ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 15 เบื้องหลังแท้จริงของนกฉวีหรู (2)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

อวี่ซือเฟิ่งด้านหน้าทนฝืนยืนทรงตัวอย่างยากลำบาก พลันรู้สึกด้านหลังมีกระแสลมอุ่นพัดมา เข้าปะทะกับกลิ่นคาวที่พัดมาด้านหน้า พัดผมยาวของเขาม้วนสูงขึ้น

 

 

เขารีบหันกลับไป เห็นเสวียนจีหลับตาผนึกกำลังว่าคาถา ด้านหลังนางมีมังกรเพลิงหลายสิบสายค่อยๆ ปรากฏขึ้น แต่ละสายล้วนกางเล็บ หน้าตาดุร้าย เขาอดตะลึงไม่ได้ สี่ปีมานี้นางเรียนรู้มาไม่น้อย กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “จัดการทางตะวันออกก่อน”

 

 

มือขวานางหมุนเล็กน้อย มังกรเพลิงด้านหลังคำรามดังกึกก้องก่อนจะพุ่งออกมา ราวกับเพียงแค่พริบตา นกฉวีหรูที่รวมกันอยู่ทางตะวันออกถูกเผาเป็นเถ้า

 

 

“ทางเหนือ” เขากล่าว

 

 

มังกรเพลิงตัวใหญ่คำรามดังหันหัวไป อ้าปากกว้างกลืนกินนกฉวีหรูที่กำลังบินหนีแตกตื่นไปในคำเดียว ไม่เหลือแม้แต่เศษซาก

 

 

“ทางตะวันตกก็เป็นของเจ้า” เขายิ้มโยนกระบี่ในมือทิ้ง ควักยันต์สองสามแผ่นออกมาจากแขนเสื้อ

 

 

เหล่ามังกรเพลิงกลืนกินนกฉวีหรูทางตะวันออก ตะวันตก และทางเหนือ ราวกับยังไม่รู้สึกพอ มันคำรามดังกึกก้องวนรอบสี่ทิศ ไล่ล่านกฉวีหรูที่พลัดฝูง พลันกลางท้องฟ้าก็มีธนูน้ำแข็งตกลงมานับไม่ถ้วน ทุกก้านธนูหนาราวขนวัว ขนาดยาวราวนิ้วชี้ หนาแน่นไปทั่ว ยิงบรรดานกฉวีหรูที่บินวนอยู่ทางใต้พวกนั้นร่วงลงพื้นเกือบหมด

 

 

ทางใต้ย่อมเป็นหน้าที่เขา

 

 

นกฉวีหรูที่เหลือเล็ดรอดไม่กล้าบินขึ้นอีกแล้ว เสียงกระพือปีกดังเงียบลง บินหนีไปรวมตัวกันทางเหนือคิดหลบหนี อวี่ซือเฟิ่งเก็บพลังคืนมา ร้อนใจกล่าวว่า “รีบตามไป! มีคนควบคุมพวกมันจริงด้วย!”

 

 

เสวียนจียังคงคิดตามไม่ทันอยู่บ้าง มองไปรอบทิศ ราวกับไม่อยากจะเชื่อว่ามังกรเพลิงตนเองมีอานุภาพร้ายแรงเช่นนั้น พริบตาถึงกับเผานกประหลาดน่ารังเกียจพวกนั้นไหม้เป็นจุณ

 

 

อวี่ซือเฟิ่งตะโกนขึ้นเสียงหนึ่ง ไม่มีคนตอบรับ พอหันกลับไปมอง เห็นพวกหลิงหลงยังต่อสู้กันเองอยู่อีกทาง จงหมิ่นเหยียนกับหรูอี้ช่วยกันเข้าไปรั้งไว้พัลวัน เห็นชัดว่าชุลมุนวุ่นวายมาก

 

 

เขาอุทานในใจ ตามมาด้วยยิงลูกเหล็กจากแขนเสื้อออกไป ใช้แรงยิงใส่กระบี่สองเด็กสาวที่กำลังฟาดฟันกันอยู่ให้หลุดจากกัน หลิงหลงรู้สึกเพียงว่ามีแรงกระแทกกระบี่ เจ็บแปลบที่ง่ามนิ้วมือ อดโมโหไม่ได้ เงยหน้าขึ้นมาอวี่ซือเฟิ่ง ร้องตะโกน “เจ้าทำอะไร?! ถึงกับช่วยหญิงชั่วร้ายนี่?!”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน รอเรื่องนี้แก้ไขแล้ว ค่อยปล่อยพวกเจ้ามีเรื่องกันตามสบาย”

 

 

ลู่เยียนหรานนึกเสียใจภายหลังที่หาเรื่องหลิงหลง เมื่อครู่สู้กับนางเหงื่อออกท่วมตัว ได้ยินอวี่ซือเฟิ่งกล่าวเช่นนี้ก็รีบพยักหน้ารับ อัดอั้นกล่าวว่า “ใช่ ข้าเองก็บอกเสมอว่าต้องเห็นส่วนรวมเป็นสำคัญ แต่แม่นางหลิงหลง…”

 

 

“เจ้ายังพูดอีก!” หลิงหลงจะลงมืออีก ถูกจงหมิ่นเหยียนลากไว้ไม่ยอมปล่อย ไม่ให้นางขยับ

 

 

“อย่าก่อเรื่อง! หลิงหลง! ยังจำได้ไหม ตอนลงเขาเจ้ารับปากอาจารย์และอาจารย์หญิงว่าอะไร?!”

 

 

หลิงหลงถูกเขาตวาด ก็คิดถึงว่าก่อนลงเขา ท่านพ่อกับท่านแม่มาคุยกับนางด้วยตนเอง ว่านางอารมณ์ร้อนง่าย หลังลงเขาไปต้องระงับอารมณ์ ตอนนั้นนางก็รับปากจริงจัง ปรากฏพอเกิดเรื่องก็ลืมสิ้น

 

 

นางเก็บกระบี่ เริ่มนึกเสียใจภายหลังแล้ว แต่ตนเองก็ยังไม่ยอมแพ้ กล่าวน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “เอาเถอะ ไม่เอาเรื่องเจ้าแล้ว! เกาะฝูอวี้ที่แท้มีคนเช่นนี้ด้วย วันนี้นับว่าเปิดหูเปิดตาแล้ว!”

 

 

ลู่เยียนหรานเลิกคิ้วขึ้นจะออกอาการอีกรอบ หันมาคิดถึงวิชากระบี่สำนักเส้าหยางของนางร้ายกาจดังคาด สู้กับนางมาตั้งนานก็ไม่ได้เปรียบอันใด จึงได้แต่เงียบไม่กล่าวอันใดอีก เหินกระบี่ไปข้างกายอวี่ซือเฟิ่ง เห็นเสวียนจียืนบนกระบี่เดียวกับเขา จึงหัวเราะเยาะกล่าวว่า “อย่างไร แม่นางเสวียนจีแม้แต่กระบี่ก็ทำหายหรือ”

 

 

เสวียนจีกำลังจะกล่าว อวี่ซือเฟิ่งกลับกล่าวว่า “ไยต้องกล่าววาจาไร้สาระ ตอนนี้นกฉวีหรูหนีไปทางนั้น คิดว่ามีคนควบคุมมัน หากพวกเจ้ามีเรื่องกันเสร็จแล้วก็รีบไล่ตามไปเถอะ”

 

 

ลู่เยียนหรานยู่ปากท่าทางอัดอั้น ถูกเขาตำหนิอย่างเย็นชาทำเอาเจ็บปวดใจ จึงสะบัดหน้าหันไปหาหรูอี้ที่อ่อนโยนกว่าแทน

 

 

เสวียนจีประคองไหล่อวี่ซือเฟิ่งบินตรงไปข้างหน้าอย่างมั่นคง พลันคิดอันใดได้ รีบถามกล่าวว่า “ซือเฟิ่ง เสี่ยวอิ๋นฮวาล่ะ?”

 

 

เขาเงียบ เพียงโบกมือขวาขึ้นเบาๆ เสวียนจีพบว่าแขนตนเองมีลำแสงสีเงินพันเลื้อยอยู่ มองดูให้ดี เป็นเสี่ยวอิ๋นฮวา เมื่อครู่มันน่าจะเคลื่อนไหวมากไป เห็นชัดว่าหมดแรง ลำตัวสีเงินอ่อนนุ่มขดเป็นวงกลม หัวสามเหลี่ยมผงกขึ้น มองเสวียนจีอย่างเกียจคร้าน แลบลิ้นออกมาเหมือนว่าทักทาย

 

 

สี่ปีมานี้มันตัวยาวขึ้นหน่อย ก่อนหน้าตัวหนาเพียงแค่นิ้วก้อย ตอนนี้หนาราวกับครึ่งท่อนแขนผู้ใหญ่ เกล็ดสีเงินเรียงตัวหนาแน่น งดงามยิ่ง พันเป็นวงรอบลำแขนก็หนักอยู่ไม่น้อย

 

 

เสวียนจียกมือขึ้นลูบมัน มันหลบอย่างว่องไว พลางผงกหัวขึ้น แลบลิ้นมองนางอย่างสงสัย

 

 

“มันจำข้าไม่ได้แล้ว” เสวียนจีกล่าวขึ้นเบาๆ

 

 

“จำได้ เพียงแต่…ยิ่งใกล้ชิดยิ่งหวาดกลัว” อวี่ซือเฟิ่งยิ้มเล็กน้อย

 

 

นางฟังไม่ออกว่าวาจานี้มีหมายความว่าอย่างไร ได้แต่มองเสี่ยวอิ๋นฮวาอึ้งไป มันพันอยู่บนแขนนางครู่หนึ่ง น่าจะรู้สึกสบาย เลื้อยพันไปมาก่อนปักหัวลงในฝ่ามือนาง รู้สึกเย็นเยียบ

 

 

“เจ้าดู เจ้าดู!” นางดีใจยกมือไปที่เบื้องหน้าเขา “เจ้ากล่าวถูกต้อง มันยังจำข้าได้!”

 

 

คนเช่นเจ้า ผู้ใดจะลืมลง อวี่ซือเฟิ่งแอบคิด เก็บเสี่ยวอิ๋นฮวากลับเข้าแขนเสื้อ รับรู้ถึงความอบอุ่นอ่อนโยนจากสองมือนางที่ประคองอยู่ที่ไหล่ ในใจทั้งยินดีทั้งเฝื่อนขม พลันกล่าวอันใดไม่ออก

 

 

ทุกคนไล่ล่านกฉวีหรูที่เหลือ ไล่ล่าต่อไปราวครึ่งชั่วยามกว่า ปล่อยให้พวกมันบินวนไปมา บินไปทั่วเขาไห่หวั่น ยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด สุดท้ายยังคงเป็นจงหมิ่นเหยียนพบว่าพวกมันบินอยู่นาน กลับมาบินวนอยู่ที่เดิม

 

 

“ผู้ใดบงการอยู่ด้านหลัง?! เจ้าเล่ห์ชั่วร้ายจริง!” เขาส่งเสียงด่าดุดันเสียงหนึ่ง

 

 

อวี่ซือเฟิ่งลดกระบี่ลง พอลงถึงพื้น คนที่เหลือรีบตามเข้ามา หรูอี้กล่าวว่า “ทำไม? ไม่ตามแล้ว?”

 

 

เขาส่ายหน้า “ตามไปเช่นนี้ถึงฟ้าสางก็ไม่ทัน หรูอี้ เจ้าเอาพู่กันเหล็กมาไหม”

 

 

หรูอี้ตะลึงงันอยู่เป็นนาน ในเวลาไม่นานก็พลันเข้าใจ ยิ้มกล่าวว่า “เจ้าคิดใช้วิธีนั้น?”

 

 

เขาไม่กล่าวอันใด ได้แต่ปลดสายรัดเสื้อออก ถอดเสื้อตัวนอกที่มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนออก หรูอี้ปลดน้ำเต้าที่เอวส่งให้ให้เขา เขาแกะฝาปิดออกราดลงบนแผลที่แขนตน น้ำในนั้นที่ไหลออกมามีกลิ่นสุราฉุนแสบ เมื่อราดลงบนบาดแผล เขาแสบจนสะดุ้ง

 

 

หลิงหลงเห็นพวกเขาปฏิบัติการประหลาด คนหนึ่งใช้สุราล้างคราบโลหิตบนร่างกาย อีกคนใช้พู่กันเดินวาดเป็นวงบนพื้น วางออกมาเป็นรูปแผนภูมิสวรรค์ปฐพีทั้งแปดอดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “ซือเฟิ่ง…คิดทำอะไร”

 

 

หรูอี้ยกนิ้วมือวางบนริมฝีปากเบาๆ แสดงสัญญาณว่าให้เงียบ “อย่าพูด ดูก็พอ”

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเทสุราในน้ำเต้าจนหมด พลิกข้อมือโยนน้ำเต้าคืนให้หรูอี้ มือขวาถือกระบี่ หันหน้าไปทางใต้ กระบวนท่ากระบี่ไม่เหมือนปกติ เขาก้าวเข้าสู่ค่ายกล

 

 

ทุกคนรู้สึกว่าร่างเขาเคลื่อนไหวประหลาดราวกับเต้นระบำ แต่ก็ราวกับไม่ได้เต้นระบำ รุกถอยบนแผนภูมิสวรรค์ปฐพีทั้งแปด ฉับพลันพลิกกาย ฉับพลันตวัดกระบี่ ล้วนไร้หลักเกณฑ์ เคลื่อนไหวอิสระไร้พันธนาการ ทุกคนล้วนมองกันตาค้าง

 

 

เฉียน ตะวันตกเฉียงเหนือฟ้า เปิดประตูสวรรค์

 

 

ตุ้ย ตะวันตก แอ่งน้ำ รวมกำลังทัพ

 

 

ซวิ่น ตะวันออกเฉียงใต้ ลม พัดสามกระแส

 

 

เจิ้น ตะวันออก สายฟ้า ฟาดห้ากระแส

 

 

เกิ่น ตะวันออกเฉียงเหนือ ภูเขา ขวางทางผี

 

 

คุน ตะวันตกเฉียงใต้ ปฐพี เปิดทางประตูมนุษย์

 

 

ขั่น เหนือ น้ำ คลื่นน้ำซัด

 

 

หลี ใต้ ไฟ กงล้อเพลิง

 

 

อวี่ซือเฟิ่งก้าวซ้ายหมุนขวาอยู่กลางแผนภูมิสวรรค์ปฐพีทั้งแปดด้านหลัง ก้าวทีสะบัดที ชายเสื้อปลิวไสวกลางท้องฟ้าราวกับมังกร พลันได้ยินเสียงว่าคาถาขึ้น “ขอศิษย์เข้าสู่กลางตำหนัก!” ตามมาด้วยเงาร่างหนึ่ง เริงราวห่านป่า โดดจากตำแหน่งคุนถึงเกิ่น เพ่งมองไปอีกที เขายืนมั่นอยู่กลางแผนภูมิสวรรค์ปฐพีทั้งแปด

 

 

เหยียบปฐพี ย่ำปฐพี

 

 

เหยียบย่ำฮวงโหไหลย้อน!

 

 

เขาพลันหยุดนิ่ง เหงื่อไหลโซมกาย ชุดขาวบนแผ่นหลังเปียกชื้นไปหมด พลันหมดกำลังคุกเข่าลงกับพื้น

 

 

เสวียนจีกับจงหมิ่นเหยียนปรี่จะเข้าไปประคอง เขากลับโบกมือ เป็นนานจึงกล่าวว่า “ข้าเห็นคนควบคุมหลบอยู่ด้านหลัง”

 

 

ทุกคนพากันตกใจ หันไปทางทิศใต้ที่เขาชี้ไป “ทางนั้น ด้านหน้าเขาไห่หวั่น ถ้ำกลางเขา”

 

 

กล่าวจบ เขาก็ไร้เรี่ยวแรงล้มลงกับพื้นทันที หอบหายใจหนักหน่วง