ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 14 เบื้องหลังแท้จริงของนกฉวีหรู (1)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ตอนทั้งหกเหินกระบี่มุ่งไปเขาไห่หวั่น เทียบกับครั้งก่อนที่ไม่มีการเตรียมการ บุกไปกันอย่างบุ่มบ่าม ผลปรากฏเสียเปรียบมาก ครั้งนี้ทั้งหกจึงนำของที่จำเป็นไปครบ เหินกระบี่ไปหยุดลงตรงหลังเขา

 

 

“กลิ่นนั่นอีกแล้ว” หลิงหลงอุดจมูกขมวดคิ้ว “เมื่อวานสังหารไปตั้งมาก วันนี้ถึงกับยังมี”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งส่งสัญญาณมือให้เสวียนจี นางเข้าใจทันที ทั้งหมดแยกตัวจากกัน ล้อมเป็นวงใหญ่กลางอากาศ แต่ละคนตั้งท่าพร้อมจะเปิดการโจมตีได้ทุกเมื่อ เสวียนจีควักประทัดออกจากอกเสื้อ จุดแล้วโยนลงไป

 

 

เสียง ปัง ดังขึ้นเสียงหนึ่ง รอบสี่ทิศสว่างราวกับกลางวัน จุดดำๆ นับไม่ถ้วนหนาแน่นกระจุกตัวกันอยู่บริเวณระดับความสูงกลางเขา ล้วนเป็นนกฉวีหรูสามหัว เห็นชัดว่าเมื่อวานที่สังหารไปฝูงใหญ่ไม่มีผลแม้แต่น้อย วันนี้พวกมันก็มารวมตัวที่นี่อีก

 

 

แสงสว่างทำให้นกฉวีหรูแตกตื่น พากันกระพือปีกบินทะยานขึ้น ทั้งหกกำลังรอพวกมันบินขึ้นมาจะได้สังหารให้สะใจ กลับรู้สึกว่านกพวกนี้ไม่เหมือนที่บินทะยานกันขึ้นมาเมื่อวาน แต่เหมือนว่าบินวนต่ำส่งเสียงร้องวุ่นวาย สักพักก็ลงต่ำไปอีก หายไปเฉยๆ

 

 

“โอ๊ะ พวกมันก็รู้ความร้ายกาจเราด้วย!” หลิงหลงกล่าวล้อเล่น

 

 

ลู่เยียนหรานข้างๆ แค่นหัวเราะ น้ำเสียงฉอเลาะกล่าวว่า “ใช่สิ ล้วนถูกบารมีสำนักเส้าหยางทำตกใจกลับไปหมดแล้ว”

 

 

หลิงหลงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เสวียนจีเห็นนกฉวีหรูไม่บินขึ้นมา ก็จุดประทัดโยนลงไปอีกหลายกระบอก โยนลงไปเรื่อยๆ เสียงดังปึงปังไม่หยุด ดังไปทั่วบริเวณโดยรอบ ทุกคนรู้สึกถึงกลิ่นคาวลอยขึ้นมา นกพวกนั้นบินขึ้นมาอีกดังคาด!

 

 

“หลบ!”อวี่ซือเฟิ่งตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง ทั้งหกถอยหลังพร้อมกัน ล้อมนกฉวีหรูฝูงใหญ่ที่บินขึ้นมาไว้ตรงกลาง พลันแสงกระบี่กระจายรอบทิศราวกับแหเหล็กปากหนึ่งที่ปกคลุมด้านบน หากนกฉวีหรูไม่ทันระวังชนเข้าไม่ตายก็บาดเจ็บ

 

 

หลิงหลงมีประสบการณ์จากเมื่อวาน ตอนนี้ไม่กลัวแล้ว ลงมือสังหารอย่างสะใจ กระบี่ต้วนจินในมือราวกับรับรู้ได้ถึงความสะใจของเจ้านาย จึงเปล่งเสียงดังกระจ่าง แสงกระบี่กวาดทั่วท้องฟ้า ขอเพียงที่ที่แสงสว่างสีทองงดงามที่สุดสายนั้นของนางวาดผ่าน ก็จะมีเลือดนกฉวีหรูสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ

 

 

ลู่เยียนหรานมองการลงมือของนางจากระยะไกล อดหัวเราะไม่ได้ กล่าวว่า “แม่นางหลิงหลงไยไม่ออมมือสักหน่อย นกพวกนี้ไม่ต่างอันใดกับแม่ไก่ สังหารยิ่งมากก็ไร้ประโยชน์ ทำกระบี่เจ้าแปดเปื้อนไปก็เท่านั้น”

 

 

หลิงหลงถูกนางยั่วมาหลายครั้ง ความโมโหอัดแน่นมานานแล้ว ตวาดขึ้นทันทีว่า “เจ้าหุบปาก! กลัวก็ไสหัวกลับไปหาอาจารย์เจ้า! อย่าได้มาส่งเสียงงอแงที่นี่!”

 

 

“นี่ เจ้าพูดจาให้เกียรติกันหน่อย!” ลู่เยียนหรานโมโหแล้ว ใบหน้าเรียวราวกับมีชั้นน้ำแข็งบางเคลือบชั้นหนึ่ง

 

 

“เจ้าสิให้เกียรติกันหน่อย!” หลิงหลงโมโห กระบี่ในมือตวัด แสงสีทองฟันนกฉวีหรูหลายสิบละเอียดเป็นหลายท่อน ก่อนจะทะยานตรงเข้าหาลู่เยียนหราน

 

 

ลู่เยียนหรานไหนเลยจะยอมอ่อนให้ ชักกระบี่ออกมาพลิกข้อมือส่งลำแสงกระบี่สิบกว่าสายพุ่งออกไป ปะทะกับลำแสงกระบี่ต้วนจินของหลิงหลง ก่อเกิดกระแสพายุหมุนขึ้นในฉับพลัน ม้วนกลืนนกฉวีหรูนกรอบๆ ที่บินกันวุ่นวายเข้าไปในกระแส นางทั้งสองคนเห็นอีกฝ่ายลงมือ ก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้อีก ถึงกับไม่สนใจนกฉวีหรู เจ้าส่งมา ข้าส่งกลับ กระบี่โต้กันไปมากลางท้องฟ้า

 

 

“หลิงหลง! อย่าได้ก่อปัญหาเพิ่ม!”

 

 

จงหมิ่นเหยียนรีบตะโกนเรียก เนื่องจากวงกลมหกคนพลันเกิดช่องโหว่สองช่อง คนที่เหลือสี่คนก็ย่อมเปลืองแรงมากขึ้น ยังต้องยุ่งกับการรับมือนกฉวีหรูที่บินฉวัดเฉวียนไปมา ยังต้องระวังนางสองคนบาดเจ็บ ช่างชุลมุนวุ่นวายเสียจริง

 

 

หลิงหลงตีลังกาพลิกตัวสวยงามกลางอากาศ หลบกระบี่ลู่เยียนหราน พลางกล่าวดุดันว่า “เจ้าควรเตือนนางอย่าได้ก่อปัญหาเพิ่ม! ลู่เยียนหราน ข้าทนเจ้ามานานแล้วนะ!”

 

 

อีกทางหรูอี้รีบเอ่ยเตือนลู่เยียนหราน “แม่นางลู่! ตอนนี้ปราบมารปีศาจเป็นเรื่องสำคัญ อย่าได้ก่อความเสียหายใหญ่ด้วยเรื่องเล็กน้อย…”

 

 

“พวกเจ้าก็เห็นอยู่ เป็นนางที่ลงมือก่อน! สำนักเส้าหยางชื่อเสียงใหญ่โต! ข้าจำเป็นต้องกลัวหรือ!”

 

 

ลู่เยียนหรานเองก็ไม่ยอม

 

 

ทางนี้มีเรื่องกันจนวุ่นวาย อีกทางนั้นเสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งก็ชุลมุนยุ่งกับการรับมือนกฉวีหรูที่ยิ่งมายิ่งมาก เริ่มค่อยๆ อ่อนแรง เสวียนจีเคลื่อนไหวมากไป รู้สึกแผลบนหลังที่ถูกกรงเล็บนกปริออกอีกแล้ว ข้อมือเริ่มอ่อนแรงเกือบทำกระบี่ร่วง มองเห็นนกฉวีหรูหลายตัวด้านหลังเริ่มบินเข้าใส่นาง นางได้แต่กัดฟันโต้กลับ พลางค่อยๆ แอบรวมกำลังภายในคิดลองปล่อยพลังเซียน

 

 

นกฉวีหรูที่บินฉวัดเฉวียนไปมาด้านล่างพอได้กลิ่นคาวเลือดจากร่างนาง ชั่วพริบตาก็เกิดอาการตื่นตัว ไม่บินไปทางเขาอีก หากพากันมารวมตัวกันเหมือนเมื่อคืนวานที่ล้อมเสวียนจีเอาไว้ตรงกลาง

 

 

นางเห็นสถานการณ์ไม่ดีนัก จึงโยนกระบี่ทิ้ง สองฝ่ามือผนึกกำลังประสานนิ้วมือ คิดจะปล่อยพลังเซียน

 

 

พลันได้ยินเสียงผิวปากของอวี่ซือเฟิ่งฝั่งตรงข้าม เสียงยาวเสียงหนึ่ง เสียงสั้นเสียงหนึ่ง ตามมาด้วยลำแสงสีเงินพุ่งออกจากแขนเสื้อของเขา เห็นสายลมพัดยาวราวกับกระแสวิญญาณ โลดเต้นไปมาอยู่ด้านหลังของนกฉวีหรู หากแตะต้องโดน นกฉวีหรูก็จะหมดแรงร่วงลง

 

 

อวี่ซือเฟิ่งผิวปากท่วงทำนองประหลาด ควบคุมการเคลื่อนไหวของเสี่ยวอิ๋นฮวา กระโดดยกตัวขึ้นสะบัดแขนเสื้อกางออก ปล่อยลำแสงสีน้ำเงินออกไปหลายสายนับไม่ถ้วน คิดแล้วน่าเป็นอาวุธลับของเขา น่าจะเคลือบยาพิษไว้ นกฉวีหรูที่บินอยู่รอบเสวียนจีถูกเขารบกวนเช่นนี้ ในเวลากระชั้นชิดก็เปิดทาง เขาเหินเข้าไป คว้ามือเสวียนจีไว้ ดึงนางมาไว้ด้านหลังตน

 

 

“ซือเฟิ่ง…” นางร้องเรียกขึ้นเสียงหนึ่ง น่าเสียดายนกฉวีหรูรอบๆ มีกำลังร้ายกาจเกินไป นางกล่าวอันใดเขาย่อมไม่ได้ยินแน่

 

 

อวี่ซือเฟิ่งอยู่ด้านหน้านาง พลิกข้อมือมาบีบมือนางไว้อย่างแรง “เห็นเสี่ยวอิ๋นฮวาแล้วใช่ไหม” เขาถามเสียงดัง

 

 

เสวียนจีตะลึงงัน รีบพยักหน้า “เห็นแล้ว! แต่…เห็นไม่ชัด”

 

 

นกฉวีหรูรอบๆ รวมตัวกันบินมา พยายามรุมจิกกัดทั้งสอง ล้วนอาศัยกระบี่เขาคอยกันซ้ายขวา รุกถอยมีจังหวะ เขาใช้พลังมหาศาลรับมือกับนกปีศาจมากมาย แต่ยังคงมีแรงสัพยอกนาง “เดี๋ยวเจ้าคอยดูให้ดีนะ!”

 

 

เสวียนจีเห็นเขาหอบหายใจหนัก คิดว่าคนคนหนึ่งรับมือฉวีหรูมากมายย่อมเปลืองแรงมาก แต่เมื่อครู่โยนกระบี่ทิ้งไปแล้ว ตอนนี้พลังวัตรยังรวมไม่ได้อีก ไม่อาจช่วยเขาได้ ข้างหูพลันได้ยินร้องในลำคอเขา แขนซ้ายถูกกรงเล็บนกขูดหลายแผล ลากฉีกไปพร้อมกับเนื้อ เลือดสดทำเอาเสื้อผ้าเขาเปียกโชกในทันที

 

 

นางรู้สึกเพียงข้างหูนางมีเสียงดังไม่หยุด ในใจสับสนยิ่ง รู้สึกไร้หนทางสิ้นหวัง คำพูดท่านอาหงอยู่ๆ ก็ดังขึ้นมาในห้วงความคิดนาง วันนั้นนางกล่าวว่า เสวียนจีไม่อาจเอาแต่เป็นตัวถ่วง เกิดวันหน้าญาติพี่น้องหรือสหายเจ้าตกในอันตราย เจ้าทนเห็นพวกเขาไปตายหรือ

 

 

แน่นอนว่านางไม่อาจทนได้!

 

 

สี่ปีก่อนตอนลงเขามาสับสนอลวนไปครั้งหนึ่ง หลายปีที่สับสนของนาง ในที่สุดก็เข้าใจว่าตนเองแสวงหาสิ่งใด

 

 

คนมากมายบอกว่านางไร้ใจ ไร้จุดหมาย แต่นางกลับหวังเพียงแค่ว่าพวกเขาทุกคนจะมีความสุข

 

 

นางไม่ชอบเห็นพวกเขาเสียใจ ไม่ชอบเห็นพวกเขาต้องหลั่งเลือดบาดเจ็บ

 

 

จริงๆ แล้วที่นางไม่ชอบที่สุดก็คือต้องแยกจากพวกเขา ไม่ว่าด้วยเหตุใด นางชอบเป็นคนที่ไม่โดดเด่นท่ามกลางความสุขแห่งโชควาสนา แต่ไม่ใช่ถูกทอดทิ้ง หรือ…ถูกบังคับให้แยกจาก

 

 

เบื้องหน้าพลันมีลำแสงสีเงินบางๆ ขึ้นสายหนึ่ง บางทีอาจเป็นแสงจันทร์ บางทีอาจเป็นแสงจากกระบี่ในมือซือเฟิ่ง นางไม่รู้แน่ชัด พลังในกายนางซัดส่ายไปมา อยู่ๆ ก็มารวมตัวกันราวกับสายน้ำพันหมื่นสายไหลมารวมกันทะลักออกทะเลใหญ่

 

 

นางหลับตาลง ประกบฝ่ามือ ผนึกนิ้วท่องคาถา แขนขวาผายออก ห้านิ้วค่อยๆ แผ่ออก ราวกับดอกกล้วยไม้กำลังจะเบ่งบาน ปลายนิ้วส่องประกายระยิบราวกับเคลือบทรายสีเงินชั้นหนึ่ง