บทที่ 233 เจ้าหนุ่มเนื้อหอม
“คนรักของข้าอย่างนั้นหรือ?” หลินเป่ยเฉินถามกลับไปโดยไม่รู้ตัว “คนรักคนไหนกันล่ะ?”
หลังจากถามออกไปแล้วและเห็นสีหน้าของสาวรับใช้ เด็กหนุ่มก็รู้ตัวว่าคงทำให้นางเข้าใจผิด
แต่เขาไม่ได้อธิบายอะไร
เฮ้อ
มีปัญหาเรื่องผู้หญิงอีกแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินเดินออกมาหน้าตำหนักไม้ไผ่ และก็พบว่าหลิงเฉินกำลังยืนรอคอยเขาอยู่ใต้แสงจันทร์
“เจ้ามาที่นี่ทำไม?” หลินเป่ยเฉินถามด้วยความแปลกใจ
เขากวาดตามองรอบบริเวณอย่างระมัดระวังและไม่เห็นพี่ชายทั้งสองคนของเด็กสาวติดตามมาด้วย หลินเป่ยเฉินรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
ท่านผู้ว่าหลิง ทำไมถึงไม่ดูแลบุตรสาวให้ดีหน่อยนะ กลางค่ำกลางคืนปล่อยให้นางออกมาหาคนแบบเขา เกิดมีใครมาพบเห็นเข้า แล้วหลินเป่ยเฉินจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ยังไงว่าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายล่อลวงนางมาที่นี่?
“เจ้าจะไม่เชิญข้าเข้าไปข้างในสักหน่อยหรือ?” หลิงเฉินถาม
“นี่คือครั้งแรกที่เจ้ามาหาข้าถึงที่เลยใช่ไหม?” หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็ยิ้มแย้มออกมาว่า “ลืมไปเถอะ ว่าแต่เจ้ามาที่นี่มีเรื่องอะไร?”
หลิงเฉินขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง
ปกติแล้ว บุรุษควรเชิญหญิงสาวเข้าบ้านไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไมหลินเป่ยเฉินถึงไม่ทำ
“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าบาดเจ็บจริงหรือเปล่า?” หลิงเฉินถามออกมาในที่สุด
แม้ว่าน้ำเสียงของนางจะเรียบเฉย สีหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไรนัก แต่ในแววตาคู่งามนั้นก็ปรากฏความวิตกกังวลขึ้นมาอย่างชัดเจน ทำให้นางดูแตกต่างไปจากเจ้าหญิงจอมเผด็จการในอดีต
น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่ตั้งแต่เริ่มการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ตัวตนของหลิงเฉินในด้านที่สดใสร่าเริงก็ไม่เคยปรากฏออกมาอีกเลย
หลินเป่ยเฉินขบคิดอยู่เล็กน้อยก็ตัดสินใจตอบไปตามความจริง “ข้า…ไม่ได้บาดเจ็บ”
เมื่อได้ยินคำตอบ หัวคิ้วของหลิงเฉินก็ไม่ได้ขมวดอีกต่อไปแล้ว
นี่คือคำตอบที่ทำให้หลิงเฉินมีความสุข
นางยิ้มแย้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หลินเป่ยเฉินไม่อาจละสายตาได้
โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ
คนบางคนนอกจากเกิดมามีชาติตระกูลที่สูงส่งแล้ว ก็ยังมีความสามารถเก่งกาจรอบด้าน มิหนำซ้ำหน้าตายังงดงาม คล้ายกับว่าพระเจ้าได้มอบทุกอย่างที่ดีที่สุดมาให้แล้ว
อย่างเช่นหลิงเฉินที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้
ความสวยงามของนางเรียกได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่าฝีมือการต่อสู้ของนางเลิศล้ำขนาดไหน
แต่เหนืออื่นใด ความงามของหลิงเฉินมักจะทำให้ผู้คนยอมศิโรราบโดยง่าย พวกเขาอดไม่ได้ที่จะหลงรักนาง แม้จะรู้ว่านางเป็นเสมือนถ้วยยาพิษ แต่พวกเขาก็ยังยินดีที่จะดื่มลงไป
“เจ้าพูดจริงหรือไม่?” หลิงเฉินถามออกมาอีกครั้งให้แน่ใจ
“พูดจริงสิ” หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
หลิงเฉินยื่นมือส่งอะไรบางอย่างมาให้เขา
บนมือที่ขาวเนียนราวกับผิวหยกปรากฏขวดหยกขาวขนาดเล็กขวดหนึ่ง ดูเหมือนว่ามันจะเป็นโอสถสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ น่าจะมีราคาแพงอยู่ไม่น้อย
แต่มือที่ขาวเนียนของเด็กสาวทำให้ขวดหยกขาวหมองหม่นลงไปทันตา
หลินเป่ยเฉินลังเลเล็กน้อย ก็รับขวดยามาถือเอาไว้ และกล่าวว่า “ขอบใจเจ้ามาก”
“จะต้องเกรงใจกันไปใย” หลังจากนิ่งเงียบไปเล็กน้อย หลิงเฉินก็กล่าวออกมาอีกครั้ง “ว่าแต่ว่าเจ้าว่าจ้างหญิงรับใช้สองคนนั้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมข้าถึงไม่รู้? ไหนเจ้าว่ากำลังเดือดร้อนเรื่องเงินทองอยู่ไม่ใช่หรือ?”
คำว่า ‘อันตราย’ ปรากฏขึ้นในหัวของหลินเป่ยเฉินทันที
เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่หลิงเฉินก็เป็นฝ่ายตัดบทเสียเองว่า “เจ้าไม่เชิญข้าเข้าไปข้างใน แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ”
พูดจบ เด็กสาวก็หมุนตัวเดินจากไป
เดี๋ยวก่อนสิ
ประโยคสุดท้ายนั่นมันอะไรกัน?
หรือว่าหลินเป่ยเฉินควรจะเชิญนางเข้าไปในบ้านพักดีนะ หลังจากนั้นพวกเขาอาจจะได้…อิอิ
ไม่มีทาง
ถ้าเกิดเรื่องพรรค์อย่างว่าขึ้นจริงๆ…
หลินเป่ยเฉินรีบรวบรวมสติหันไปคิดถึงเรื่องอื่น
แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจ
อีกไม่ช้าก็เร็ว เขาจะได้กลับไปโลกมนุษย์แล้ว
เขาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสตรีในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้เด็ดขาด
หลินเป่ยเฉินยังคงยึดมั่นหลักการของตนเอง
หลินเป่ยเฉินเก็บขวดหยกขาวเข้าไปในอกเสื้อ เดินกลับเข้าไปในตำหนักไม้ไผ่และกำลังจะเข้านอน
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะทิ้งตัวลงไปบนเตียง หนึ่งในหญิงรับใช้ก็เดินยิ้มแย้มเข้ามารายงานว่า “กราบเรียนนายท่าน มีเด็กสาวอีกคนหนึ่งบอกว่าเป็นคนรักของท่านอยากเข้าพบเจ้าค่ะ”
หืม?
หลินเป่ยเฉินมองหน้าหญิงรับใช้ด้วยความไม่อยากเชื่อ
สีหน้าของนางหมายความว่าอย่างไรกัน?
นี่นางกำลังคิดว่าเจ้านายของตัวเองเป็นพวกหื่นกามบ้าผู้หญิงใช่ไหม?
หลินเป่ยเฉินเดินกลับออกมาจากตำหนักไม้ไผ่อีกครั้ง เขาได้พบกับเยว่เว่ยหยาง เด็กสาวที่กลับมาสวมใส่ชุดนักบวชสีขาวอีกครั้ง ทำเอาเด็กหนุ่มไม่รู้จะทักทายอย่างไรอยู่พักใหญ่
“ไม่ทราบว่าท่านนักบวชมาที่นี่ทำไมหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความประหลาดใจ
พูดจบแล้ว ก็นึกขึ้นมาได้ว่านี่เกือบจะเป็นประโยคเดียวกับที่เขาถามหลิงเฉินเลยนี่นา…ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองชักจะเป็นพวกคนหล่อเจ้าชู้ คบผู้หญิงครั้งละหลายคนขึ้นมาจริงๆ
“พี่เฉิน นี่คือที่พักของท่านใช่หรือไม่? ช่างเงียบสงบอะไรเช่นนี้ ไม่ต่างจากที่เก็บตัวของเหล่าวีรบุรุษเลยสักนิด ขอข้าเข้าไปดูข้างในหน่อยได้หรือไม่?” เยว่เว่ยหยางยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวาน
รอยยิ้มที่อ่อนหวานเหมือนดอกไม้ของเด็กสาวเบ่งบานกลางความมืด วินาทีนั้น หลินเป่ยเฉินก็ถูกรอยยิ้มนี้โจมตีหัวใจอย่างสาหัสสากรรจ์
แต่เมื่อตั้งสติขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยและปฏิเสธ “คงให้ท่านเข้าไปไม่ได้หรอก นี่เป็นที่พักชั่วคราวของข้าเท่านั้น ทางสถาบันไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปเด็ดขาด ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”
เยว่เว่ยหยางหรี่ตาลงเล็กน้อย และกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เอ่อ ว่าแต่ข้ามาหาท่านก็เพื่อส่งมอบสิ่งนี้…” นักบวชสาวหยิบขวดหยกขาวออกมาจากในอกเสื้อ “ข้าได้ยินมาว่าท่านได้รับบาดเจ็บ นี่คือยาศักดิ์สิทธิ์จากวิหารเทพกระบี่ สามารถรักษาอวัยวะภายในที่บอบช้ำและช่วยเยียวยาการสูญเสียเลือดได้ดียิ่ง”
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
หลิงเฉินกับเยว่เว่ยหยางแข่งขันกันเมื่อกลางวันยังไม่พอ ยังจะตามมาแข่งกันต่อตอนกลางคืนอีกหรือ ขวดยาที่พวกนางมอบให้เขา เรียกได้ว่าเป็นยาชนิดเดียวกันไม่ผิดแน่
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “นักบวชเยว่ ข้าสบายดีไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด คงรับยาของท่านไว้ไม่ได้ ขอให้ท่านนำยาตัวนี้ไปมอบให้กับคนที่จำเป็นต้องใช้ดีกว่า”
นี่คือคำปฏิเสธอย่างเป็นทางการ
เกิดความผิดหวังขึ้นในแววตาของเยว่เว่ยหยางเล็กน้อย
นางอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่เมื่อได้มองสายตาจริงจังของหลินเป่ยเฉิน นักบวชสาวก็ได้แต่ยิ้มแย้มแล้วว่า “พี่เฉินไม่ได้รับบาดเจ็บก็ดีแล้ว งั้นข้าขอตัวกลับก่อน การแข่งขันวันพรุ่งนี้ พี่เฉินสู้ๆ นะเจ้าคะ!”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “นักบวชเยว่ก็สู้ๆ เช่นกันนะ”
เยว่เว่ยหยางเสแสร้งแกล้งยกกำปั้นขึ้นมาทำท่าสู้ๆ จากนั้นจึงหมุนตัวเดินจากไป
ป่าไผ่ที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงดังแกรกกราก
ใบไผ่ร่วงกราวลงมาบนพื้นดิน
“เจ้าหนุ่มเนื้อหอม รู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าทำให้เด็กสาวหัวใจสลายไปแล้วหนึ่งคน”
บังเกิดเสียงทอดถอนใจดังออกมา
หลินเป่ยเฉินรีบหันกลับไปประสานมือทำความเคารพ “คารวะอาจารย์เฒ่าทะเล”
บุคคลที่ปรากฏกายอยู่ข้างเขาก็คือเฒ่าทะเล หัวหน้าคณะอาจารย์ประจำชั้นปีที่สอง ผู้เข้ามารับตำแหน่งชั่วคราวแทนติงซานฉือ
“เห็นได้ชัดว่านักบวชสาวนางนี้หลงรักเจ้า” ผู้อาวุโสกล่าว “แล้วทำไมเจ้าถึงต้องปฏิเสธนางอย่างหักหาญน้ำใจขนาดนั้น?”
หลินเป่ยเฉินอยากจะพูดตามความจริงว่า “ในกลุ่มสาวๆ ที่มาหลงรักผมเนี่ยนะลุง ยัยนักบวชนี่แหละอายุเยอะสุด แถมชอบแอ๊บแบ๊วเรียกผมเป็นพี่ด้วย”
แต่เขาจะตอบเช่นนั้นได้อย่างไร
หลินเป่ยเฉินได้แต่ถอนหายใจ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าน้อยศึกษาบทเรียนของวีรบุรุษมากมายแล้วขอรับ ทุกคนถ้าไม่หมดอนาคตเพราะลุ่มหลงในสุรา ก็ต้องเสียผู้เสียคนเพราะลุ่มหลงในสตรี…ข้าไม่อยากจะกลับไปเป็นจอมเสเพลคนเก่าอีกแล้ว ข้าคิดว่าการปฏิเสธให้ชัดเจน คงเป็นเรื่องดีที่สุดขอรับ”
“เจ้ายังเป็นเพียงเด็กน้อย คิดว่าตนเองเข้าใจจิตใจของสตรีมากมายแล้วหรือ?” เฒ่าทะเลกล่าวต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะรับยาจากคุณหนูตระกูลหลิงไว้ทำไม?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “นั่นเป็นเพราะข้ากับนางเคยฟันฝ่าอุปสรรคจากรอบที่แล้วมาด้วยกัน และในคืนประลองกระบี่ นางก็เป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้”
“แค่นั้นจริงหรือ?”
“จริงขอรับ”
เมื่อได้รับฟังคำตอบ เฒ่าทะเลก็เงียบงันไปอีกเนิ่นนาน สุดท้ายก็ต้องพูดออกมาน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“หากอาจารย์ของเจ้ายังอยู่สักคน เจ้าก็คงไม่ต้องมาตกที่นั่งลำบากเช่นนี้หรอก…นี่แน่ะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าความรักมีอานุภาพน่ากลัวมากแค่ไหน มันสามารถทำให้คนเราบุกน้ำลุยไฟขึ้นเขาลงห้วยได้อย่างไม่กลัวความตาย แม้แต่เทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้แก่ความรู้สึกที่เรียกว่าความรักและความเกลียดชัง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ากล้าปฏิเสธความรักจากหัวใจของเด็กสาวผู้กล้าหาญคนหนึ่งได้อย่างไร?”