สายตาของเยวี่ยเชียนเหมินมองไปในท้องฟ้า สีหน้าดูตกตะลึงเล็กน้อย
หากนั่นมิใช่กระบี่บินหรือว่าอาวุธวิเศษ เช่นนั้นมันคืออะไร?
เหตุใดเจ้าสิ่งนั้นถึงบินได้เร็วขนาดนี้ เรียกได้ว่าเร็วกว่าตนเองด้วยซ้ำ
ถึงแม้วิชาหลบหนีฟ้าดินของเขาจะยังฝึกไม่ถึงขั้นสูงสุด แต่เขาก็คือเป็นผู้อาวุโสขั้นสูญตาที่สภาวะอยู่ในสิบอันดับแรกของสำนักจงโจว
ในตอนที่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขากำลังเตรียมที่จะเรียกอาวุธวิเศษออกมาไล่ตาม ใครจะไปรู้บ้างว่าจู่ๆ พื้นดินพลันสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง เกิดรอยแตกสิบกว่ารอย น้ำจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน กลายเป็นภาพอันน่ามหัศจรรย์ แต่ไม่ทันไรก็ถูกลมพายุอันคลุ้มคลั่งที่พุ่งขึ้นมาจากใต้ดินพัดจนน้ำเหล่านั้นกลายเป็นพายุฝน ตกลงมาบนวัดไท่ฉาง
ชายหลังจากสีดำของวัดไท่ฉางถูกฝนชะจนเปียก สีดำที่ว่ายิ่งส่องประกาย
พลังสายนั้นยิ่งพัดยิ่งรุนแรง ป่าไม้ที่อยู่รอบๆ ล้มระเนระนาด ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย
เสียงแตกจำนวนนับไม่ถ้วนดังสนั่น วัดไท่ฉางทั้งวัดยกตัวขึ้นมาจากใต้ดิน หน้าต่างและเสาคานแตกหักร่วงตกลงมาที่พื้น
ลมโหมกระหน่ำ ทุกคนรวมไปถึงราชองครักษ์ทั้งสองคนและเยวี่ยเชียนเหมินต่างถูกกระแทกจนกระเด็นลอยออกไป
เจ้าหน้าที่กรมชิงเทียนและกองทัพเสินเว่ยเหล่านั้นยิ่งน่าสงสาร ต่างคนต่างร่วงตกลงไปบนพื้นถนน มีบางคนสลบลงไป คนที่ได้สติอยู่ต่างก็มีใบหน้าขาวซีด ตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ฝุ่นควันที่คละคลุ้มถูกพายุฝนชะจนกลายเป็นโคลน ตกลงมาดังเผละๆ มุมหลังคาวัดไท่ฉางปรากฏตะคุ่มๆ
บริเวณโดยรอบมืดมิดยิ่งนัก คล้ายกลับไปสู่ช่วงเวลากลางคืนอีกครั้ง
ภายในท้องฟ้ามีสายฟ้าฟาดลงมา ผ่าลงมาตรงมุมหลังคาพอดี ประกายสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
มุมหลังคาที่เปียกฝนพลันขยับขึ้นมา!
มีโลกที่มืดมิดอีกใบส่องสว่างขึ้นมา นั่นคือดวงตาใหญ่ยักษ์ดวงหนึ่ง สายตาเย็นชาและดุร้าย
……
……
“ชางหลง!”
“ชางหลงปรากฎตัวแล้ว!”
วัดไท่ฉางกลายเป็นซากปรักหักพัง
ภายในฝุ่นควันมีมังกรสีดำขนาดมหึมาและน่ากลัวตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา
เมื่อเห็นภาพนี้ เจ้าหน้าที่กรมชิงเทียนและกองทัพเสินเว่ยหลายๆ คนที่ยังตื่นอยู่ต่างตกใจจนเป็นลมสลบไป แล้วก็มีหลายคนที่ตกใจจนส่งเสียงกรีดร้องออกมา
คนในเมืองเจาเกอจำนวนมากต่างรู้ถึงคำบรรยายนี้ —- มุมหลังคาสีดำของวัดไท่ฉางที่เปียกฝนดูคล้ายเขาของมังกร
ที่แท้นี่มิใช่การบรรยาย หากแต่เป็นความทรงจำอันแสนยาวนานที่แอบซ่อนอยู่ในโลกมนุษย์!
มุมหลังคาของวัดไท่ฉางก็คือเขาของมังกรชางหลง!
ชางหลงแหวกพื้นออกมา ร่างมังกรสีดำขนาดใหญ่ยกตัวขึ้นมาจากใต้ดินไม่หยุด มองดูใกล้ๆ แล้วคล้ายกับกำแพงสีดำที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง เกล็ดบนลำตัวส่องประกายสีดำ
บริเวณโดยรอบซากปรักหักพังเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนร่ำไห้
ภายในวังเองก็มีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
ลู่กั๋วกงยังไม่ทันกลับมาถึงตำหนักหลัก เมื่อได้ยินเสียงอุทานตกใจก็รู้ว่าแย่แล้ว จึงหมุนตัวกลับไปมองยังวัดไท่ฉาง ก่อนจะมองเห็นมังกรสีดำที่บินขึ้นไปบนท้องฟ้าตัวนั้น
เขาก้นกระแทกลงไปกับพื้น ใบหน้าขาวซีด กล่าวพึมพำว่า “คุกสะกดมารปรากฏตัวแล้ว…”
ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลวัดไท่ฉาง เขาย่อมต้องรู้ความลับของคุกสะกดมาร ดังนั้นจึงมิได้แข้งขาอ่อนเพราะตกใจและหวาดกลัว หากแต่เป็นกังวลถึงจิ๋งจิ่ว
สีหน้าพระสนมหูยิ่งขาวซีด หากนางไม่ใช้แขนเสื้อห่อหุ้มมือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเอาไว้ เกรงว่าไข่ของนกจูเชวี่ยใบนั้นคงจะลื่นตกลงไปบนพื้นแล้ว
ในเวลานี้ นางทำได้เพียงมองฮ่องเต้ ด้วยคิดอยากจะได้ความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาบ้าง
ฮ่องเต้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเองก็เพิ่งจะเคยเห็นร่างของชางหลงเป็นครั้งแรก”
ถูกต้อง คุกสะกดมารอยู่ในใต้ดินด้านล่างวัดไท่ฉาง
และคุกสะกดมารก็คือมังกรชางหลง สัตว์เทพประจำสำนักจงโจว!
มารและปีศาจที่ถูกราชวงศ์ตระกูลจิ่งและสำนักฝ่ายธรรมะจับมาล้วนแต่ถูกขังเอาไว้ในร่างกายอันใหญ่ยักษ์ของมัน!
ในช่วงเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา คุกสะกดมารฝังตัวอยู่ใต้ดินมาโดยตลอด แต่วันนี้กลับเผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของมังกรชางหลง!
……
……
ชางหลงเป็นสัตว์เทพประจำสำนักจงโจว อายุขัยยืนยาว สภาวะน่ากลัวเป็นยิ่งนัก บรรลุขั้นมหายานมาเป็นเวลานานแล้ว หรือก็คือขั้นทะลวงสวรรค์ของชิงซาน
ในเวลานี้มันคืนร่างจากคุกสะกดมารเป็นร่างเดิม สภาวะและพลังแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ความเร็วยากจะจินตนาการได้
ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ หัวมังกรสีดำก็มาถึงบนท้องฟ้า และในเวลานี้ร่างกายของมันยังคงมุดขึ้นมาจากใต้ดินไม่หยุด พอจะจินตนาการออกเลยว่าร่างกายของมันยาวแค่ไหนกันแน่
หนวดมังกรสีดำสะบัดพลิ้วไหวไปมาไม่หยุด ฉีกกระชากอากาศ เกิดเป็นประกายสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน
ภายในดวงตาอันเย็นยะเยือกของมันสะท้อนภาพจุดสีดำเล็กๆ ที่อยู่สูงขึ้นมา รังสีความโหดร้ายและเกรี้ยวกราดคละคลุ้ง
ฟ้าดินเกิดการตอบสนอง เมฆดำม้วนตัวอย่างรุนแรง จู่ๆ พลันมีพายุฝนโหมกระหน่ำ ทั่วทั้งเมืองเจาเกอถูกฝนชะจนเปียกชื้น
บนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปมีข่ายพลังของเมืองเจาเกอ คล้ายม่านพลังที่ไร้รูปลักษณ์ รอคอยอย่างเงียบๆ
……
……
คนที่หนีออกมาจากคุกสะกดมารย่อมต้องเป็นจิ๋งจิ่ว
เขารับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ไล่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทางด้านหลัง เขามิได้เหลียวหน้ากลับไปมอง สองมือแนบชิดลำตัว ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
คำตอบที่เขาให้ชางหลงเลือกได้ออกมาแล้ว ชางหลงเลือกที่จะไล่ฆ่าตัวเขา แทนที่จะไปจัดการกับจักรพรรดิแห่งหมิง
สำหรับคำตอบที่ออกมานี้เขามิได้รู้สึกแปลกใจ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ามังกรโลภที่ดุร้ายและโง่เขลาตัวนี้จะทำการตัดสินใจออกมาได้ในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้
เสียงคำรามด้วยความโกรดเกรี้ยวของมังกรชางหลงดังมาจากด้านล่าง สะท้อนไปทั่วทั้งแผ่นฟ้าราวเสียงฟ้าคำราม ขณะเดียวกันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัวของจิ๋งจิ่ว
“คิดจะใช้จักรพรรดิแห่งหมิงมาดึงความสนใจของข้า จากนั้นฉวยโอกาสหนีออกมา…เจ้าคิดว่าข้าโง่อย่างนั้นหรือ! มันอยู่ในท้องของข้า ข้าไม่ให้มันออกมา มันก็ไม่มีทางออกมาได้ แล้วทำไมข้าต้องกังวลเรื่องมันด้วย?”
จิ๋งจิ่วถึงได้รู้สาเหตุ ในใจครุ่นคิดว่ายังคงเป็นเจ้ามังกรที่ดุร้ายและโง่เขลาตัวนั้น จากนั้นจึงตอบกลับไปในหัวว่า “ข้าออกมาแล้ว”
เสียงของมังกรชางหลงดังขึ้นในหัวเขาอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดุร้าย
“เจ้ามนุษย์หน้าโง่ ข้าจงใจปล่อยเจ้าออกมาต่างหาก ประเดี๋ยวข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นหมื่นๆ ชิ้น! ไม่สิ ยังไม่พอ! ข้าจำกระบี่ที่น่าเกลียดและน่ารำคาญเล่มนั้นของเจ้าได้ ข้าจะฆ่าเจ้า กลืนกินเจ้า จากนั้นข้าจะฆ่าทุกคนที่เจ้าเป็นห่วง! ทุกคน!”
ชายชราที่ไล่สังหารจิ๋งจิ่วในคุกสะกดมารคือร่างที่ก่อรูปขึ้นมาจากดวงจิตของชางหลง แม้นจะร้ายกาจ แต่เนื่องจากอยู่ภายในร่างกายของชางหลง จึงมีพลังหลายๆ อย่างที่ไม่สามารถใช้ได้ มันจึงรับมือกับวิชากระบี่เซียนแห่งยมโลกของจิ๋งจิ่วได้ค่อนข้างลำบาก ดังนั้นมันจึงแสร้งทำเป็นลังเล ปล่อยให้จิ๋งจิ่วได้มีโอกาสหนีออกมาจากคุกสะกดมาร จากนั้นกลับคืนสู่ร่างเดิมและเริ่มไล่สังหารจิ๋งจิ่ว
ตัวมันในเวลานี้หากจะสังหารจิ๋งจิ่ว ใช้เวลาแค่เพียงพริบตาเท่านั้น
บทสนทนาเหล่านี้ก็ใช้เวลาแค่เพียงพริบตาเช่นเดียวกัน
การสนทนาผ่านทางจิตสำนึกมีความรวดเร็วกว่าการสนทนาปกติธรรมดาไม่รู้กี่เท่า
มีเพียงยอดฝีมือขั้นทะลวงสวรรค์และสัตว์เทพที่มีสภาวะเท่าเทียมกันเท่านั้นถึงจะใช้วิธีการสื่อสารแบบนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ดังนั้นกิเลนและมังกรชางหลงและเหล่าสัตว์เทพผู้พิทักษ์ของสำนักชิงซานจึงไม่เปิดปากพูด มิใช่พูดไม่ได้ หากแต่ไม่ยอมพูด ยกเว้นก็แต่อินเฟิ่งตัวนั้น
ก็เหมือนกับคนที่ขี่กระบี่บินไปมาได้ ยังจะมีใครยอมกลับไปเดินอย่างเชื่องช้าอีก? ยกเว้นก็แต่จิ๋งจิ่ว
หลังสนทนาผ่านทางจิตในชั่วพริบตา ชางหลงก็ไล่ตามมาถึงด้านล่าง
จิ๋งจิ่วเหลือบมองลงไปด้านล่าง
ชางหลงเปิดปาก คล้ายกับโพรงสีดำที่ใหญ่มหึมา เขี้ยวมังกรอันแหลมคมและน่าหวาดกลัวพร้อมที่จะขย้ำเขาเป็นชิ้นๆ ทุกเมื่อ
เขี้ยวมังกรเหล่านี้ไม่เหมือนกับเขี้ยวมังกรที่กัดเขาในคุกสะกดมาร เขี้ยวมังกรที่ถูกเขาทำลายนั้นเป็นรูปจำแลงจากดวงจิตของชางหลง หาใช่ร่างที่แท้จริงไม่
เมื่อเผชิญหน้ากับเขี้ยวมังกรจริงๆ เขาไม่มีทางเอาร่างกายตัวเองไปทดลองดูแน่ว่าจะแข็งแค่ไหน
ข่ายพลังของเมืองเจาเกออยู่ในท้องฟ้าเบื้องหน้า ปรากฏขึ้นมาลางๆ
ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
ชางหลงอยู่ด้านหลัง ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เช่นกัน
เบื้องหน้าคือม่านพลัง เบื้องหลังคือเทพสังหาร จิ่งจิ่วจะทำอย่างไร?
ในดวงตาของชางหลงเต็มไปด้วยความดุร้ายและเกรี้ยวกราด รอคอยให้จิ๋งจิ่วถูกข่ายพลังเมืองเจาเกอขวางเอาไว้ จากนั้นก็ถูกตัวเองขย้ำจนตาย
ยังคงเป็นเวลาเพียงพริบตา
แสงสว่างบางๆ ของข่ายพลังปรากฏขึ้นตรงหน้าจิ๋งจิ่ว
เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้เหนือไปจากความคาดคิดของมังกรชางหลง
ข่ายพลังของเมืองเจาเกอไม่มีผลใดๆ กับจิ๋งจิ่ว
จิ๋งจิ่วทะลุผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย บินขึ้นไปยังดินแดนความว่างเปล่าที่อยู่สูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว!
แต่ชางหลงกลับกระแทกเข้าไปม่านพลังที่โปร่งแสงนั้น
เสียงตู้มดังสนั่น
ภายในท้องฟ้ามีรอยแตกปรากฏขึ้นมาเป็นจำนวนมาก