ภาคที่ 4 ตอนที่ 58 เขากำลังจ้องมองหุบเหวลึก

มรรคาสู่สวรรค์

ในช่วงครึ่งหลังที่จิ๋งจิ่วเก็บตัวอยู่ในชิงซาน เขาได้คิดเรื่องที่จะเข้ามาในคุกสะกดมารเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

หากไม่มีอะไรผิดคาด ในเวลานี้เขาคงจะหายตัวกลับมายังชิงซานอย่างเงียบๆ นอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ริมผาบนยอดเขาเสินม่อ รอฟังข่าวที่ส่งมาจากเมืองเจาเกอ

แต่สุดท้ายก็ยังมีตัวแปรอื่นปรากฏขึ้นมา มีคนคาดการณ์ถึงเรื่องที่เขาแอบเข้ามายังคุกสะกดมารได้ จากนั้นบอกกับทางสำนักจงโจว

คนผู้นั้นน่าจะเป็นศิษย์พี่

เขาพอจะรู้ว่าศิษย์พี่อยากจะทำอะไร เขาเองก็รู้ด้วยเหมือนกันว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรจึงจะออกไปจากคุกสะกดมารได้ ดังนั้นเขาจึงเฝ้ารอให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น

หากในตอนที่เขาออกไปจากคุกสะกดมาร มังกรชางหลงคลุ้มคลั่งไล่ตามออกไปจริงๆ ชาวเมืองในเมืองเจาเกอจะต้องล้มตายเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน

เขาไม่สนใจโลกนี้ แต่ก็ไม่ยอมให้โลกต้องมาพบเจอกับภัยพิบัติเพราะตนเองเช่นกัน

เขารู้อยู่แล้วว่าการทำลายคุกสะกดมารจะทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ แล้วก็จะทำให้มียอดฝีมือบนแผ่นดินมายังเมืองเจาเกอเป็นจำนวนมาก แต่เขาก็ยังทำเช่นนั้น

ในเมืองเจาเกอมีแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง ราชสำนักอพยพชาวเมืองทั้งหมด นี่คือเรื่องที่เขากำลังรอคอย

จากนั้นเขาก็เริ่มรอคอยจักรพรรดิแห่งหมิง

ในตอนที่ออกมาจากหุบเขาสีเขียวนั้น เขาได้รับของขวัญมาจากจักรพรรดิแห่งหมิง — ดอกไม้สีม่วงอ่อนกำนั้น

นี่คือการตัดสินใจโดยบังเอิญที่ได้มาจากการบำเพ็ญเพียรอยู่ในคุกสะกดมารมาเป็นเวลาสามปี หาใช่เรื่องที่เขาคิดเอาไว้ในตอนเก็บตัวอยู่ที่ชิงซานไม่

ตอนนี้ดูแล้ว การตัดสินใจโดยบังเอิญนั้นกลับกลายเป็นความหวังที่จะทำให้เขาออกไปจากคุกสะกดมารได้

ดอกไม้สีม่วงอ่อนกำนั้นกำลังพลิ้วไหวตามลม

ที่ตรงนั้นมีลมเกิดขึ้นมา ถึงเวลาที่เขาจะออกไปจากที่นี่แล้ว

“หวังว่าเจ้าจะชื่นชอบของขวัญที่ข้าเตรียมเอาไว้ให้เจ้านะ”

จิ๋งจิ่วกล่าวกับชายชรา

ชายชราแค่นหัวเราะกล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้! ต่อให้เจ้าหาจักรพรรดิแห่งหมิงพบจริงๆ เจ้าก็ไม่มีทางที่จะชี้นำเขาได้ เพราะเจ้าอ่อนแอเกินไป”

จิ๋งจิ่วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองดูเขามิกล่าวกระไร

ชายชราตะคอกเสียงดังว่า “เป็นไปไม่ได้! ต่อให้เจ้าสามารถทิ้งจุดนำทางเอาไว้ให้เขาที่อีกฝั่งหนึ่งได้ เขาก็ไม่มีทางออกมาได้ เพราะเขาอ่อนแอกว่าเจ้า!”

จิ๋งจิ่วกล่าว “ยุงเหล่านั้นไม่ได้ดูดเพลิงวิญญาณของเขามาเป็นเวลาสามปีแล้ว”

สีหน้าของชายชรายิ่งดูแย่ขึ้น กล่าวว่า “เป็นไปไม่ได้!”

กระทั่งไป๋กุ่ยก็ยังรู้สึกว่ายุงในคุกสะกดมารนั้นยุ่งยาก เช่นนั้นมันย่อมมิใช่สิ่งที่จัดการได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน

วิธีที่จิ๋งจิ่วใช้ช่วยจักรพรรดิแห่งหมิงดูเหมือนง่ายดาย แต่ความจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่

ในสถานการณ์ที่ถูกตัดขาดจากฟ้าดิน เขายังสามารถใช้วิชาฟ้าดินของสำนักต้าเจ๋อทำให้เมฆดำก้อนนั้นคงอยู่เป็นเวลานาน แล้วก็ทำให้ในเมฆดำนั้นมีสายฟ้าผ่าลงมา ถึงแม้จะบอกว่านั่นเป็นเพราะความสามารถของกระดิ่งอันนั้น แต่เหตุผลหลักๆ แล้วเป็นเพราะความเชี่ยวชาญและความเข้าใจในหลักการของฟ้าดิน

ระดับความเชี่ยวชาญและความเข้าใจที่ว่านี้ต้องอยู่ในระดับทะลวงสวรรค์ ถึงจะสามารถสร้างฟ้าดินขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นการหาจักรพรรดิแห่งหมิงจนพบ ทิ้งรอยนำทางเอาไว้ที่อีกฝั่งหนึ่ง ขับไล่ยุงเหล่านั้นออกไป ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้

ดังนั้นชายชราจึงพูดคำว่าเป็นไปไม่ได้ออกมาติดกันถึงสามครั้ง

แต่ผู้ที่เป็นคนวางแผนเหล่านี้เอาไว้ในตอนนั้นก็คือนักพรตไท่ผิง วันนี้คนที่มาทำเรื่องนี้คือจิ๋งจิ่ว

เมื่ออยู่ต่อหน้าทั้งสองคนนี้ บนโลกนี้ยังจะมีเรื่องไหนที่เป็นไปไม่ได้ล่ะ?

ชายชรามองเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดในความมืด ความอึมครึมบนใบหน้าใกล้จะมืดเสียยิ่งกว่าความมืดนั้นแล้ว

เรื่องที่ควรจะเกิดได้เกิดขึ้นแล้ว

จิ๋งจิ่วเก็บกระบี่เหล็กเข้าไปในร่างกาย

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาทำเรื่องนี้ได้

เขาทะยานไปในความมืด เคลื่อนไหวคล้ายวิญญาณ รวดเร็วยิ่งนัก

เพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็มาถึงชั้นสองของคุกสะกดมาร

นี่เป็นตัวเลือกที่เขาทิ้งเอาไว้ให้มังกรชางหลง

จะไล่ตามข้า

หรือว่าไปจัดการกับจักรพรรดิแห่งหมิง

……

……

ในส่วนที่ลึกที่สุดของของคุกสะกดมาร ในฝั่งที่เวลาและความว่างเปล่าไหวเวียนสะเปะสะปะ ภายในหุบเขาที่เขียวขจี จักรพรรดิแห่งหมิงมองดูเมฆดำที่อยู่เหนือศีรษะอย่างเงียบๆ

หลังจิ๋งจิ่วออกมา เขาก็เอาแต่ทำเรื่องๆ หนึ่ง ดวงตาที่ดำมืดเหมือนอย่างอัญมณีสีดำคล้ายกำลังประทับร่องรอยลงในเมฆดำก่อนนั้น

ไม่รู้ว่าเมื่อไร ไม่รู้ว่าเรื่องใดได้ปลุกเขาขึ้นมา เขายื่นมือเข้าไปในเมฆดำก้อนนั้น ในตอนที่ดึงกลับมา กระดิ่งที่เปล่งประกายอันนั้นก็อยู่ในมือของเขาแล้ว การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ คล้ายกับการเด็ดผลไม้บนต้นไม้

ไม่มีกระดิ่ง เมฆดำก็ไม่สามารถสร้างสายฟ้าได้ ยุงที่หลบซ่อนอยู่ในหุบเขาเหล่านั้นพากันบินออกมา

จักรพรรดิแห่งหมิงกำกระดิ่งเดินออกไปด้านนอกหุบเขา

อักขระข่ายพลังถูกเท้าของเขาเหยียบแตกกระจาย

วิชาลมฝนหายไป

เมฆดำสลายหายไป

ยุงเหล่านั้นมาถึงข้างกายเขา เพราะว่าตัวเล็กมากจึงมองไม่เห็น แต่เสียงหึ่งๆ เหล่านั้นยังคงน่ารำคาญเหมือนอย่างเมื่อหกร้อยปีก่อน

จักรพรรดิแห่งหมิงมิได้สนใจ เขามายืนริมผาขาด มองไปในทะเลสีดำที่ดูวุ่นวายแห่งนั้น

ยุงในคุกสะกดมารบินไปเกาะที่ร่างกายเขา พวกมันที่ไม่ได้ลิ้มรสเพลิงวิญญาณมาเป็นเวลาสามปี ดูค่อนข้างคลุ้มคลั่งจนน่ากลัว

ทะเลสีดำสะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขา ดำมืดเป็นอย่างมาก ในนั้นพลันมีแสงสว่างที่งดงามส่องสว่างขึ้นมา

แสงสว่างที่งดงามนั้นมาจากในส่วนลึกของร่างกายของจักรพรรดิแห่งหมิง มันสาดแสงออกมาจากในผิวหนังและเสื้อผ้า กลายเป็นสายฟ้าขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วน สังหารยุงเหล่านั้นจนหมดสิ้น

ด้านนอกหน้าผามีลมพัดมา ซากศพของยุงเหล่านั้นกองสุมคล้ายเศษฝุ่น

จักรพรรดิแห่งหมิงสืบเท้าเข้าไปในสายลม มาถึงทะเลลึกอันดำมืดแห่งนั้น

ว่ากันว่าในคุกไท่ฉางไม่มีคำว่าเวลาและความว่างเปล่า ความจริงแล้วนั้นเป็นเพียงการกล่าวแบบกว้างๆ เท่านั้น อันที่จริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ทะเลอันดำมืดคล้ายเป็นแม่น้ำที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากเศษเสี้ยวของเวลาและความว่างเปล่า ต่อให้เป็นยอดคนขั้นทะลวงสวรรค์ตกลงไปในนั้น หากในโลกภายนอกไม่มีหลักยึดให้จิตใจคอยรับรู้ถึงล่ะก็ เขาก็คงต้องลอยอยู่ในนั้นเป็นเวลาหลายปี

หากบอกว่านิยามของคำว่าความว่างเปล่าของที่นี่เป็นสิ่งคลุมเครือ เช่นนั้นโลกภายนอกคือที่ใดกันแน่?

ไม่ว่าเจ้าจะยืนอยู่ด้านไหนของแม่น้ำ ขอเพียงคิดอยากจะข้ามแม่น้ำไป เช่นนั้นก็ต้องไปยังฝั่งตรงข้าม

โลกภายนอกก็คือฝั่งตรงข้าม

จักรพรรดิแห่งหมิงก้าวข้ามแม่น้ำเส้นนั้น ก็เหมือนกับที่เขาข้ามแม่น้ำหมิงในตอนที่ยังเป็นเด็ก จบสิ้นการล่องลอยของตัวเอง

ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาที่เขียวขจีแห่งนั้นหรือว่าดินแดนลวงตาที่เป็นสีขาวดำก็ล้วนแต่หายไปในพริบตา

หลังผ่านมาหกร้อยปี ในที่สุดเขาก็ออกมาจากคุกไท่ฉางได้ มาถึงโลกแห่งความเป็นจริง ถึงแม้ที่นี่จะยังเป็นคุกสะกดมารอยู่

เขามองดูอุโมงค์ที่ทอดยาวไปยังหุบเหวลึกและมีพายุรุนแรงปกคลุมอยู่เต็มไปหมดเส้นนั้น หางตามองเห็นสีม่วง

บริเวณก้อนหินมีดอกไม้สีม่วงอ่อนอยู่กอหนึ่ง

ตอนที่จิ๋งจิ่วออกมาจากหุบเขา จักรพรรดิแห่งหมิงได้มอบของขวัญให้เขาชิ้นหนึ่ง นั่นก็คือดอกไม้ช่อนี้

ความจริงแล้วนี่เป็นของขวัญที่จิ๋งจิ่วมอบให้จักรพรรดิแห่งหมิง

ดอกไม้ฝั่งตรงข้าม

ดอกไม้ถูกลมที่เกิดจากร่างกายของเขาพัดจนสั่นไหวเบาๆ

ดวงจิตรวมเป็นหนึ่ง

จักรพรรดิแห่งหมิงหัวเราะขึ้นมา

มิใช่เป็นการยิ้มอย่างมีความสุขจากการที่หนีออกมาได้

หากแต่เป็นการหัวเราะที่แฝงเอาไว้ด้วยความสุขุมและเด็ดเดี่ยว

ในตอนที่ถูกยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์ล้อมโจมตี เขาเคยถูกยันต์เซียนแผ่นหนึ่งจากนอกท้องฟ้าโจมตีเข้าใส่ สภาวะได้รับความเสียหาย ไม่สามารถกลับไปยังโลกด้านล่างได้ หากในเวลานี้เขาออกไปจากคุกสะกดมาร จะต้องถูกยอดฝีมือล้อมโจมตีอีกครั้งแน่นอน ด้วยสภาวะของเขาในตอนนี้ แทบจะไม่มีหวังที่จะหนีรอดไปได้เลย เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

เขาเตรียมจะทำอะไร? สร้างความวุ่นวายในคุกสะกดมารอย่างนั้นหรือ?

จักรพรรดิแห่งหมิงบินเข้าไปยังอุโมงค์ที่ทอดยาวเส้นนั้น

ภายในอุโมงค์เต็มไปด้วยลมพายุและกลิ่นเหม็นคาว เขามิได้สนใจแม้แต่น้อย

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดเขาก็มาถึงปลายสุดของอุโมงค์เส้นนั้น

ปลายสุดของอุโมงค์คือกำแพงโปร่งใสแถบหนึ่ง ดูเหมือนเปราะบาง แต่ความจริงแล้วกลับเป็นม่านพลังที่แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินเฉาเทียน

อีกด้านหนึ่งของกำแพงโปร่งแสงคือหุบเหวลึก

หุบเหวที่ดำมืดและเย็นยะเยือก

จักรพรรดิแห่งหมิงมองดูหุบเหวลึก

หุบเหวลึกก็จ้องมองดูเขา

ต่างฝ่ายต่างรักใคร่ซึ่งกันและกัน