ทุกคนในเมืองเจาเกอล้วนแต่กำลังอพยพ แต่ในวังหลวงกลับเงียบเชียบ
ที่คนในวังหลวงไม่ยอมอพยพย่อมต้องมีสาเหตุ ทั้งในด้านจิตใจและในด้านเหตุผล
และแน่นอนว่าย่อมเป็นเพราะในวังหลวงมีข่ายพลังที่เจ็ดสำนักใหญ่ร่วมมือกันตั้งขึ้นมา ต่อให้เป็นการโจมตีจากยอดฝีมือขั้นทะลวงสวรรค์ก็สามารถต้านทานได้
แม้นจะรู้เรื่องเหล่านี้ก็มิได้หมายความว่าจะขจัดความหวาดกลัวทั้งหมดออกไปได้ แผ่นดินไหวขึ้นมาอีกครั้ง เสาคานภายในตำหนักส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดขึ้นมา เศษฝุ่นร่วงตกลงมาเล็กน้อย ภายในวังหลวงมีเสียงกรี๊ดร้องของนางกำนัลดังขึ้นมา จนกระทั่งเหล่าขันทีที่เดินอยู่ในตำหนักต่างๆ ตะโกนเสียงดังขึ้นมา เสียงกรีดร้องถึงได้ค่อยๆ เงียบหายไป
กองทัพเสินเว่ยยืนอยู่ในวังหลวง ในมือถือธนูวิเศษ จ้องมองดูความเคลื่อนไหวรอบด้านอย่างระมัดระวัง มิได้สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นด้านหลังเลย
วังหลวงที่ไม่มีเสียง เงียบเชียบจนเหมือนสุสาน ทำให้รู้สึกใจสั่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัว
พระสนมหูยืนอยู่หน้าตำหนัก มองดูการเปลี่ยนแปลงของเมฆบนท้องฟ้า ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว
นางไม่รู้ว่าเมืองเจาเกอเกิดอะไรขึ้น แต่ข่ายพลังภายในวังหลวงทำงาน เช่นนั้นจะต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน
ห่างไปไม่ไกลมีเสียงกู้ชิงดังขึ้นมา “องค์ชายเชิญฝึกต่อพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมหูหมุนตัวกลับไปมอง ก่อนจะเห็นลูกชายของตัวเองยืนท่าโก่งคันธนูอยู่ข้างหน้าต่าง เตรียมออกหมัด จึงอดรู้สึกตกใจขึ้นมาไม่ได้
นางเดินไปหากู้ชิง ก่อนกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “อาจารย์กู้ ถ้ายังไง…วันนี้พักก่อนดีไหม?”
“บนหนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการรักษาใจแห่งเต๋า ต่อให้วังหลวงพังทลายลงตรงหน้า ก็ห้ามใบหน้าเปลี่ยนสี ใจห้ามหวั่นไหว”
น้ำเสียงของกู้ชิงราบเรียบ คล้ายน้ำพุในยอดเขาเสินม่อ
พระสนมหูรู้สึกนับถือเป็นอย่างมาก ในใจครุ่นคิดว่าสมแล้วที่เป็นอาจารย์เซียนของสำนักชิงซาน แม้จะรู้ว่าในเมืองเจาเกอมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น แต่กลับยังเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้
นางไหนเลยจะรู้ว่ากู้ชิงที่สีหน้าเรียบเฉยอยู่เช่นนี้ ความจริงแล้วกลับกำลังวิตกกังวลอย่างมาก หากไม่เป็นเพราะสองมือที่ไพล่อยู่ด้านหลังออกแรงกำไว้แน่น เกรงว่ามันคงจะสั่นขึ้นมาแล้ว
จู่ๆ เมืองเจาเกอพลันมีแผ่นดินไหว วังหลวงเปิดใช้งานข่ายพลัง อากาศบนท้องฟ้าแปรปรวน…เขาคล้ายคาดเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับอาจารย์ที่ไม่ได้เจอมาเป็นเวลานาน แล้วจะไม่ให้เขาเป็นห่วงได้อย่างไร?
เพื่อจะปกปิดความรู้สึก กู้ชิงจึงยิ่งตั้งใจชี้แนะองค์ชายจิ่งเหยาในการฝึกฝน
พระสนมหูยืนดูอยู่ข้างๆ แต่ความรู้สึกไม่สบายใจภายในใจกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ขันทีกล่าวรายงานเสียงเบาๆ นางรู้สึกด้านนอกวังหลวงกำลังทำการอพยพประชาชน นางจึงมิอาจทนต่อไปได้อีก รีบเดินออกมาจากตำหนัก
ขันทีและนางกำนัลทุกคนล้วนแต่ถูกสั่งให้อยู่ในตำหนักของตัวเอง ห้ามเดินออกมาโดยพลการ ภายในวังดูเงียบเชียบวังเวงเป็นอย่างมาก
ผ่านไปไม่นานนางก็มาถึงตำหนักใหญ่ในวังหลวง ก่อนจะก้มกราบคารวะร่างสีเหลืองอร่ามร่างนั้น พลางกล่าวว่า “ฝ่าบาท…”
“ข้าพเจ้ารู้ว่าเจ้าอยากจะพูดอะไร ไม่ต้องกังวล ไม่มีเรื่องอะไร หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ข้าพเจ้ายิ่งไม่สามารถจากไปได้”
ฮ่องเต้เดินผ่านตัวนาง มายังด้านหน้าตำหนัก สายตาทอดมองไปยังดวงอาทิตย์ยามเช้าที่เพิ่งจะลอยขึ้นมา
แสงอาทิตย์ยามเช้าตกกระทบลงบนใบหน้าอันงดงามของเขา ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกาย ราศีจักรพรรดิดูยิ่งใหญ่ คล้ายดวงอาทิตย์ยามเช้าที่ลอยขึ้นมา
พระสนมหูมองดูแผ่นหลังของฮ่องเต้ ความรู้สึกชื่นชมเลื่อมใสภายในดวงตาของนางคล้ายจะเอ่อล้นออกมา
นางมิได้กล่าวกระไรอีก หากแต่เดินมายืนนิ่งๆ อยู่ข้างกายฮ่องเต้ ท่าทางดูน่ารัก
ฮ่องเต้ยืนมือไปลูบศีรษะของนาง
พระสนมหูหัวเราะคิกๆ ออกมา ใช้ศีรษะถูกับฝ่ามือของฮ่องเต้ ดูน่ารักยิ่งนัก
ทันใดนั้นพื้นดินพลันสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง ในส่วนลึกของตำหนักมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นมา
ขนาดมีข่ายพลังปกป้องยังน่าหวาดกลัวเช่นนี้ นางพอจะนึกออกเลยว่าการสั่นสะเทือนด้านนอกวังหลวงมันจะน่าหวาดกลัวแค่ไหน
พระสนมหูใบหน้าขาวซีดเล็กน้อย จากนั้นพลันยื่นมือไปจับแขนเสื้อของฮ่องเต้เอาไว้
ฮ่องเต้มองดูนางอย่างรักใคร่เอ็นดู ความคิดขยับเล็กน้อย ของสิ่งหนึ่งกลิ้งออกมาจากในแขนเสื้อ ตกลงไปในมือของพระสนมหู
ของสิ่งนั้นมีลักษณะกลม ดูแล้วคล้ายไข่ แต่เปลือกนอกกลับเปล่งแสงราวกับหยกออกมา ดูงดงามเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังน่ามหัศจรรย์
พระสนมหูกล่าวอย่างตกใจ “นี่คืออะไรเพคะ?”
ฮ่องเต้กล่าวว่า “นี่คือไข่หยกของจูเชวี่ย”
พระสนมหูตกตะลึงเป็นยิ่งนัก
จูเชวี่ยคือนกเทพชนิดหนึ่ง มันก็เหมือนกับมังกรชางหลงและกิเลนของสำนักจงโจว แล้วก็เหมือนกับหยวนกุยของสำนักชิงซาน ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่ล้ำค่าที่สุดและเก่าแก่ที่สุด
นกจูเชวี่ยตัวสุดท้ายบนแผ่นดินเฉาเทียนตายไปในเพลิงสวรรค์เมื่อหมื่นปีที่แล้ว ใครจะไปคิดบ้างว่ามันจะทิ้งไข่เอาไว้ใบหนึ่ง
เมื่อคิดถึงว่าในไข่ใบนี้อาจจะมีนกจูเชวี่ยอยู่ พระสนมหูจึงตื่นเต้นขึ้นมาเป็นอย่างมาก ฝ่ามือสั่นเทิ้มขึ้นมาเบาๆ พร้อมทั้งรีบกล่าวว่า “ท่านให้ข้าทำไม รีบเอากลับไป”
ในขณะที่ร้อนใจ กระทั่งคำว่าฝ่าบาทนางก็มิได้ตะโกนออกมา หากแต่เรียกท่านท่านข้าข้าเหมือนอย่างเวลากลางคืน
ฮ่องเต้ยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมา กล่าวว่า “เจ้าให้ความอบอุ่นแก่มันแทนข้าพเจ้า ลองดูว่าเมื่อไรถึงจะทำให้มันออกมาได้”
พระสนมหูใจเย็นขึ้นเล็กน้อย ก่อนกล่าวอย่างโมโหว่า “หม่อมฉันเป็นจิ้งจอก กกไข่เป็นที่ไหนเพคะ”
……
……
ชั้นที่สองของคุกสะกดมาร มืดมิดราวน้ำหมึก ยากจะมองเห็นสิ่งใดๆ ได้ แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตบางอย่างแล้ว ที่นี่กลับสว่างไสวไม่ต่างอะไรกับเวลากลางวัน
ชายชราที่เป็นร่างจำแลงของดวงจิตมังกรชางหลงลอยอยู่กลางอากาศ เสื้อผ้าพลิ้วไหว
เขามองดูจิ๋งจิ่วที่นอนอยู่บนพื้น ในดวงตาเผยให้เห็นถึงความดุร้ายและความสะใจ กล่าวว่า “ในที่สุดก็จับยุงตัวนี้ได้เสียที…”
ด้วยกระบี่เซียนแห่งยมโลก จิ๋งจิ่วประเดี๋ยวผลุบประเดี๋ยวโผล่ ร่องรอยยากคาดคะเน ทุกครั้งที่ปรากฏตัวก็จะใช้กระบี่เหล็กแทงเข้าไปในคุกสะกดมาร ซึ่งก็คือการทำร้ายชางหลง
นี่คล้ายกับนิสัยของยุงเป็นอย่างมาก
นอกจากความโหดร้ายและความสะใจแล้ว ในสายตาของชายชรายังมีความละโมบและความเกลียดชังอยู่ด้วย
ความละโมบนั้นเป็นเพราะเขาอยากจะกลืนกินจิ๋งจิ่วไปเสียตอนนี้ ส่วนความเกลียดชังนั้นเป็นเพราะ….ในเวลานี้เขาทรมานจริงๆ
ทุกที่ภายในคุกสะกดมารล้วนแต่เต็มไปด้วยรอยแตกจากการที่จิ๋งจิ่วใช้กระบี่เหล็กฟัน หรือก็คือบาดแผล
ถึงแม้เมื่อเทียบกับร่างกายอันน่าหวาดกลัวของชางหลงแล้ว บาดแผลเหล่านี้เรียกได้ว่าไม่มีค่าให้พูดถึงเลย ต่อให้พิษที่อยู่บนกระบี่เหล็กจะกัดกินเป็นเวลาพันปีก็ไม่มีทางที่จะทำให้เขาตายได้
แต่บาดแผลที่ถูกน้ำในบึงกัดกร่อนนั้นเจ็บปวดอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังคันคะเยออย่างมากด้วย
ตัวเขาในตอนนี้เหมือนช้างที่ถูกกิ่งไม้ขีดข่วนเป็นรอยแผลจำนวนมาก แล้วมดเหล่านั้นก็กำลังมุดเข้าไปในรอยแผลเหล่านั้น
แต่สถานการณ์ของจิ๋งจิ่วย่อมต้องแย่กว่า เมื่อเทียบกับชายชราแล้วถือว่าแย่กว่ามาก
ตัวเขาที่ถูกสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดใส่ ไม่รู้ว่ามีเลือดไหลออกมามากน้อยเท่าไร ร่างกายเต็มไปด้วยรอยไหม้เกรียม บนรอยไหม้เหล่านั้นยังมีประกายสายฟ้าหลงเหลืออยู่อย่างชัดเจน
ชายชราลอยลงมาตรงหน้าจิ๋งจิ่ว มองดูตัวเขาที่บาดเจ็บอย่างหนัก รู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก จึงตะโกนกล่าวว่า “ข้าคือเทพมังกร ขอเพียงข้าโกรธ…”
เสียงของเขาพลันเงียบหายไป
ความรู้สึกสาแก่ใจเช่นนี้ มักจะมาจากความเจ็บปวดของศัตรู
ชายชราไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดของจิ๋งจิ่ว ดังนั้นความสาแก่ใจของเขาจึงมลายหายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงแต่ความเจ็บปวดของตัวเองที่ยังปรากฏขึ้นมาเป็นระยะๆ
สภาพของจิ๋งจิ่วดูแย่จริงๆ เทียบกับไม้วิญญาณอัศนีที่ถูกชำระล้างล้มเหลวแล้วยังแย่กว่าเสียอีก คล้ายกันฟืนในหมู่บ้านที่ตากฝนจนเปียก จากนั้นถูกเอาไปเผาอยู่ในเตาไฟเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืน
แต่สายตาของเขากลับยังสงบนิ่ง
ถึงแม้จะดูค่อนข้างเลื่อนลอยเนื่องจากพลังชีวิตที่หลั่งไหลออกไป แต่มันยังคงสงบนิ่งราวทะเลสาบ
สีหน้าของเขายังคงเฉยชา
เห็นๆ อยู่ว่าเขานอนอยู่บนพื้น แต่กลับเหมือนกำลังมองชายชราลงมาจากที่สูง
แม้นจะเป็นขอทาน แต่ยังคงเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์อยู่
ขอเพียงยังลืมตาได้ ในดวงตาก็ไม่มีเจ้า
คงจะเป็นเพราะความรู้สึกเช่นนี้กระมัง
เมื่อเห็นจิ๋งจิ่วที่เป็นแบบนี้ ชายชราพลันรู้สึกโมโหขึ้นมา เขาตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าขอร้องข้าสิ! ขอให้ข้าปลดปล่อยเจ้าซะ!”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “หรือว่าจนถึงตอนนี้เจ้ายังมองไม่ออกว่าสิ่งที่ข้าต้องการมิใช่การปลดปล่อย หากแต่เป็นเวลา?”
หากเขาต้องการการปลดปล่อย เขาก็คงเลือกที่จะใช้กระบี่เซียนแห่งยมโลกเข้าฟาดฟันกับมังกรชางหลง แบกรับความเจ็บปวดที่มากกว่านี้
เขาคงเลือกที่จะวิธีที่เสี่ยงมากกว่านี้ ดุดันมากกว่านี้ เพื่อแสวงหาการปลดปล่อย
ดังนั้นเขาจึงเอาแต่ถ่วงเวลา รอคอยการปรากฏขึ้นของเรื่องเหล่านั้น รอคอยการปรากฏตัวของคนผู้นั้น
ชายชรากล่าวเย้ยหยัน “คุกสะกดมารสั่นสะเทือน ยอดฝีมือบนแผ่นดินจะต้องรีบมายังเมืองเจาเกอแน่นอน ต่อให้ผู้ช่วยของเจ้าปรากฏตัว สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ดี”
จิ๋งจิ่วกล่าว “หากเจ้ารู้ว่าคนที่ข้ารอคือใคร บางทีเจ้าอาจจะเปลี่ยนความคิดก็ได้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ สีหน้าชายชราพลันแปรเปลี่ยน เขารีบหมุนตัวมองไปยังส่วนที่ลึกที่สุดในความมืด
ที่นั่นคือด้านล่างของคุกสะกดมาร เป็นที่ที่กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้
จักรพรรดิแห่งหมิงอยู่ที่นั่น