ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 16 เบื้องหลังแท้จริงของนกฉวีหรู (3)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

อวี่ซือเฟิ่งราวกับไร้เรี่ยวแรง แม้แต่กระบี่ก็กุมไม่มั่น เห็นชัดว่าไม่อาจไล่ตามไปได้อีก ดังนั้นทุกคนจึงหารือกันว่าให้เหลือคนหนึ่งไว้ดูแลเขาที่นี่ ที่เหลือไปด้านหน้าเขาไห่หวั่นค้นหาคนบงการนกฉวีหรู

 

 

อวี่ซือเฟิ่งเหนื่อยจนพูดไม่ออก จงหมิ่นเหยียนจึงกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มต่อ เขาวางท่าทางเป็นการเป็นงานสั่งการว่า “เสวียนจี เจ้าอยู่ดูแลซือเฟิ่ง หากเขามีแรงขยับตัวได้ก็ค่อยเหินไปช่วยพวกเรา หรูอี้ พวกเราวางแผนกันก่อน ค่อยปฏิบัติการตามแผน”

 

 

หรูอี้พยักหน้า หลิงหลงตรงด้านข้างไม่แสดงอาการอ่อนแอ พูดแทรกขึ้นว่า “ข้าต้องเป็นคนแรก! ไปดูสักหน่อยว่าผู้ใดทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนี้ได้!”

 

 

จงหมิ่นเหยียนมองนางแวบหนึ่ง ในใจลอบถอนหายใจ สีหน้าแย้มยิ้มกล่าวว่า “เจ้าเป็นเด็กผู้หญิงไม่อาจอยู่คนแรก หากเกิดเหตุขึ้นมา ข้าจะ…ข้าจะบอกอาจารย์อย่างไร”

 

 

เด็กหญิงแล้วอย่างไร! หลิงหลงแค้นใจที่สุดหากถูกคนดูแคลน ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใดก็ใช้ความแตกต่างระหว่างชายหญิงมาจัดให้นางเป็นพวกอ่อนแอ กำลังคิดจะโต้แย้งเขา พลันเห็นสายตาอ่อนโยนยอมลงให้ของเขา ไฟโกรธไหนเลยจะยังปะทุออกมาได้ สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเบิกบานทันที อึกอักพักหนึ่ง สุดท้ายก็ยอมรับเงียบๆ

 

 

ลู่เยียนหรานข้างๆ แสร้งทำเป็นใบ้ พลันส่งเสียงร้องทอดถอนใจทำเสียงอ่อนกล่าวว่า “ข้าอยู่ดูแลซือเฟิ่งแล้วกัน…เมื่อครู่เหมือนว่าเสียพลังไป รู้สึกเจ็บหน้าอกอยู่สักหน่อย…”

 

 

หลิงหลงค้อนใส่นาง ยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “นี่ก็เสียพลังแล้วรึ พลังวัตรเกาะฝูอวี้แค่นี้หรือ”

 

 

ลู่เยียนหรานเดิมคิดกล่าวอ้างเพื่อจะได้อยู่กับอวี่ซือเฟิ่งสองต่อสอง ผู้ใดจะรู้ว่าถูกหลิงหลงเยาะเย้ยทันที จุดด้อยอื่นนางไม่ถือสา มีเพียงไม่อาจทนผู้อื่นกล่าวไม่ดีกับเกาะฝูอวี้ จึงหน้าบึ้งขึ้นทันที “ข้าไม่เป็นไร! ไปก็ไป! ครั้งนี้จะให้เจ้าได้เห็นกับตาว่าอะไรเรียกว่าพลังกระบี่แท้จริง!” แฝงความหมายว่าเมื่อครู่ตอนต่อสู้กับนาง ยังไม่ได้ใช้พลังแท้จริง

 

 

เจ้าขี้โม้ไปเถอะ! หลิงหลงขี้เกียจโต้เถียงกับนาง ค้อนขวับใส่อีกที

 

 

บางครั้งการโต้เถียงระหว่างผู้หญิง ยิ่งเถียงก็ยิ่งเ**้ยมโหดไร้น้ำใจ จงหมิ่นเหยียนกับหรูอี้สบตากัน ในใจพากันรู้สึกว่าควรเป็นเช่นนี้

 

 

“พวกเราไปก่อนนะ เสวียนจี เจ้าดูแลซือเฟิ่งดีๆ หากไม่มีเหตุเหนือความคาดหมายอันใด พวกเราก็จะเร่งกลับมาราวยามจื่อ แต่หากเกิดเหตุผิดคาด พวกเราก็จะส่งสัญญาณ เห็นสัญญาณ…เจ้าก็พาซือเฟิ่งรีบกลับไปบ้านตระกูลจ้าว อย่าได้ฝืนตามไปรู้ไหม”

 

 

จงหมิ่นเหยียนสั่งเสียความยาว ไม่ว่าเสวียนจีจะส่ายหน้าหรือพยักหน้าอย่างไรเขาคิดว่าตนคิดไม่ผิดแน่นอน นางฟังแล้วก็ลืมแน่

 

 

ทั้งสี่จึงได้เหินกระบี่ไปยังด้านหน้าเขา

 

 

ปล่อยอวี่ซือเฟิ่งนอนสะลึมสะลือบนพื้น ยังมีเสวียนจีนั่งกุมบาดแผลเหม่อลอย

 

 

ยามนี้ดึกมากแล้ว แสงจันทร์กระจ่างสาดส่องลอดผ่านกิ่งต้นไม้สูงลงมาทอแสงสีเงินทั่วบริเวณ บนพื้นมีนกฉวีหรูที่ถูกฉีกเป็นชิ้นกระจัดกระจาย ยังมีเลือดจับตัวแข็งอยู่ทั่วบริเวณผืนกว้าง จับตัวเป็นชั้นน้ำแข็งบางๆ อย่างรวดเร็ว

 

 

ภาพนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกสบายใจนัก เสวียนจีรู้สึกเหน็บหนาว เมื่อครู่พลังที่แล่นปรี่ขึ้นมารวมกันอยู่ที่หน้าอก ยามนี้เหมือนว่าหายวับไปไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว นางรู้สึกงุนงงสับสน เอื้อมมือออกไปกระทบแสงจันทร์ นิ้วมือขาวซีด ไม่มีแสงประกายสีเงินแบบเมื่อครู่อีกแล้ว

 

 

นางจำได้ว่าตอนเรียนวิชาเซียนในตอนที่สภาพสมบูรณ์ที่สุด กำลังดีที่สุด ก็เรียกมังกรเพลิงออกมาได้แค่สามสี่สายเท่านั้น นั่นก็เรียกว่าเต็มที่แล้ว และมักต้องพักผ่อนสองถึงสามวันจึงจะฟื้นคืนกำลัง เมื่อครู่…นางเรียกมังกรเพลิงตัวใหญ่มหึมาออกมาได้สิบกว่าสายจริงหรือ นั่นไม่ใช่ความฝันกระมัง

 

 

หากอาจารย์รู้ว่าวันนี้นางแสดงพลังได้แก่กล้าเช่นนี้ ก็คงดีใจกระโดดตัวลอย เรียกได้ว่านางได้แสดงความสามารถแล้ว แม้ยังไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้วนางแสดงความสามารถเช่นนี้ไปได้อย่างไร

 

 

คิดถึงตรงนี้ นางอดยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยไม่ได้

 

 

“เจ้ากำลังยิ้ม?” อวี่ซือเฟิ่งที่นอนอยู่บนพื้นพลันเอ่ยขึ้น

 

 

เสวียนจีตะลึงงัน รีบเขยิบเข้าไปใกล้ถามว่า “เจ้าฟื้นแล้ว? ตอนนี้รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง ขยับตัวได้ไหม”

 

 

เขาส่ายหน้า พลันจามออกมา ถอนใจกล่าวว่า “ข้ารู้สึกแค่ว่าหนาวมาก…”

 

 

เสวียนจีถึงได้รู้สึกว่าเขาไม่ได้สวมเสื้อตัวนอก ตนเองถึงกับลืมดูแล ปล่อยให้เขานอนกับพื้นเช่นนี้ได้ นางรู้สึกละอายใจยิ่ง รีบเข้าไปคลุมเสื้อตัวนอกที่มีคราบเลือดเปรอะเปื้อนให้เขา พลางกุมมือที่เย็นเยียบราวน้ำแข็งของเขาเอาไว้ ถ่ายทอดพลังวัตรตนที่มีไม่มากนักให้เขาสักหน่อย

 

 

“ตอนนี้ดีขึ้นแล้วยัง” นางถาม

 

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ้มบาง หยอกขึ้นว่า “เจ้ายังคงเหมือนเมื่อก่อนเลย…หากไม่มีคนบอกเจ้า เจ้าก็จะไม่ทำอย่างเด็ดขาด”

 

 

หมายความว่าอย่างไร นางงุนงง เบิกตากลมโตจ้องมองเขา

 

 

เขานอนอยู่กับพื้นเช่นนี้ เงยหน้ามองกรอบใบหน้างดงามของนาง ผิวดรุณีน้อยมีน้ำมีนวลใต้แสงจันทร์ราวกับหยกมันแพะ ขาวละเอียด นางไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ดวงตาทั้งสองเหมือนเมื่อสี่ปีก่อนไม่มีผิด แต่ไรมาก็แยกไม่ออก แท้จริงแล้วนางจ้องมองเจ้าอยู่หรือเพียงแค่กำลังเหม่อลอย

 

 

“เจ้า…” เขาพลันเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว ถึงกับมีกระแสดึงดูดกระแสหนึ่ง “เจ้าไม่อยากดูหน้าตาข้าตอนไม่สวมหน้ากากหรือ”

 

 

นางตะลึงงัน ตามมาด้วยพยักหน้าหงึกๆ “ข้าอยากดู ได้ไหม”

 

 

น้ำเสียงเขาอยู่ๆ เหมือนกลั้นหัวเราะ “ตอนนี้…ไม่ได้”

 

 

คืนนี้ซือเฟิ่งแปลกมาก…เสวียนจีกัดเล็บท่าทางงุนงง มองเขานิ่งอึ้ง พลันไม่รู้ว่าควรกล่าวอันใด

 

 

“จริงๆ แล้ว เจ้าอาศัยตอนที่ข้าขยับไม่ได้ถอดออก ข้าเองก็ย่อมไม่รู้ เหตุใดเมื่อครู่ไม่ถอดเล่า”

 

 

นั่นเป็นเพราะ…

 

 

“ข้า…ข้ากลัวเจ้าโมโห” แท้จริงแล้วนางไม่คิดจะถอดหน้ากากเขาแม้แต่น้อย

 

 

เขายิ้มเฝื่อนในใจ “ข้าเคยโมโหใส่เจ้าหรือ”

 

 

เสวียนจีรีบทำตามทันที “คือว่า…ข้าถอดแล้ว!” กล่าวจบก็ยกมือจะถอดหน้ากาก

 

 

“อย่าถอด” เขากล่าว

 

 

ให้ถอดหรือไม่ให้ถอดกันแน่? เสวียนจีถูกเขาทำจนงงไปหมดแล้ว วันนี้ท่าทางเขาประหลาดมาก! หรือว่าถูกนกฉวีหรูกระแทกสมองเสื่อมไปแล้ว เดี๋ยวอย่างนี้ เดี๋ยวอย่างนั้น

 

 

อวี่ซือเฟิ่งหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก เป็นนานกว่าจะกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้านี่เป็นเด็กโง่จริง”

 

 

ใช่ นางบางครั้งก็เป็นเด็กโง่…เสวียนจีมองเขาไร้วาจา ทั้งสองพลันไร้วาจา

 

 

“เสวียนจี” อยู่ๆ เขาก็ขยับตัว ศีรษะชนเข้ากับเข่านาง ถูไถไปมาเบาๆ ราวกับแมวน้อยตัวใหญ่ที่บาดเจ็บ “เหตุใดเจ้า…ลืมข้าได้?”

 

 

นางลำคอตีบตัน คืนวันนี้เรื่องที่ทำให้นางไร้วาจาจะกล่าวนั้นมากเกินไปแล้ว นางเองไม่รู้จะรับมือความซับซ้อนที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร หนุ่มน้อยที่นอนอยู่ตรงหน้า เห็นอยู่ว่าคุ้นเคยมาก แต่เหตุใดจึงรู้สึกว่าเขาแปลกหน้าเช่นนี้ ถึงกับมีความรู้สึกเศร้า

 

 

“ข้า วันหน้าย่อมไม่ลืมเจ้าอีก” นางได้แต่ให้คำมั่น

 

 

“ยังมีวันหน้าหรือ” เขาไม่รู้ว่าถามนางหรือถามตนเอง “ฉู่เสวียนจี เจ้าไม่มีใครในใจจริงหรือ”

 

 

นางยังจะกล่าวอันใดได้อีกเล่า

 

 

เขาพลันกุมมือนางแน่น แน่นอยู่อย่างนั้น ถึงกับทำให้นางรู้สึกเจ็บ เสวียนจีมองเขาอย่างตกใจ เขาเงียบไปเป็นนาน ก่อนจะกระซิบว่า “อย่าได้ลืมข้าอีก หากเจ้า…ข้า…”

 

 

นางพลันรู้สึกตนเองทำผิดไปเรื่องหนึ่ง ผิดใหญ่หลวง แม้ว่าไม่เข้าใจว่าเหตุใด แต่นางราวกับเกือบสูญเสียเขาไป นางคิดถึงบ่ายวันนั้นเมื่อสี่ปีก่อน เขาใช้สายตาเช่นนั้นมองนาง จับจ้องนาง ในใจมีเพียงนางคนเดียว นางกลับลืมดวงตาคู่นั่นลงได้อย่างง่ายดาย

 

 

ในใจนางอดสั่นไหวไม่ได้ วาจามากมายไม่รู้กล่าวอันใด คลื่นอารมณ์บอกไม่ถูก นางถึงกับทำผิดกับชายหนุ่มที่มองนางอยู่ผู้นี้

 

 

“เจ้า…ข้า…” นางพึมพำ ไม่รู้กล่าวอันใด

 

 

“เจ้าต้องการกล่าวอันใด” ดวงตาเขาใต้หน้ากากเปล่งประกายประหลาด ราวกับดวงดาวสองดวง

 

 

นางเม้มปาก กล่าวเบาๆ ว่า “ข้า ข้าไม่รู้…”

 

 

เขาเงียบไปเป็นนาน พลันกระซิบว่า “ไม่กล่าวเรื่องพวกนี้แล้ว เจ้าประคองข้าขึ้นนั่งหน่อยได้ไหม”

 

 

เสวียนจีรีบประคองหลังเขาเบาๆ ประคองเขาขึ้นพิงต้นไม้ เห็นร่างเขาอ่อนแรงถึงกับแม้แต่แรงจะนั่งก็ไม่มี อดกล่าวอย่างแปลกใจไม่ได้ว่า “เจ้า…เมื่อครู่เต้นรำอันใด” ราวกับยังคิดถึงเคล็ดวิชาประหลาดเมื่อครู่ ซือเฟิ่งมักจะรู้อะไรมากมาย แต่ไรมานางไม่เคยได้ยินว่ามีอันใดไม่รู้

 

 

เขาหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่บอกเจ้า”

 

 

คนไม่ดี นางมองเขาอย่างอัดอั้น

 

 

อวี่ซือเฟิ่งราวกับอารมณ์ดีขึ้นมาก เงยหน้าพิงต้นไม้ ค่อยๆ ผิวปากขึ้นหลายเสียง ฟังแล้วราวกับเพลงพื้นบ้านทางฝั่งพวกเขา ท่วงทำนองช้าเร็วประสาน ผิวปากได้ไม่นาน เสี่ยวอิ๋นฮวาในแขนเสื้อเขาก็ทนไม่ไหว มุดออกมาลงไปเริงระบำวนเวียนส่องแสงประกายสีเงิน เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์

 

 

เสวียนจีเห็นมันกระโดดโลดเต้นงดงามก็ลืมความประหลาดเมื่อครู่ไปหมดสิ้น อดปรบมือยินดีไม่ได้

 

 

อวี่ซือเฟิ่งมองรอยยิ้มนางเงียบๆ ตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ

 

 

“เด็กโง่ เจ้าเป็นเด็กโง่จริง…”

 

 

เขากล่าวพึมพำ กุมมือนางแน่น