ภาคที่ 4 ตอนที่ 59 ภายในคุกสะกดมารมีผีเดินออกมาตัวหนึ่ง

มรรคาสู่สวรรค์

แผ่นดินไหวในเมืองเจาเกอยังคงดำเนินต่อไป

เยวี่ยเชียนเหมินยิ่งรู้สึกร้อนใจ คิดอยากจะฝืนเข้าไปในคุกสะกดมารเพื่อดูสถานการณ์ด้านใน แต่กลับถูกจินหมิงเฉิงพากองทัพเสินเว่ยมาขวางเอาไว้ด้านนอก

เซี่ยงหว่านซูและคนอื่นๆ รีบเดินทางมาวัดไท่ฉาง สีหน้าดูคร่ำเครียด

คนที่สีหน้าคร่ำเครียดยิ่งกว่านั้นย่อมต้องเป็นเจ้ากรมชิงเทียนจางอี๋อ้าย สถานะขุนนางระดับสูงของราชสำนักและศิษย์สำนักจงโจวคล้ายเป็นภูเขาสองลูกที่บีบเขาเอาไว้จนแทบจะหายใจไม่ออก

ในเวลานี้ลู่กั๋วกงควรจะแสดงคุณสมบัติที่ขุนนางคนสนิทควรจะมีออกมา เขาทิ้งวัดไท่ฉางไปอย่างไม่ลังเล รีบเข้าไปในวังหลวงด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด ทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ฮ่องเต้ทรงทราบ ก่อนกล่าวขอคำแนะนำว่า “หากแผ่นดินไหวยังไม่หยุด คนของสำนักจงโจวจะต้องคลุ้มคลั่งเป็นแน่ ถึงตอนนั้นควรจะทำอย่างไรดีพ่ะย่ะค่ะ?”

“คุกสะกดมารย่อมสำคัญ แล้วประชาชนทั่วทั้งเมืองไม่สำคัญหรือ?”

ฮ่องเต้กล่าวว่า “ให้เหล่าอาจารย์เซียนของสำนักจงโจวช่วยอพยพชาวบ้านออกจากเมืองเจาเกอ เขาอวิ๋นเมิ่งบอกว่าฟ้าดินคือหน้าที่ของตัวเอง แล้วในเวลาแบบนี้จะไม่ออกแรงได้อย่างไร?”

คำพูดนี้จะว่าไปก็มิได้ผิด แต่สำนักจงโจวจะทิ้งบรรพจารย์ของตัวเองไม่สนใจ แล้วไปคอยดูแลคนธรรมดาเหล่านั้นได้อย่างไร?

ลู่กั๋วกงคิดในใจ หากคนที่ถ่ายทอดคำพูดนี้ออกไปคือตัวเอง เกรงว่าคงจะถูกเยวี่ยเชียนเหมินฟาดตายแน่นอน

ดังนั้นคนที่จะไปวัดไท่ฉางเพื่อถ่ายทอดพระบัญชาจึงมิใช่เขา หากแต่เป็นราชองครักษ์อีกคนหนึ่ง

“ลำบากท่านหนิวแล้ว”

ลู่กั๋วกงโน้มกายเล็กน้อยส่งราชองครักษ์หนิวขึ้นรถเมฆออกไปจากวัง เมื่อเห็นรถเมฆหายไปทางด้านนั้นของวังหลวง เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย

ราชองครักษ์สองคนออกหน้าพร้อมกัน ต่อให้เป็นเจ้าสำนักจงโจวมาเองก็น่าจะยื้อเวลาเอาไว้ได้สักพัก

“แจ้งสำนักอื่นๆ คุกสะกดมารเกิดเรื่อง ให้รีบมาช่วยเหลือ”

เสียงของฮ่องเต้ดังขึ้นอีกครั้ง

ลู่กั๋วกงมองฝ่าบาทอย่างตกใจ เรื่องที่จิ๋งจิ่วแอบเข้าไปในคุกสะกดมารเป็นเวลาสามปี ฝ่าบาทจะต้องทรงทราบอย่างแน่นอน การที่คุกสะกดมารเกิดการสั่นสะเทือนแปลกๆ ในวันนี้ เกรงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับจิ๋งจิ่วเช่นเดียวกัน แต่เหตุใดฝ่าบาทถึงยังขอให้สำนักอื่นๆ มาช่วย หรือพระองค์ไม่กลัวว่าจิ๋งจิ่วจะถูกจับไป?

ฮ่องเต้กล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เขาอวิ๋นเมิ่งอยู่ใกล้เมิงเจาเกอมากเกินไป”

ลู่กั๋วกงเข้าใจในทันที เขาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก รีบวิ่งเข้าไปในส่วนลึกของวัง เตรียมจะส่งหนังสือหาสำนักต่างๆ

พระสนมหูยืนอยู่ข้างๆ แต่กลับฟังบทสนทนาระหว่างลู่กั๋วกงและฝ่าบาทไม่เข้าใจ แต่นางคล้ายจะฟังออกว่าฝ่าบาททรงไม่ชอบสำนักจงโจว

การค้นพบอันนี้ทำให้นางค่อนข้างดีใจ แต่ที่มากกว่านั้นก็คือตกใจและไม่เข้าใจ

แต่ไหนแต่ไรมาราชวงศ์จิ่งมีความใกล้ชิดกับวัดกั่วเฉิง แต่ในด้านการปกครองกลับต้องพึ่งพาสำนักจงโจวและเรือนอี้เหมา

ในช่วงเวลาหลายปีที่นางเข้ามาอยู่ในวัง ฝ่าบาททรงแสดงความเคารพต่อเรือนอี้เหมา ส่วนสำนักจงโจวก็ทรงแสดงออกถึงความไว้วางพระทัย…หรือสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการแสร้งทำ?

คำถามที่ง่ายที่สุดก็คือ เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงไม่ชอบสำนักจงโจว?

“เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดสำนักจงโจวเป็นเป็นสำนักฝ่ายธรรมะอันดับหนึ่งในใจคนทั่วทั้งใต้หล้า?”

ฮ่องเต้หมุนตัวกลับมาถามนาง

พระสนมหูรู้สึกว่าความรู้สึกยินดีของตนเองก่อนหน้านี้ถูกฝ่าบาทมองออกแล้ว จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ดูแล้วน่าจะเป็นเพราะพวกเขายิ่งใหญ่ มีทะลวงสวรรค์สองคนเพคะ…”

สำนักจงโจวและสำนักชิงซานแย่งชิงความเป็นผู้นำของสำนักฝ่ายธรรมะมาโดยตลอด นี่หมายถึงในโลกแห่งการบำเพ็ญพรต

แต่ในใจคนทั่วทั้งใต้กล้า สำนักจงโจวต่างหากถึงจะเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าอย่างแท้จริง มีเพียงประชาชนทางใต้เท่านั้นที่ไม่คิดเช่นนี้

เหตุใดจึงเข้าใจกันแบบนั้น? เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้นมีคำตอบอยู่มากมาย อย่างเช่นสำนักจงโจวตั้งอยู่ใกล้เมืองเจาเกอ มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ สถานะภายในใจขุนนางและประชาชนย่อมต้องสูงส่ง มีบางคนบอกว่าเป็นเพราะในช่วงเวลาหลายสิบปีมานี้สำนักจงโจวมีศิษย์อัจฉริยะหนุ่มสาวมากกว่า ชื่อเสียงบารมีจึงมากกว่า แต่หลังจากที่ลั่วไหวหนานตาย เจ้าล่าเยวี่ยและจิ๋งจิ่วเฉิดฉายขึ้นมา คำตอบนี้ก็ไม่มีความน่าเชื่อถืออีก ยิ่งไปกว่านั้นก่อนที่ผู้บำเพ็ญพรตหนุ่มสาวในช่วงนี้จะปรากฏขึ้นมา ความเข้าใจนี้ก็มีอยู่บนโลกอยู่ก่อนแล้ว

คำตอบของพระสนมหูเป็นคำตอบที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด แล้วก็มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด

หลายปีก่อนหยวนฉีจิงผู้เป็นกฎกระบี่ของชิงซานเพิ่งจะบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์ แต่ทะลวงสวรรค์ทั้งสองคนของสำนักจงโจวปรากฏตัวขึ้นมาก่อนหน้านั้นหลายปีแล้ว

ฮ่องเต้กล่าวว่า “หยวนฉีจิงบรรลุขั้นทะลวงสวรรค์นานแล้ว มีบางคนบอกว่าเขาจงใจปิดบังเจ้าสำนักชิงซาน แค่ความจริงแล้วเขาปิดบังเขาอวิ๋นเมิ่ง เพียงแต่ไม่รู้ว่าระหว่างสองสามีภรรยาคู่นั้นมีปัญหาจริงๆ หรือว่าพวกเขาอดทนได้เก่งมากๆ แม้นจะอยู่ในสถานการณ์ที่สู้กับหลิ่วฉือแบบสองต่อหนึ่งได้ก็ยังไม่ยอมลงมือ ผ่านไปหลายปี หยวนฉีจิงย่อมไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก”

ที่เป็นครั้งแรกที่พระสนมหูได้ฟังความลับเหล่านี้ นางจึงตกใจจนเสียงสั่นขึ้นมา “เพราะ…เพราะ….เหตุใดเพคะ?”

ฮ่องเต้กล่าวว่า “เพราะผู้ที่บรรลุกลายเป็นเซียนคนสุดท้ายเมื่อหนึ่งพันปีก่อนหน้านี้คือเจ้าสำนักจงโจวในเวลานั้น เขามีนามว่าไป๋เริ่น”

สำนักจงโจวในเวลานี้ยิ่งใหญ่เพียงใด

เมื่อวันเวลาผ่านไป โลกก็เหลือเพียงแค่ไม่กี่คนที่รู้จักชื่อของไป๋เริ่น คนธรรมดาแม้กระทั่งได้ยินก็ยังไม่เคยได้ยิน

แต่อิทธิพลของคนที่บรรลุกลายเป็นเซียนผู้นั้นยังคงหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินเฉาเทียน เรียกได้ว่าฝังลึกอยู่ในใจของประชาชนบนโลก

“แต่ว่า…แต่ว่าสำนักชิงซานก็มีนักพรตจิ่งหยางมิใช่หรือเพคะ?”

พระสนมหูกล่าวอย่างตั้งใจ “ฝ่าบาท นั่นเป็นปรมาจารย์ของจิ่งเหยาเลยนะเพคะ”

ฮ่องเต้มิได้กล่าวกระไร

นักพรตจิ่งหยางย่อมต้องยอดเยี่ยม เขากับนักพรตไท่ผิงฟื้นฟูสำนักชิงซานขึ้นมา ทำให้สำนักชิงซานที่ในอดีตเคยเกือบจะล่มสลายฟื้นคืนกลับมาจนมีฐานะทัดเทียมกับสำนักจงโจว เพียงแต่…เซียนที่บรรลุไปแล้วใช้วิธีที่แตกต่างกันกลับมายังโลก ผลกระทบที่สร้างให้กับโลกก็ย่อมต้องแตกต่างกัน

แต่ว่าอย่างไร นักพรตจิ่งหยางก็มีความสำคัญต่อสำนักชิงซานอย่างมาก สำหรับราชวงค์จิ่งแล้วยิ่งสำคัญเข้าไปใหญ่

ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเกิดเรื่องได้

พลังที่แข็งแกร่งหลายสายกำลังมุ่งหน้ามายังเมืองเจาเกอ

พลังที่อยู่ใกล้ที่สุดมาจากเขาอวิ๋นเมิ่ง

ฮ่องเต้มองไปทางวัดไท่ฉาง พบว่าด้านนั้นมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น จึงกล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งว่า “ยังไม่ออกมา?”

จิ๋งจิ่วยังอยู่ในคุกสะกดมาร

ฮ่องเต้คิดในใจว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตัวเองคงได้แต่ต้องลงมือแล้ว

ในงานชุมนุมเหมยฮุ่ยครั้งแรกเมื่อหลายร้อยปีก่อน ข้อตกลงที่เสด็จพ่อและสำนักใหญ่อีกเจ็ดสำนักได้ทำร่วมกันไว้กำลังจะถูกเขาทำลายลงด้วยมือของเขาเอง

แผ่นดินเฉาเทียนอาจจะตกอยู่ในสภาพวุ่นวาย

แต่นี่เป็นเรื่องที่เขาควรจะทำ

……

……

อาคารรอบๆ วัดไท่ฉางได้พังถล่มลงมาจนหมด มีเพียงสิ่งก่อสร้างหลักที่ยังปลอดภัยไร้ความเสียหาย มุมชายหลังคาสีดำปรากฏตะคุ่มๆ ท่ามกลางฝุ่นควันที่ฟุ้งกระจาย

สีหน้าของเยวี่ยเชียนเหมินคล้ายอยากจะกินคน เขายิ่งรู้สึกว่าการตอบสนองของราชสำนักดูแปลกประหลาด

การสั่นสะเทือนที่มาจากส่วนลึกใต้ดินยิ่งถี่ขึ้นเรื่อยๆ เซี่ยงหว่านซูตะโกนอย่างร้อนใจว่า “หากเทพมังกรเกิดเรื่อง ใครจะรับผิดชอบไหว!”

บนใบหน้ากลมๆ ของจินหมิงเฉิงเผยให้เห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้นมา เขากล่าวว่า “หากเทพมังกรเกิดเรื่อง อาศัยเพียงเจ้ากับข้าเข้าไปจะไปมีประโยชน์อะไร? เข้าไปตายอย่างนั้นหรือ?”

คำพูดนี้ย่อมมีเหตุผล แต่คนของสำนักจงโจวจะยืนดูปรมาจารย์ของสำนักตนเองเกิดเรื่องโดยไม่ทำอะไรได้หรือ?”

เยวี่ยเชียนเหมินส่งสายตาบอกเซี่ยงหว่านซูและศิษย์คนอื่นๆ ว่าไม่ต้องพูดอะไรอีก จากนั้นกล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ท่านเจ้าสำนักใกล้จะมาถึงแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เซี่ยงหว่านซูและศิษย์คนอื่นๆ ก็สบายใจขึ้นมา ในใจครุ่นคิดว่าเจ้าสำนักมาเอง ปัญหาใหญ่แค่ไหนก็สงบลงได้

ในเวลานี้ใต้เท้าของทุกคนมีแรงสั่นสะเทือนปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่เมื่อเทียบกับแผ่นดินไหวหลายสิบครั้งก่อนหน้านี้แล้วถือว่าเบากว่ามาก

จู่ๆ พลันมีเสียงผลั่กเบาๆ ดังขึ้นมา ไม่รู้ว่าดังมาจากตรงไหน คล้ายถุงกระดาษที่อัดอากาศจนเต็มถูกเด็กซนเอานิ้วจิ้มจนแตก แล้วก็คล้ายจักจั่นเหมันต์ลื่นตกลงมาจากหัวของหลิวอาต้าลงมาบนตั่งเหมันต์

พื้นดินแห่งหนึ่งในวัดไท่ฉางพลันมีรูปรากฏขึ้นมา

รูนั้นไม่ใหญ่มาก น่าจะใส่คนหนึ่งคนได้ ขอบรูเรียบลื่น กลายเป็นถูกกระบี่ที่แหลมคมที่สุดตัดออกอย่างไรอย่างนั้น

กลิ่นเหม็นคาวจางๆ ผสมกับความหนาวเย็นที่เสียดกระดูกลอยออกมาจากในรู ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลายเป็นควัน

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

มีอะไรบางอย่างออกมาจากในคุกสะกดมาร?

“บนท้องฟ้า”

เยวี่ยเชียนเหมินตะโกน

ทุกคนพากันเงยหน้าขึ้นไป

ในท้องฟ้าสีครามมีจุดดำเล็กๆ จุดหนึ่งปรากฏขึ้นมา พอจะมองเห็นได้

กลายเป็นจุดดำเล็กๆ ในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้ นี่มันรวดเร็วขนาดไหนกันแน่?

นั่นคือกระบี่บินของยอดฝีมือคนไหน?

สิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงและไม่เข้าใจยิ่งกว่านั้นก็คือจุดดำจุดนั้นพลันหายไป ก่อนจะไปปรากฏตัวอีกครั้งบนท้องฟ้าที่สูงขึ้นไปหลายลี้

เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่กระบี่บิน

นั่นคือสิ่งใดกันแน่?