลือกวิธีการหั่นแตงโมเป็นบททดสอบ ทุกคนคิดว่าการใช้แตงโมจากสวนสกุลอู๋ในการแข่งขันจะเป็นขีดสูงสุดในความไร้ยางอายของอู๋เฟิ่งกูแล้ว แต่หารู้ไม่เลยว่า…
ในห้องโถงใหญ่เงียบจนได้ยินเสียงเข็มตก แต่แล้วทุกคนก็นึกขึ้นมาได้ว่า หลินเป่ยเฉินเป็นคนถามคำถามให้อู๋เฟิ่งกูตอบ นั่นแสดงว่าถ้าเด็กหนุ่มไม่ถามออกมา อู๋เฟิ่งกูก็คงไม่มีโอกาสได้โฆษณาร้านแตงโมของตนเองอีกแล้ว
ทุกอย่างเป็นความผิดของหลินเป่ยเฉินคนเดียวแท้ๆ
หลี่สงฟู่พูดอะไรไม่ออก
หลินเป่ยเฉินคนนี้ ทำไมถึงได้ขยันก่อเรื่องวุ่นวายจังเลยนะ?
ฟางเจิ้นหรู่ เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำมณฑลลุกขึ้นยืนด้วยความเดือดดาล ก่อนจะเดินนำผู้ติดตามออกไปจากห้องโถงใหญ่
สิ่งที่เกิดขึ้นในการแข่งขันครั้งนี้ สำหรับเขา มันคือความอับอายขายหน้าอย่างที่สุด
นี่คือการทำให้กระทรวงศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่งเสื่อมเสียชื่อเสียง
แต่ในเวลาเดียวกันนี้ ผู้คนทั่วทั้งเมืองกำลังตื่นตกใจ
หรือถ้าจะอธิบายให้ถูกต้องก็คือ กลุ่มคนที่ตื่นตกใจและตื่นเต้นมากที่สุด ก็เป็นบรรดาบรรดาพ่อค้าภายในเมืองนั่นเอง
เมื่อคืนนี้ มีคนจำนวนไม่น้อยปฏิเสธข้อเสนอของหลินเป่ยเฉิน กลับมานึกเสียใจตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว
ใครจะไปรู้ล่ะว่าหลินเป่ยเฉินจะโฆษณาออกอากาศให้พวกเขาอย่างนี้
นี่คือโอกาสอันดีงามในการทำการค้า ไม่ว่าใครที่ได้รับชมการถ่ายทอดสด ก็จะต้องจดจำสินค้าที่ได้รับการโฆษณาขึ้นใจ พวกเขาได้แต่โทษว่าเป็นความผิดของหลินเป่ยเฉินที่ไม่ยอมพูดจาให้ชัดเจนตั้งแต่แรก
“พวกเรารีบขึ้นรถม้าไปหาคุณชายหลินเป่ยเฉินที่สถานศึกษากระบี่ที่สามกันเถอะ!”
“คุณชายท่านแข่งขันอยู่ที่สถานศึกษากระบี่หลวงไม่ใช่หรือ?”
“เราก็ไปรอก่อนไงล่ะ เจ้าโง่ ชักช้าเดี๋ยวคนอื่นก็ตัดหน้าไปหมดหรอก”
“ในเมื่อหลินเป่ยเฉินทำได้ ผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่นๆ ก็ต้องทำได้เหมือนกัน!”
กลุ่มพ่อค้าวาณิชภายในเมืองแทบจะเสียสติกันหมดแล้ว
…
ณ สถานศึกษากระบี่หลวง
หอประชุมหมายเลขสอง
“เอาล่ะ หลินเป่ยเฉิน เชิญเจ้ากลับลงจากเวทีไปได้” อู๋เฟิ่งกูมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยแววตาเอ็นดู เหมือนเขาเป็นหลานรักหัวแก้วหัวแหวนของตนเองก็ไม่ปาน ไม่มีแววตาเคร่งขรึมจริงจังอีกต่อไป
“แต่ข้ายังไม่ได้ทดสอบใหม่เลยนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว
อู๋เฟิ่งกูคลี่ยิ้มตอบว่า “ข้าจะนับผลคะแนนของเจ้าในการหั่นครั้งแรก ปรากฏว่าที่เจ้าพูดออกมามีเหตุผลทุกประการ เจ้าไม่ได้ทำผิดกฎเลยสักข้อเดียว นับว่าเจ้ามีความคิดพลิกแพลงเป็นเลิศ นี่คือหนึ่งในคุณสมบัติของคนที่จะเป็นมือกระบี่ผู้ยอดเยี่ยมในอนาคต เพราะฉะนั้น การทดสอบของเจ้าเมื่อสักครู่นี้ ถือว่าผ่าน!”
หืม?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
พูดจริงสิ?
นี่อาจารย์อู๋แกมีจิตสำนึกของความเป็นกรรมการบ้างไหมเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินแค่ช่วยโฆษณาแตงโมให้นิดหน่อย ก็ยอมละเมิดกฎให้เขาผ่านการทดสอบง่ายๆ เลยหรือ?
นี่มันคนสายพันธุ์เดียวกับเขาชัดๆ
หลินเป่ยเฉินทำได้เพียงประสานมือคำนับนอบน้อม ก่อนหมุนตัวเดินลงมาจากเวทีโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ในเมื่อหัวหน้าคณะกรรมการบอกว่าเขาผ่านการทดสอบ แล้วยังจะมีอันใดให้โต้แย้งอีก?
ขณะนี้ ทุกชีวิตที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ต่างก็เบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
พวกเขาคิดว่าตนเองหูฝาด
นี่มันเรื่องตลกอันใดกัน
นี่คือการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองไม่ใช่หรือ
นี่คือการแข่งขันที่มือกระบี่รุ่นเยาว์ใฝ่ฝันอยากจะเข้าเป็นส่วนหนึ่ง
นี่คือการแข่งขันที่ได้รับการขนานนามว่ามีความยุติธรรมมากที่สุด
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นด้านตรงกันข้าม ดูเหมือนว่าผลการแข่งขันจะเป็นไปตามใจผู้ตัดสินเสียมากกว่า
“ข้าขอคัดค้าน ท่าน…”
เฉาพั่วเถียนเกือบจะสบถคำหยาบออกมาแล้ว
เขาถึงกับเสียสติไปแล้วจริงๆ
เด็กหนุ่มผมทองไม่คิดเลยว่าการหั่นแตงโมเละเทะอย่างนั้น จะสามารถนับเป็นคะแนนได้ด้วย
นี่เท่ากับเป็นการดูหมิ่นความศักดิ์สิทธิ์ของการแข่งขันแล้ว
“ปฏิเสธคำคัดค้าน”
อู๋เฟิ่งกูสวนกลับมาทันควัน
เขาเป็นหัวหน้าคณะกรรมการ วันนี้เขาเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด
เมื่อชายชราปฏิเสธคำคัดค้าน การแข่งขันก็ต้องดำเนินต่อไป
นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายประจำเมืองเป่ยไห่
“น่าขำสิ้นดี” หลินอี้อดหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ได้ “หากเศษแตงโมเหล่านั้นของหลินเป่ยเฉินสามารถนับเป็นคะแนน อย่างนี้ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ก็สามารถทำแบบเขาได้เหมือนกันน่ะสิ แล้วเราจะต้องเข้ารับการทดสอบความเร็วในการใช้กระบี่ไปเพื่ออะไร?”
“นั่นคือสิ่งที่ข้ากำลังจะกล่าวถึงต่อไป” หัวหน้าคณะกรรมการอู๋เฟิ่งกูยิ้มแย้มเริงร่า “การพลิกแพลงเช่นนี้สามารถมอบสิทธิ์ให้ผู้เข้าแข่งขันที่ใช้ออกมาคนแรกคนเดียวเท่านั้น ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ห้ามทำตามเด็ดขาด ขอให้ทุกคนที่จะเข้ารับการทดสอบต่อจากนี้ กรุณาใช้ความเร็วในการตวัดกระบี่ตามเดิม”
“อะไรกัน? ในเมื่อหลินเป่ยเฉินทำได้ แล้วทำไมคนอื่นถึงจะทำบ้างไม่ได้?” ตงฟางจันโวยวายขึ้นมาในทันใด “อาจารย์อู๋ แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลย”
อู๋เฟิ่งกูตวาดกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ยุติธรรมตรงไหน? ในเมื่อเจ้าก็เข้าร่วมการแข่งขันเหมือนกัน แล้วทำไมไม่ใช้วิธีเดียวกับหลินเป่ยเฉินก่อนที่เขาจะใช้เล่า? นี่เจ้าเห็นคนอื่นใช้วิธีอันดีเลิศ ก็คิดจะเลียนแบบเอาอย่างเดียวเลยหรือไร?”
ตงฟางจันพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ที่ชายชรากล่าวตอบมาก็มีเหตุผล
เป็นเหตุผลที่ปฏิเสธไม่ได้
แต่มันก็ไม่ปกติอยู่ดี
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงไม่แพ้ทุกคน
เขาว่าตนเองผ่านการทดสอบมาได้อย่างหน้าด้านแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าอู๋เฟิ่งกูกลับหน้าด้านหน้าทนมากกว่าเขาหลายเท่า
เพียงเพื่อที่จะโฆษณาร้านแตงโมของตนเอง ชายชราก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว
นี่ทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าความหน้าด้านและไร้ยางอายที่ผ่านมาของตนเอง ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยนัก
“เอาล่ะ ข้าจะประกาศคะแนนที่หลินเป่ยเฉินทำได้ หนึ่งกระบี่เขาสามารถหั่นแตงโมได้ทั้งหมด 72 ชิ้น มีความเร็วในการใช้กระบี่อยู่ที่ระดับสูง คนต่อไปเชิญก้าวออกมาข้างหน้า…”
เสียงประกาศของอู๋เฟิ่งกูดังกังวานทั่วห้องโถงใหญ่
ผู้เข้าแข่งขันคนต่อมาเดินขึ้นไปบนเวทีด้วยสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองหมดความน่าเชื่อถือลงไปเสียแล้ว