ประตูห้องเปิดออก
จิ่วหุนกำลังลืมตาขึ้น มองเห็นเยี่ยเม่ยผลักประตูเข้ามา
ทั้งยังรับรู้ได้ถึงลมหายที่ติดตามเข้ามา ทำให้รู้ได้ว่ายังมีคนด้านหลังอีก ทว่าเขายังคงมองเยี่ยเม่ยเช่นเดิม
หลังจากเยี่ยเม่ยเปิดประตูก็รีบมองเขาสองคนทันที นางสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“โอ๊ย สามีเวียนหัว”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนกุมขมับตน เซถอยไปอย่างรวดเร็ว
ยามนี้คนเอนพิงอยู่ที่กำแพง เยี่ยเม่ยปรายตามองเขา คิดได้ว่าเจ้านี่หลังจากประมือกับจิ่วหุนแล้ว แกล้งทำเป็นอ่อนแอ ก็เป็นสภาพเช่นนี้เหมือนกัน
นางแค่นเสียงคำหนึ่ง “อย่าเสแสร้งเลย”
ระหว่างที่เอ่ย นางก็ไปถึงข้างกายจิ่วหุน
นางมองกองเลือดสีดำบนพื้น เป็นเลือดที่จิ่วหุนกระอักออกมาเมื่อครู่ ตอนที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนโคจรพลังช่วยเขาขับพิษ
เยี่ยเม่ยรีบถาม “เจ้าล่ะ ดีขึ้นหรือยัง”
“ไม่เป็นไรแล้ว” น้ำเสียงของจิ่วหุนอ่อนแอ เขาหันกลับไปมอง เป่ยเฉินเสียเยี่ยน ไม่ขอบคุณ กลับเอ่ยออกไปประโยคหนึ่ง “คราวหน้าไม่ต้องยุ่งมากความแล้ว”
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนคลี่ยิ้มออกมา ปรายตามองเขา เอ่ยแช่มช้าว่า “เจ้าคิดว่า เยี่ยนอยากยุ่งเรื่องของเจ้านักหรือไง”
เยี่ยเม่ย “…”
ไฉนสองคนนี้เจอหน้าก็พร้อมจะฟาดฟันกันทันทีเลยนะ
นางมองจิ่วหุนอย่างหมดคำพูด เอ่ยเสียงเย็นว่า “เสี่ยวจิ่ว ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ช่วยเจ้าไว้ เจ้า…”
“ข้าไม่ต้องการให้เขาช่วย” น้ำเสียงของจิ่วหุนหนักแน่นมาก
ท่าทางยืนหยัดไม่อ่อนข้อ
บ่งบอกว่าเขายินยอมตาย ไม่ต้องการให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนผู้นี้ยุ่งเรื่องของตน
เยี่ยเม่ยสีหน้าขรึมลง จ้องจิ่วหุน “ข้าขอร้องให้เขาช่วยเจ้าเอง ไม่ใช่เจ้าขอร้อง เจ้าไม่สนใจความเป็นตายของเจ้า แต่ว่าข้าสนใจ”
“ข้า…” จิ่วหุนพลันสงบลง
ครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่ง จากความสัมพันธ์ของตนกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน หากมิใช่เยี่ยเม่ยเอ่ยปาก อีกฝ่ายไม่มีทางช่วยตนแน่
ดังนั้นการที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนยอมยื่นมือเข้าช่วย ก็เป็นเพราะเยี่ยเม่ยขอร้อง ตอนนี้เขาไม่รับน้ำใจ จะทำให้นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในขณะที่เขากำลังใคร่ครวญว่าจะขอโทษดีหรือไม่
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนพลันหัวเราะเสียงเย็นเยียบออกมา “หึ…ช่างเป็นฉากความรักลึกซึ้งระหว่างพี่สาวกับน้องชาย”
สิ้นเสียง เขาพลันลุกขึ้น สาวเท้ากว้างออกไป
สายตาไม่มองเยี่ยเม่ย ทั้งไม่มองจิ่วหุน ก็เดินจากไป
คราวนี้สถานการณ์เปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนขึ้นมาก
เป่ยเฉินเสียเยี่ยนเกิดโทสะอย่างชัดเจน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจคำพูดของเยี่ยเม่ยเมื่อครู่ ส่วนเยี่ยเม่ยในเวลานี้ก็ตระหนักได้แล้วว่าสองคนข้างกายนางไม่มีใครที่นิสัยดี พอจะวางใจได้เลยสักคน
ซินเยว่เยี่ยนเห็นฉากนี้ แอบยินดีอยู่ในใจ ดีมาก พวกเจ้าสองคนสู้กันให้บาดเจ็บ ข้าจะได้มีโอกาสแย่งน้องสะใภ้
จิ่วหุนเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเยี่ยเม่ย
เวลานี้ในใจเกิดความรู้สึกผิด เขาเอ่ยเสียงเบา “ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
เขาเพียงคำนึงถึงความคิดตัวเองเท่านั้น ไม่ได้คิดถึงจุดยืนของเยี่ยเม่ย
เยี่ยเม่ยรู้ว่าเจ้าเด็กนี่ขี้อาย ทั้งยังนิสัยแข็งทื่อ เป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยเขาไว้ เขาย่อมไม่พอใจ นางสูดลมหายใจลึก “พวกเราเองก็ไม่มีทางเลือก ใครใช้ให้พิษเจ้ากำเริบโดยไม่มีสัญญาณล่วงหน้า ได้แต่ใช้กำลังภายในของเขาช่วยเจ้า”
“ข้ารู้แล้ว” จิ่วหุนตอบเสียงกลัดกลุ้ม ทว่าเชื่อฟังมาก
เห็นสีหน้าขมขื่นของเยี่ยเม่ยที่ยืนอยู่ข้างเตียงเขา จิ่วหุนพลันยื่นมือดึงชายเสื้อนาง มองนางด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “เจ้าอย่าโกรธเลย อย่างมากข้าก็ไปขอโทษเขา”
พูดไป เขาก็ทำท่าจะลุกขึ้น
เยี่ยเม่ยรีบกดตัวจิ่วหุนนอนลง เห็นท่าทางเหมือนลูกสุนัขยังไม่หย่านมทำความผิดดูน่าสงสารมาก
เยี่ยเม่ยคลายโทสะไปบ้าง “ช่างเถอะ ข้าไปพูดกับเขาเอง ตอนนี้เจ้าห้ามลงจากเตียง เสี่ยวจิ่ว ข้าขอเตือนเจ้าไว้ ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรชีวิตต้องมาก่อน เจ้ากับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนหาใช่ศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ พวกเจ้าไม่ได้ท้าทายขีดจำกัดและศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย ดังนั้นข้าคิดว่า ไม่จำเป็นต้องทำลายชีวิตตัวเอง เพราะอารมณ์ชั่ววูบ”
นี่คือสิ่งที่เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจ สองคนนี้เจอหน้ากันทีไรก็พร้อมจะยกดาบแทงกัน นางหลงคิดว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยเหลือเสี่ยวจิ่วครั้งหนึ่ง สองคนจะละลายความขุ่นเคืองครั้งเก่าๆ ไปได้
ผลคือจากท่าทีของจิ่วหุน ยอมตายแต่ไม่ยอมให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยเหลือ
ต้องร้ายแรงถึงขั้นนี้เชียวเหรอ
ความสัมพันธ์เลวร้ายขนาดนี้เลยใช่ไหม
จิ่วหุนมองเยี่ยเม่ย “ไม่ท้าทายขีดจำกัดและศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย”
ปัญหาของพวกเขาสองคนก็คือท้าทายขีดจำกัดและศักดิ์ศรีของอีกฝ่าย
นางเป็นขีดจำกัดเดียวของเขา ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยนแย่งนางไป เขาตายก็ไม่ยอมให้คนที่แย่งนางช่วยตนเอง การให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนช่วยเขาก็คือการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาจนจมดิน แต่…
ครั้นเห็นท่าทางไม่พอใจของเยี่ยเม่ย เขาก็ได้แต่ก้มหน้า รับปากอย่างว่าง่าย “ข้ารู้แล้ว”
น้ำเสียงนี้ทั้งเชื่อฟัง ทั้งน้อยเนื้อต่ำใจ
เยี่ยเม่ยที่มองยิ้มไม่ออก เหมือนโกรธแต่ก็ไม่โกรธ หันกลับไปมอง ซือหม่าหรุ่ยทีหนึ่ง “เขายังต้องระวังอะไรอีกบ้าง”
ซือหม่าหรุ่ยมองจิ่วหุน สีหน้าสับสนอยู่บ้าง เอ่ยปากตอบ “สองวันนี้พักฟื้นให้ดีก็พอแล้ว จำไว้ว่าห้ามใช้กำลังภายใน ไม่เช่นนั้นพิษจะกำเริบขึ้นมาอีก ยังมีอีกปัญหาหนึ่งก็คือ หากภายหน้าเจ้ารู้สึกไม่สบาย ต้องมาข้าในทันที หากสามารถสะกดพิษได้แต่เนิ่นๆ ผลลัพธ์ก็ไม่เลวร้ายเช่นนี้”
“อืม” จิ่วหุนพยักหน้า รับคำ
เยี่ยเม่ยก็พยักหน้า พรูลมหายใจ ลูบหัวจิ่วหุน เขาก้มหน้าลงสีหน้าโกรธเกรี้ยว
แต่เพราะก้มหน้าอยู่ ดังนั้นเยี่ยเม่ยจึงไม่เห็นสีหน้าของเขา เอ่ยปากอย่างจนปัญญาว่า “ภายหน้ามีเรื่องอะไรก็บอกข้ามาตามตรง อย่าแบกรับไว้คนเดียว นิสัยก็อย่าได้แข็งกร้าวขนาดนี้อยู่ตลอด เข้าใจไหม”
เมื่อคิดถึงภาพที่เจ้าหนุ่มนี่กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยนมีท่าทางพร้อมจะชักดาบฟันกัน นางก็โมโห
มีความแค้นอะไรหนักหนา แม้แต่ชีวิตยังไม่ต้องการ
หากครั้งหน้าจิ่วหุนเป็นเช่นนี้อีก แล้วเป่ยเฉินเสียเยี่ยนไม่ยอมช่วยเหลืออีกครั้งเพราะเรื่องในวันนี้ จะทำอย่างไรเล่า
ช่างเถอะ นางต้องฝึกปรือกำลังภายในให้เก่ง หวังว่าตัวเองจะพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดสักหนหนึ่ง
“รู้แล้ว” จิ่วหุนหน้าแดงก่ำ ตอบรับอย่างว่องไว
เขารู้อยู่ในใจว่าเมื่อครู่ที่เขาเถียงกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน ทำให้นางลำบากใจ พฤติกรรมของเขาแสดงออกถึงว่าเขาไม่รู้ความ
เยี่ยเม่ยมอง ซือหม่าหรุ่ย “เจ้าสามารถวิเคราะห์หายาถอนพิษได้หรือเปล่า”
“ได้ เพียงแต่ยังขาดยาอีกหลายตัว ข้าให้พี่บุญธรรมกับเทพกระบี่ช่วยเหลือแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลไป เรื่องนี้ต้องการเวลาสักพัก ส่วนเรื่องยาที่ช่วยสะกดพิษ ช่วงนี้ข้าจะลองทดสอบดูว่าพอจะมีทางไหม”
ซือหม่าหรุ่ยเคยวิเคราะห์ยาถอนพิษแล้ว ดังนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร
แต่ว่าเจ้ายาสะกดพิษตัวนี้กลับต้องเริ่มต้นศึกษาใหม่
เยี่ยเม่ยพยักหน้า “อย่างนั้นก็รบกวนเจ้าแล้ว ข้าเดาว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยน โมโหแล้ว ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย”
พูดถึงเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
สีหน้าของซือหม่าหรุ่ยก็สับสนมาตลอด ยามนี้ยิ่งสับสนวุ่นวายไปใหญ่ นางมองเยี่ยเม่ยเอ่ยว่า “ความจริงเมื่อครู่ตอนที่พวกเราเข้ามา เขาเซเพราะร่างกายอ่อนแอ ไม่น่าใช่การเสแสร้ง”