บทที่ 232 หลินเป่ยเฉินได้รับบาดเจ็บ
การแข่งขันหั่นแตงโม…ไม่ใช่สิ การแข่งขันทดสอบความเร็วในการใช้กระบี่ สุดท้ายก็จบลงด้วยบรรยากาศแห่งความแปลกประหลาด
บททดสอบต่อมา คือการทดสอบพละกำลังในการใช้กระบี่
ผู้เข้าแข่งขันจะต้องตวัดกระบี่ด้วยความแรงที่สุดเท่าที่ทำได้
ฟังดูไม่ค่อยแตกต่างจากการทดสอบเมื่อวานเท่าไหร่
แต่ในความเป็นจริงนั้นแตกต่างกันมาก
เพราะว่าการทดสอบครั้งนี้อนุญาตให้ใช้พลังลมปราณได้
เมื่อมีพลังลมปราณคอยช่วยเหลือ ต่อให้พละกำลังในร่างกายมีไม่มาก ก็ไม่ถือเป็นข้อเสียเปรียบอีกต่อไป
ยกตัวอย่างเช่น การยกกระถางทองคำเมื่อวานนี้ เฉาพั่วเถียนถูกห้ามไม่ให้ใช้พลังลมปราณ เขาจึงต้องพ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉิน แต่เมื่อมีพลังลมปราณคอยช่วยเหลือ เฉาพั่วเถียนซึ่งมีระดับพลังสูงส่งมากกว่าหลินเป่ยเฉิน ก็จะพลิกกลับขึ้นมาเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบทันที
แต่การทดสอบในครั้งนี้ อู๋เฟิ่งกูไม่ได้อยู่เป็นหัวหน้าคณะกรรมการอีกแล้ว ด้วยเขาคือเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ถูกถอดออกจากการแข่งขันกลางคัน
แท่งหินสีดำขนาดใหญ่เท่าตัวคนถูกยกขึ้นมาตั้งไว้บนเวทีกลางห้องโถง
พื้นผิวของมันราบเรียบ มองครั้งแรกจะนึกว่ามันเป็นเหล็กไหล มีสีดำสนิทมันวาว ดูมั่นคงแข็งแกร่งพร้อมสำหรับรับการโจมตีได้ทุกรูปแบบ
กติกาการทดสอบนั้นง่ายมาก
ผู้เข้าแข่งขันจะต้องนำกระบี่มาฟันแท่งหินแท่งนี้ด้วยความรุนแรงมากที่สุด
เจ้าหน้าที่ได้ลงค่ายอาคมไว้บริเวณโดยรอบแท่นหิน มันจะเป็นตัวคำนวณแรงปะทะจากคมกระบี่ โดยไม่คำนึงถึงพลังลมปราณ ระดับวิทยายุทธ์หรือความแข็งแกร่งของร่างกาย แท่งหินจะวัดแต่ค่าความรุนแรงของคมกระบี่ที่ฟันใส่พื้นผิวของมันเท่านั้น
นี่คือระบบการตัดสินที่ยุติธรรมที่สุด
นี่เป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีพลังลมปราณระดับสูงอย่างเฉาพั่วเถียนได้เปรียบผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ มากเกินไป เพราะถึงจะอนุญาตให้ใช้พลังลมปราณช่วยได้ แต่สิ่งที่จะตัดสินผู้แพ้ชนะก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพลังลมปราณทั้งหมด แต่ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของคมกระบี่ต่างหาก
หลังจากเตรียมความพร้อมอยู่ประมาณครึ่งชั่วยาม ทุกคนก็เริ่มต้นเข้ารับการทดสอบ
หลิงเฉินสามารถทำได้ 100 คะแนนเต็ม
เยว่เว่ยหยางตามติดมาเป็นลำดับที่สองด้วย 99 คะแนน
เฉาพั่วเถียนอยู่ที่ลำดับสามทำไปได้ 95 คะแนน
ส่วนมือกระบี่รุ่นเยาว์อัจฉริยะอย่างซูเสี่ยวหยาน หวังซินอวี่และคนอื่นๆ ก็ทำคะแนนได้สูงลิ่วเช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนไม่อยากเชื่อก็คือ หลินเป่ยเฉินไม่เหลือความน่ากลัวจากการแข่งขันก่อนหน้านี้อีกแล้ว เขาทำไปได้เพียง 88 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 14
ทว่า ที่น่าแปลกใจมากที่สุดคงหนีไม่พ้นตอนที่หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปในค่ายอาคมและตวัดกระบี่ฟันแท่งหินสุดแรงเกิด ไม่ทราบว่าเขาถูกพลังจากแท่งหินสะท้อนกลับมาจนได้รับบาดเจ็บหรืออย่างไร เด็กหนุ่มจึงซวนเซถอยหลังและต้องคุกเข่าลงไปบนพื้นเวที
ถึงเขาจะรีบดีดตัวกลับขึ้นมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลายคนก็เห็นภาพนั้นไปแล้ว!
เมื่อการทดสอบความสามารถในการใช้กระบี่ทั้งสองรูปแบบจบสิ้นลง การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองวันที่สาม ก็เสร็จสิ้นด้วยบรรยากาศที่หัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น
ตอนที่อู๋เฟิ่งกูประกาศจบการทดสอบความเร็วในการใช้กระบี่ เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงศึกษาถอดออกจากตำแหน่งหัวหน้าคณะกรรมการโดยทันที ด้วยเหตุผลที่ว่าชายชราใช้อำนาจของความเป็นกรรมการในทางมิชอบ สุดท้าย อู๋เฟิ่งกูถึงกับถูกจับใส่กุญแจมือและได้รับการควบคุมตัวเดินจากไป
ชีวิตการเป็นขุนนางในกระทรวงศึกษาของเขาก็ต้องยุติลงเช่นกัน
แต่เรื่องราวเหล่านี้เหมือนกับเกมฟุตบอลในโลกมนุษย์ ไม่ว่ากรรมการจะเป่าเข้าข้างทีมใดทีมหนึ่งมากขนาดไหน ไม่ว่ากรรมการจะแจกใบแดงให้นักเตะอย่างี่เง่าหรือค้านสายตาคนดูมากเพียงใด แต่เมื่อเกมจบแล้ว ผลการแข่งขันเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับผลการแข่งขัน ก็ทำได้เพียงยื่นอุทธรณ์ต่อผู้มีอำนาจตามกระบวนการต่อไป
กรรมการถูกลงโทษ
แต่ผลการแข่งขันยังคงเดิม
“จะว่าไปก็น่าสงสารตาเฒ่าคนนี้อยู่เหมือนกันนะเนี่ย…” หลินเป่ยเฉินรำพึงรำพันด้วยความสงสาร
เด็กหนุ่มฉวยโอกาสโฆษณาสินค้าภายใต้การควบคุมของอู๋เฟิ่งกู นั่นเท่ากับว่าชายชราเป็นผู้มีพระคุณของเขาคนหนึ่ง ขณะนี้ เด็กหนุ่มจึงมีน้ำตาคลอเต็มสองเบ้าแล้ว
“วันนี้เจ้าทำได้น่าอายเหลือเกิน”
เฉาพั่วเถียนเดินเข้ามามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
“ข้าเนี่ยนะน่าอาย?”
หลินเป่ยเฉินไม่นึกเสียใจในเรื่องราวของอู๋เฟิ่งกูอีกต่อไป เขาตอบกลับไปว่า “เจ้าก็คงเห็นแล้วนะ ข้าเป็นคนบอกให้อาจารย์อู๋ทำการทดสอบของข้าใหม่อีกครั้ง แต่อาจารย์ปฏิเสธ แล้วข้าจะทำอะไรได้? หรือว่าเจ้าอยากจะมีปัญหากับเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษา?”
เฉาพั่วเถียนยิ้มเหยียดหยาม “งั้นก็สมควรที่เขาถูกควบคุมตัวไปเช่นนั้น ส่วนเจ้า…หึหึ ภาพลักษณ์ของเจ้าถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีแล้ว”
“ว่าไงนะ?” หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยน้ำเสียงตกใจ “ใช่ข้าแน่หรือ? ข้าว่ามีคนที่ภาพลักษณ์ถูกทำลายหนักมากกว่าข้าอีกนะ”
เฉาพั่วเถียนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว เขาเกือบจะกระอักเลือดออกมาอีกครั้งด้วยความแค้นใจ
ที่หลินเป่ยเฉินพูดออกมาก็มีเหตุผล
หลินเป่ยเฉินไม่ใช่คนที่ภาพลักษณ์เสียหายมากที่สุด แต่เป็นเฉาพั่วเถียนต่างหาก
“ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะทำเป็นเก่งไปได้สักกี่น้ำ”
เฉาพั่วเถียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ข้าก็รับปากไม่ได้หรอก แต่ว่า…”
หลินเป่ยเฉินกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนที่จะมีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก
เด็กหนุ่มรีบหันหน้าไปทางอื่นเพื่อยกมือปาดเลือด จากนั้นจึงแค่นหัวเราะในลำคอ “คนแซ่เฉา เจ้าคิดหาทางเอาตัวรอดก่อนดีกว่า อย่าลืมสิว่าการแข่งขันของเรามีชีวิตเป็นเดิมพัน เอาไว้ข้าได้ตำแหน่งผู้ชนะการแข่งขันเมื่อไหร่ ข้าจะเป็นคนปลิดชีวิตเจ้าด้วยมือของข้าเอง”
เฉาพั่วเถียนขมวดคิ้วหน้ายุ่ง ถามออกมาว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”
“เหลวไหล” เกิดความตื่นตระหนกขึ้นในแววตาของหลินเป่ยเฉิน เขารีบพูดกลบเกลื่อนว่า “เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหลเช่นนี้อีก ข้าบาดเจ็บตรงไหนกัน?”
พูดจบแล้ว หลินเป่ยเฉินก็หมุนตัวเดินจากมา
เฉาพั่วเถียนไม่ได้ไล่ตาม แต่ยืนจ้องมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินเดินหายลับไปจากสายตา
หลังจากนั้น ก็มีข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วเมือง
ว่ากันว่าระหว่างที่เข้ารับการทดสอบความรุนแรงในการใช้กระบี่ หลินเป่ยเฉินใช้วิทยายุทธ์บางอย่างที่ทำให้เขาสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมากและอวัยวะภายในร่างกายก็ได้รับความเสียหาย โชคดีที่คณะอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามช่วยเหลือไว้ได้ทัน อาการบาดเจ็บของเขาจึงไม่ปรากฏต่อสายตาของคนนอก
นอกจากข่าวลือเรื่องนั้น ก็ยังมีข่าวลือเรื่องที่ว่าทางสถาบันกดดันหลินเป่ยเฉินมากเกินไป เด็กหนุ่มยังไม่เข้าใจวิชาวิทยายุทธ์ที่ตนเองต้องใช้งาน แต่ก็ถูกจับขังอยู่ในห้องเพียงลำพังให้นั่งดูการฉายภาพจากศิลาฉายว่าเขาต้องฝึกพลังอย่างไร สุดท้ายเพราะยังมีความไม่เข้าใจมากพอ หลินเป่ยเฉินจึงได้รับบาดเจ็บระหว่างการแข่งขันขึ้นมาเสียแล้ว!
วันนี้ บ่อนพนันทั้งหลายในตัวเมืองจึงได้ปรับอัตราต่อรองของหลินเป่ยเฉินใหม่อีกครั้ง
เดิมทีเด็กหนุ่มเป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าตำแหน่งผู้ชนะ แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป…
“เลือดที่ไหลออกมาจากมุมปากของหลินเป่ยเฉินต้องไม่ใช่ของปลอมแน่ เขาได้รับบาดเจ็บจริงๆ…ฮ่าฮ่า เรื่องนี้น่าสนใจนัก การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้ชุบตัวแท้ๆ แต่เขารีบร้อนและหลงตัวเองมากเกินไป สุดท้ายก็ต้องพลาดท่าอย่างน่าอับอาย จะอย่างไรร่างกายของเขาก็ต้องได้รับบาดเจ็บอยู่หลายส่วน…” เฉาพั่วเถียนคิดได้ดังนั้น ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ
การแข่งขันรอบต่อไปน่าสนุกขึ้นมาแล้วสิ
เฉาพั่วเถียนอารมณ์ดีมากกว่าเดิมหลายเท่า
…
ณ ตำหนักไม้ไผ่
พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
แสงสุดท้ายของวันแผ่ปกคลุมรอบบริเวณ
“นายน้อยขอรับ มีบรรดาพ่อค้ามารอคอยท่านอยู่หน้าสถาบันเต็มไปหมด” พ่อบ้านหวังจงรีบเข้ามารายงานด้วยหน้าตาตื่นเต้น “นับดูแล้วมีตัวแทนจากหอการค้ามากกว่า 30 แห่ง แล้วก็ยังมีร้านขายของต่างๆ อีกมากมาย ขอแค่เพียงนายน้อยบอกราคา พวกเขาก็จะยินดีจ่าย นับว่านายน้อยมีความอัจฉริยะในด้านหาเงินจริงๆ หวังจงต้องขอคำนับด้วยความเลื่อมใสแล้ว เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนธรรมดา ก็ยังมีนายน้อย…”
“พวกเขามารวมตัวกันแล้วจะมีประโยชน์อะไร?” หลินเป่ยเฉินคายถุงเลือดขนาดเล็กที่ซ่อนเอาไว้ใต้ลิ้นออกมาและกล่าวต่อ “พ่อค้าพวกนั้นเป็นคนปฏิเสธข้าตั้งแต่แรก ในเมื่อข้าเคยเสนอราคาไปแล้วพวกเขาไม่เอาเอง คืนนี้ล่ะข้าจะให้พวกเขารู้รสชาติของการถูกปฏิเสธเสียบ้าง”
หวังจงชะงักไปเล็กน้อย “นายท่านจะไม่รับโฆษณาสินค้าให้พวกเขาหรือขอรับ?”
“เปล่าสักหน่อย” หลินเป่ยเฉินตอบ “เพียงแต่ว่าตอนนี้ข้ารับโฆษณามาหลายตัวแล้ว ข้าไม่อยากจะรับมามากเกินไป เดี๋ยวภาพลักษณ์ของข้าจะเสีย คนอื่นจะเข้าใจว่าข้าเป็นคนหน้าเงินหมด”
ได้ยินดังนั้นพ่อบ้านชราก็พูดอะไรไม่ออก
นายน้อยไม่รู้หรือว่าคนทั้งโลกมองนายน้อยเป็นคนอย่างไร?
ทุกคนมองว่านายน้อยเป็นคนหน้าเงินอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
อย่างเช่นการแข่งขันหั่นแตงโมในวันนี้ นายน้อยก็ผ่านเข้ารอบไปได้ด้วยวิธีที่โกงคนอื่นเอาหน้าด้านๆ แล้วยังจะต้องมาห่วงเรื่องภาพลักษณ์อื่นอีกหรือ?
หากจะพูดตามความจริง ภาพลักษณ์ของนายน้อยขณะนี้ย่ำแย่มากกว่าเมื่อก่อนด้วยซ้ำ
นอกจากจะเป็นคนเสเพลแล้ว ยังเป็นพวกหน้าเงิน ชอบแหกกฎและขี้โกง…
นั่นคือคุณสมบัติของพวกเศษสวะข้างถนนชัดๆ นายน้อยรู้ตัวบ้างหรือไม่?
แต่แน่นอนว่าหวังจงไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำเดียว
เขาได้แต่รับฟังหลินเป่ยเฉินกล่าวต่อ “หลังจากนี้ ต้องยกให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วนะ ไปหาที่เปิดประมูลซะ นับจากวันพรุ่งนี้ไปจนถึงการแข่งขันรอบชิงธงแบบรวมกลุ่ม ข้าจะรับโฆษณาแค่ 3 ตัวเท่านั้น ราคาเริ่มเปิดการประมูลอยู่ที่ 500 เหรียญทองคำ ใครที่ประมูลราคาสูงสุด ข้าก็จะโฆษณาสินค้าให้เขา!”
ดวงตาของหวังจงเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที
นี่คือวิธีที่ประเสริฐมาก
“รับทราบขอรับ นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วง”
หวังจงหมุนตัวเดินออกไปทำตามคำสั่งที่เขาบอก
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงเรียกขึ้นอีกครั้งว่า “จริงด้วยสิ แผนการที่พวกเราคุยกันเมื่อคืนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อชายชราได้ยินคำถาม ก็ต้องหันหน้าตอบกลับมาด้วยความเบิกบานใจ “ทุกอย่างเป็นไปตามแผนขอรับ วันพรุ่งนี้เราจะต้องร่ำรวยกันแน่นอน”
“ดีมาก เจ้าไปได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ
แต่เมื่อหวังจงเดินออกไป หนึ่งในสาวรับใช้ก็เดินสวนเข้ามารายงานเขาว่า “นายท่านเจ้าคะ ด้านหน้าตำหนักไม้ไผ่มีเด็กสาวผู้หนึ่งบอกว่าต้องการจะเข้าพบท่าน นางว่านางเป็นคนรักของท่านเจ้าค่ะ”