ส่วนที่ 2 ดอกท้อผลิบาน ตอนที่ 17 เบื้องหลังแท้จริงของนกฉวีหรู (4)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ทั้งสองนั่งพิงต้นไม้ครู่หนึ่ง พลังวัตรค่อยๆ ฟื้นคืน

 

 

อวี่ซือเฟิ่งลองขยับแขนสวมเสื้อตัวนอกพลางกล่าวว่า “สี่ปีมานี้ เหมือนเจ้าเรียนรู้มาไม่น้อย พลังเสกไฟเมื่อครู่ยอดเยี่ยมมาก”

 

 

เสวียนจีอยู่ๆ ก็ถูกชม อดรู้สึกได้ใจไม่ได้ หัวเราะกล่าวว่า “คือ…คือว่า!”

 

 

นางรู้สึกอาย ถามขึ้นว่าอันใดเรียกว่า “พลังเสกไฟ” ด้วยท่าทางเอียงอาย ยังอยากตอบเขาว่าจริงๆ แล้วปกตินางเรียกมังกรเพลิงออกมาได้มากสุดสามสาย แต่ปกติซือเฟิ่งไม่ค่อยได้ชมผู้ใด นางไม่อยากถูกเขาหัวเราะเอา

 

 

เขายิ้มอีกแล้ว พลันยกมือขึ้นปัดจมูกนาง “ดูท่าทางได้ใจของเจ้าสิ”

 

 

เสวียนจีช่วยเขารัดเข็มขัดให้แน่น ใส่ยาก่อนพันแผล เสร็จกระบวนการทุกอย่างก็ดึกมากแล้ว แสงจันทร์สีเงินยวงก็ลอยเด่นกลางนภาราวกับแผ่นหยกครอบอยู่เหนือศีรษะ

 

 

อวี่ซือเฟิ่งพลันกล่าวว่า “ตอนนี้เวลาใดแล้ว”

 

 

“อ้อ น่าจะ…ใกล้เลยยามจื่อแล้วกระมัง”

 

 

“ทำไมพวกหมิ่นเหยียนยังไม่กลับมา”

 

 

เขากล่าวเช่นนี้ เสวียนจีจึงได้คิดถึงพวกจงหมิ่นเหยียนขึ้นมา ก่อนไปกำชับกำชาไว้มากมาย อดร้อนใจไม่ได้ กล่าวว่า “โอ๊ะ! ไม่ได้การแล้ว! พวกเขาบอกว่าหากเลยยามจื่อยังไม่กลับมาก็คงจะพบอันตรายแล้ว! พวกเรา…พวกเราควรทำอย่างไร…”

 

 

“ใจเย็นก่อน” อวี่ซือเฟิ่งลองลุกขึ้นยืน รู้สึกว่ามือเท้าอ่อนแรง ไม่มีแรงแม้แต่น้อย กว่าจะยืนตัวตรงก็ยาก ลำบากอยู่มาก ไม่อาจเหินกระบี่ได้ “เขามีบอกอะไรไว้ไหม”

 

 

“เหมือน…เหมือนบอกว่า หากพบกับอันตรายก็จะส่งสัญญาณ บอกพวกเราว่าเห็นสัญญาณก็ให้รีบกลับไปบ้านตระกูลจ้าว…” เสวียนจีกล่าวน้ำเสียงลังเล

 

 

อวี่ซือเฟิ่งนิ่งเงียบไปนาน “ยังไม่มีสัญญาณอันใด คิดว่า…”

 

 

ยังกล่าวไม่จบ ก็ได้ยินบนท้องฟ้ามีเสียง ตูม ดังขึ้นเสียงหนึ่ง ระเบิดออกเป็นดอกไม้ไฟสีแดงสด ก่อนจะร่วงกราวลงมา สีแดงราวสีเลือด พวกเขาจำได้ว่านี่เป็นดอกไม้ไฟสัญญาณ ยามประสบเหตุเร่งด่วนให้ปล่อยสัญญาณเตือนนี้

 

 

พวกหลิงหลงประสบอันตรายอยู่ที่เขาด้านหน้า!

 

 

ทั้งสองสบตากันอย่างตกใจ ไม่อาจสนใจอาการบาดเจ็บที่แขนและขาที่ยังชาอ่อนแรงอยู่ รีบเหินกระบี่ไปยังด้านหน้าเขาอย่างรวดเร็ว

 

 

 

 

****

 

 

 

 

ด้านหน้าเขาไห่หวั่นมีต้นไม้ไม่มากเท่าหลังเขา และยังมีก้อนหินประหลาดซ้อนทับกันหลายชั้น ไม่รู้มีถ้ำซ่อนอยู่มากมายเท่าไร พวกหลิงหลงสี่คนเหินวนอยู่ด้านหน้าเขาเป็นเวลานานก็ยังไม่เข้าใจระบำประหลาดที่อวี่ซือเฟิ่งเต้นเมื่อครู่ ที่ได้เห็นมานั้นคือที่ใดกัน สุดท้ายก็เหินจนรู้สึกเหนื่อย ได้แต่ลงหยุดพักชั่วคราวบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง

 

 

“มากยิ่งกว่าถ้ำบนยอดเขาอรุณอีก หากค้นหาเช่นนี้ต่อไป ปีหนึ่งก็หาไม่พบ” หลิงหลงทุบขาที่ปวดเมื่อยแล้วปลดถุงน้ำที่เอวออกมาแหงนหน้ายกขึ้นดื่มไปอึกหนึ่ง

 

 

จงหมิ่นเหยียนสังเกตรอบตัวรอบหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ที่นี่เหมือนผิดปกติ หลังเขามีเรื่องกันดุเดือดเช่นนั้น ที่นี่ถึงกับไม่มีเสียงใดแม้แต่น้อย เงียบจนน่าประหลาดไปหน่อยแล้ว คิดดูแล้วคนบงการเบื้องหลังก็น่าจะอยู่ไม่ไกลจากนี้ เร่งค้นหากันต่อเถอะ”

 

 

หลิงหลงได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ก็ตั้งสติให้ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง ดื่มน้ำไปอีกอึกหนึ่ง ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าไปมา กล่าวว่า “ไปกัน! พวกเราต่อ! คืนนี้ต้องหาให้พบให้ได้!”

 

 

ลู่เยียนหรานพิงก้อนหินอยู่ ถอนหายใจอ่อนแรง “ที่นี่มีถ้ำมากเช่นนี้ หาอย่างไร…ไม่สู้วันนี้กลับกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่”

 

 

จงหมิ่นเหยียนยังไม่ทันได้กล่าวอันใด ก็ได้ยินหลิงหลงหัวเราะเยาะว่า “กำลังไม่พร้อมเช่นนี้ ยังจะบำเพ็ญเซียน!”

 

 

ลู่เยียนหรานแค่นเสียงฮึ กล่าวท่าทางไม่ยี่หระว่า “ใช่สิ ข้าเป็นสตรีตัวน้อย ไหนเลยจะสู้หญิงชาวป่าพลังเยอะได้เล่า โดดโลดเต้นไม่รู้เหนื่อย”

 

 

“เจ้าว่าใครเป็นหญิงชาวป่า?!” หลิงหลงชี้หน้านาง คิ้วกระดกตั้ง

 

 

ลู่เยียนหรานยิ้มสวยกล่าวอีกว่า “ข้าว่าเจ้าหรือ เหตุใดต้องรู้สึกไปเองเช่นนี้”

 

 

หลิงหลงโมโหลุกพรวดขึ้นอีกแล้ว

 

 

เด็กสาวสองคนทางนี้กำลังโต้คารมเล่นฝีปากกัน จงหมิ่นเหยียนทางนั้นทนฟังไม่ไหว หันไปถามหรูอี้ “เมื่อครู่ซือเฟิ่งหาตัวคนควบคุมเบื้องหลังได้อย่างไร”

 

 

หรูอี้ยิ้มกล่าวว่า “นั่นเป็นไสยศาสตร์แบบหนึ่ง ซือเฟิ่งเรียนกับเจ้าตำหนักตั้งสองสามวัน เพียงแต่เรียนได้ไม่ดีนัก ทำเอาพลังไหลออกสิ้น”

 

 

“เขาเป็นไสยศาสตร์ด้วย?!” จงหมิ่นเหยียนทั้งแปลกใจทั้งเลื่อมใส น้องชายคนนี้แม้ว่าอายุน้อยกว่าตนปีหนึ่ง แต่รู้มากกว่าเขาไม่น้อยเลย เดิมเขาคิดว่าสี่ปีขยันหมั่นบำเพ็ญเพียร ในที่สุดก็จะเหนืออีกฝ่ายได้ ผู้ใดจะรู้ว่ายังไม่อาจเหนือกว่าซือเฟิ่ง

 

 

“หรูอี้ก็เป็นหรือ ไม่สู้ลองหาดูว่าถ้ำใดกันแน่”

 

 

หรูอี้รีบส่ายหน้า กล่าวติดๆ กันว่า “ละอายยิ่ง…ข้าไม่เป็น ซือเฟิ่งมีพรสวรรค์ ข้าเป็นศิษย์ทั่วไปของตำหนักหลีเจ๋อ เทียบไม่ติดฝุ่น”

 

 

หลิงหลงต่อปากต่อคำกับลู่เยียนหรานเหนื่อยแล้ว ได้ยินเขาถ่อมตนเช่นนั้น อดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า “หรูอี้ ถ่อมตนไปแล้ว พูดไปแล้ว หนังสติ๊กเหล็กของเจ้าก็ร้ายกาจมาก ใช่แล้ว ซือเฟิ่งเมื่อก่อนก็ใช้หนังสติ๊กยิง เขาเรียนจากเจ้ากระมัง”

 

 

นางคิดถึงเรื่องเหลวไหลตอนเด็กๆ ตอนนั้นเพราะซือเฟิ่งทำหนังสติ๊กยิงให้นาง นางจึงได้หวั่นไหว ผู้ใดจะรู้ว่าเขาถึงกับเป็นคนนิสัยไม่ดี ทำเอานางโมโหแทบตาย ความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นฉับพลันนั้นก็พลันมลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย เรื่องวัยเด็กสับสนวุ่นวายจริง เลอะเลือนเหลวไหลยิ่งนัก

 

 

หรูอี้พยักหน้ากล่าวว่า “ไม่ผิด แต่ไรมาซือเฟิ่งก็เป็นคนมีความสามารถ วันนั้นเขาเห็นข้าทำหนังสติ๊กสวยดี ก็เลยขอไปเล่น ผู้ใดจะรู้ว่าเขาเล่นได้ไม่กี่วันก็ทำเองเป็น คิดว่าที่เจ้าตำหนักกับรองเจ้าตำหนักชื่นชมซือเฟิ่งก็ใช่ว่าไร้เหตุผล”

 

 

ทุกคนได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ก็อดรู้สึกคล้อยตามไม่ได้ ลู่เยียนหรานสีหน้าเบิกบาน นางเดิมก็รู้สึกดีกับอวี่ซือเฟิ่งที่ท่าทางประหลาดผู้นั้นอยู่มาก ยามนี้มาได้ยินอีกว่าเขาร้ายกาจเช่นนี้ ได้แต่เบิกบานหวานล้ำในใจ แทบอยากจะรีบกลับไปพบเขา จะได้พูดคุยกับเขาหลายคำสักหน่อย

 

 

หลิงหลงทนเห็นนางท่าทางเบิกบานเช่นนี้ไม่ไหว ยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ไม่รู้ซือเฟิ่งกับเสวียนจีตอนนี้ทำอันใดอยู่…อ้อ พวกเขาไม่ได้เจอกันสี่ปี ต้องมีเรื่องส่วนตัวคุยกันมากมาย คนบางคนก็อย่าได้คิดเพ้อฝัน”

 

 

“เกี่ยวอันใดกับเจ้า!” ลู่เยียนหรานอายจนโมโห

 

 

“ชิ เจ้าโมโหอันใด ไม่ได้ว่าเจ้าสักหน่อย!”

 

 

“เจ้า…”

 

 

จงหมิ่นเหยียนฟังจนปวดหัว กำลังจะเรียกพวกนางว่าอย่าทะเลาะกันอีก พลันได้ยินเสียงกระพือปีกดังจากทางตะวันออกเฉียงใต้ราวกับว่ามีนกฝูงใหญ่กำลังกระพือปีกบิน ทุกคนเงียบกริบทันที ไม่กล้าทะเลาะกันต่อ พากันเข้าไปหลบหลังก้อนหิน ลอบมองไปเห็นเพียงนกฉวีหรูหลายสิบตัวที่พากันหลบหนีไปในตอนแรก ตอนนี้มารวมตัวกันอีกแล้ว บินฉวัดเฉวียนวนไปมาบริเวณก้อนหินประหลาดซับซ้อนผืนกว้างนั้น ราวกับคิดจะเข้าไป แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่บินวนไปมา บินกันวุ่นวายไปทั่ว

 

 

“ข้าจำได้ว่าตรงนั้นมีถ้ำ!” หลิงหลงพลันนึกขึ้นมาได้ว่าก้อนหินแหลมกองนั้นมีถ้ำเล็กๆ ซ่อนอยู่ แต่ค่อนข้างแคบและเล็ก คนปกติต้องก้มตัวลงจึงจะพอฝืนตัวเข้าไปได้ พวกเขาจึงไม่ได้คิดค้นหาบริเวณนี้ต่อ “คนชั่วนั่นต้องซ่อนตัวอยู่ในถ้ำนั้นแน่!”

 

 

จงหมิ่นเหยียนมองดูด้านบนและด้านล่าง กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หลิงหลง เจ้ากับข้าไปยั่วยุหน้าถ้ำ หรูอี้ เจ้าพาแม่นางลู่อ้อมไปด้านหลัง ดูว่ามีทางเชื่อมไปปากถ้ำอื่นหรือไม่ อย่าให้หลบหนีไปได้!”

 

 

ทุกคนรับคำพร้อมกัน แยกย้ายปฏิบัติการทันที

 

 

หลิงหลงทนไม่ไหวนานแล้ว แย่งไปอยู่หน้าจงหมิ่นเหยียนรวดเร็วราวสายฟ้า เหินตรงไปทันที นกฉวีหรูที่บินอยู่หน้าปากถ้ำพวกนั้นคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ จะมีคนมุ่งมาสังหาร พากันแตกตื่นตกใจ ถูกกระบี่ต้วนจินในมือนางตวัดฟันใส่ไปสองสามที ในเวลาพริบตาก็บาดเจ็บล้มตายไปเกินครึ่ง

 

 

จงหมิ่นเหยียนตามนางไปติดๆ ฟันนกฉวีหรูที่เหลืออีกสิบกว่าตัวที่กำลังหนีเข้าถ้ำด้วยคมกระบี่ ทั้งสองอยู่กลางท้องฟ้าราวกับใจถึงใจ สลับตำแหน่งกัน จงหมิ่นเหยียนหยุดหน้าปากถ้ำ ควักเอาประทัดจากในอกเสื้อออกมา จุดแล้วก็ปาเข้าไปในถ้ำ

 

 

ได้ยินเพียงเสียงดังกึกก้อง ควันลอยคละคลุ้ง เงาดำหนึ่งพุ่งทะยานออกมาจากปากถ้ำในทันที การเคลื่อนไหวฉับไวราวสายฟ้า พริบตาก็จะมุดเข้าไปในอีกถ้ำที่อยู่ข้างๆ