ภาคที่ 4 ตอนที่ 60 ชางหลงปรากฏตัว

มรรคาสู่สวรรค์

สายตาของเยวี่ยเชียนเหมินมองไปในท้องฟ้า สีหน้าดูตกตะลึงเล็กน้อย

หากนั่นมิใช่กระบี่บินหรือว่าอาวุธวิเศษ เช่นนั้นมันคืออะไร?

เหตุใดเจ้าสิ่งนั้นถึงบินได้เร็วขนาดนี้ เรียกได้ว่าเร็วกว่าตนเองด้วยซ้ำ

ถึงแม้วิชาหลบหนีฟ้าดินของเขาจะยังฝึกไม่ถึงขั้นสูงสุด แต่เขาก็คือเป็นผู้อาวุโสขั้นสูญตาที่สภาวะอยู่ในสิบอันดับแรกของสำนักจงโจว

ในตอนที่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ เขากำลังเตรียมที่จะเรียกอาวุธวิเศษออกมาไล่ตาม ใครจะไปรู้บ้างว่าจู่ๆ พื้นดินพลันสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง เกิดรอยแตกสิบกว่ารอย น้ำจำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน กลายเป็นภาพอันน่ามหัศจรรย์ แต่ไม่ทันไรก็ถูกลมพายุอันคลุ้มคลั่งที่พุ่งขึ้นมาจากใต้ดินพัดจนน้ำเหล่านั้นกลายเป็นพายุฝน ตกลงมาบนวัดไท่ฉาง

ชายหลังจากสีดำของวัดไท่ฉางถูกฝนชะจนเปียก สีดำที่ว่ายิ่งส่องประกาย

พลังสายนั้นยิ่งพัดยิ่งรุนแรง ป่าไม้ที่อยู่รอบๆ ล้มระเนระนาด ฝุ่นควันฟุ้งกระจาย

เสียงแตกจำนวนนับไม่ถ้วนดังสนั่น วัดไท่ฉางทั้งวัดยกตัวขึ้นมาจากใต้ดิน หน้าต่างและเสาคานแตกหักร่วงตกลงมาที่พื้น

ลมโหมกระหน่ำ ทุกคนรวมไปถึงราชองครักษ์ทั้งสองคนและเยวี่ยเชียนเหมินต่างถูกกระแทกจนกระเด็นลอยออกไป

เจ้าหน้าที่กรมชิงเทียนและกองทัพเสินเว่ยเหล่านั้นยิ่งน่าสงสาร ต่างคนต่างร่วงตกลงไปบนพื้นถนน มีบางคนสลบลงไป คนที่ได้สติอยู่ต่างก็มีใบหน้าขาวซีด ตกใจเป็นอย่างยิ่ง

ฝุ่นควันที่คละคลุ้มถูกพายุฝนชะจนกลายเป็นโคลน ตกลงมาดังเผละๆ มุมหลังคาวัดไท่ฉางปรากฏตะคุ่มๆ

บริเวณโดยรอบมืดมิดยิ่งนัก คล้ายกลับไปสู่ช่วงเวลากลางคืนอีกครั้ง

ภายในท้องฟ้ามีสายฟ้าฟาดลงมา ผ่าลงมาตรงมุมหลังคาพอดี ประกายสายฟ้าแลบแปลบปลาบ

มุมหลังคาที่เปียกฝนพลันขยับขึ้นมา!

มีโลกที่มืดมิดอีกใบส่องสว่างขึ้นมา นั่นคือดวงตาใหญ่ยักษ์ดวงหนึ่ง สายตาเย็นชาและดุร้าย

……

……

“ชางหลง!”

“ชางหลงปรากฎตัวแล้ว!”

วัดไท่ฉางกลายเป็นซากปรักหักพัง

ภายในฝุ่นควันมีมังกรสีดำขนาดมหึมาและน่ากลัวตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมา

เมื่อเห็นภาพนี้ เจ้าหน้าที่กรมชิงเทียนและกองทัพเสินเว่ยหลายๆ คนที่ยังตื่นอยู่ต่างตกใจจนเป็นลมสลบไป แล้วก็มีหลายคนที่ตกใจจนส่งเสียงกรีดร้องออกมา

คนในเมืองเจาเกอจำนวนมากต่างรู้ถึงคำบรรยายนี้ —- มุมหลังคาสีดำของวัดไท่ฉางที่เปียกฝนดูคล้ายเขาของมังกร

ที่แท้นี่มิใช่การบรรยาย หากแต่เป็นความทรงจำอันแสนยาวนานที่แอบซ่อนอยู่ในโลกมนุษย์!

มุมหลังคาของวัดไท่ฉางก็คือเขาของมังกรชางหลง!

ชางหลงแหวกพื้นออกมา ร่างมังกรสีดำขนาดใหญ่ยกตัวขึ้นมาจากใต้ดินไม่หยุด มองดูใกล้ๆ แล้วคล้ายกับกำแพงสีดำที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง เกล็ดบนลำตัวส่องประกายสีดำ

บริเวณโดยรอบซากปรักหักพังเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงตะโกนร่ำไห้

ภายในวังเองก็มีเสียงอุทานตกใจดังขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

ลู่กั๋วกงยังไม่ทันกลับมาถึงตำหนักหลัก เมื่อได้ยินเสียงอุทานตกใจก็รู้ว่าแย่แล้ว จึงหมุนตัวกลับไปมองยังวัดไท่ฉาง ก่อนจะมองเห็นมังกรสีดำที่บินขึ้นไปบนท้องฟ้าตัวนั้น

เขาก้นกระแทกลงไปกับพื้น ใบหน้าขาวซีด กล่าวพึมพำว่า “คุกสะกดมารปรากฏตัวแล้ว…”

ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลวัดไท่ฉาง เขาย่อมต้องรู้ความลับของคุกสะกดมาร ดังนั้นจึงมิได้แข้งขาอ่อนเพราะตกใจและหวาดกลัว หากแต่เป็นกังวลถึงจิ๋งจิ่ว

สีหน้าพระสนมหูยิ่งขาวซีด หากนางไม่ใช้แขนเสื้อห่อหุ้มมือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเอาไว้ เกรงว่าไข่ของนกจูเชวี่ยใบนั้นคงจะลื่นตกลงไปบนพื้นแล้ว

ในเวลานี้ นางทำได้เพียงมองฮ่องเต้ ด้วยคิดอยากจะได้ความรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาบ้าง

ฮ่องเต้กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเองก็เพิ่งจะเคยเห็นร่างของชางหลงเป็นครั้งแรก”

ถูกต้อง คุกสะกดมารอยู่ในใต้ดินด้านล่างวัดไท่ฉาง

และคุกสะกดมารก็คือมังกรชางหลง สัตว์เทพประจำสำนักจงโจว!

มารและปีศาจที่ถูกราชวงศ์ตระกูลจิ่งและสำนักฝ่ายธรรมะจับมาล้วนแต่ถูกขังเอาไว้ในร่างกายอันใหญ่ยักษ์ของมัน!

ในช่วงเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา คุกสะกดมารฝังตัวอยู่ใต้ดินมาโดยตลอด แต่วันนี้กลับเผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของมังกรชางหลง!

……

……

ชางหลงเป็นสัตว์เทพประจำสำนักจงโจว อายุขัยยืนยาว สภาวะน่ากลัวเป็นยิ่งนัก บรรลุขั้นมหายานมาเป็นเวลานานแล้ว หรือก็คือขั้นทะลวงสวรรค์ของชิงซาน

ในเวลานี้มันคืนร่างจากคุกสะกดมารเป็นร่างเดิม สภาวะและพลังแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ความเร็วยากจะจินตนาการได้

ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ หัวมังกรสีดำก็มาถึงบนท้องฟ้า และในเวลานี้ร่างกายของมันยังคงมุดขึ้นมาจากใต้ดินไม่หยุด พอจะจินตนาการออกเลยว่าร่างกายของมันยาวแค่ไหนกันแน่

หนวดมังกรสีดำสะบัดพลิ้วไหวไปมาไม่หยุด ฉีกกระชากอากาศ เกิดเป็นประกายสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วน

ภายในดวงตาอันเย็นยะเยือกของมันสะท้อนภาพจุดสีดำเล็กๆ ที่อยู่สูงขึ้นมา รังสีความโหดร้ายและเกรี้ยวกราดคละคลุ้ง

ฟ้าดินเกิดการตอบสนอง เมฆดำม้วนตัวอย่างรุนแรง จู่ๆ พลันมีพายุฝนโหมกระหน่ำ ทั่วทั้งเมืองเจาเกอถูกฝนชะจนเปียกชื้น

บนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปมีข่ายพลังของเมืองเจาเกอ คล้ายม่านพลังที่ไร้รูปลักษณ์ รอคอยอย่างเงียบๆ

……

……

คนที่หนีออกมาจากคุกสะกดมารย่อมต้องเป็นจิ๋งจิ่ว

เขารับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ไล่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทางด้านหลัง เขามิได้เหลียวหน้ากลับไปมอง สองมือแนบชิดลำตัว ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

คำตอบที่เขาให้ชางหลงเลือกได้ออกมาแล้ว ชางหลงเลือกที่จะไล่ฆ่าตัวเขา แทนที่จะไปจัดการกับจักรพรรดิแห่งหมิง

สำหรับคำตอบที่ออกมานี้เขามิได้รู้สึกแปลกใจ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ามังกรโลภที่ดุร้ายและโง่เขลาตัวนี้จะทำการตัดสินใจออกมาได้ในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้

เสียงคำรามด้วยความโกรดเกรี้ยวของมังกรชางหลงดังมาจากด้านล่าง สะท้อนไปทั่วทั้งแผ่นฟ้าราวเสียงฟ้าคำราม ขณะเดียวกันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาในหัวของจิ๋งจิ่ว

“คิดจะใช้จักรพรรดิแห่งหมิงมาดึงความสนใจของข้า จากนั้นฉวยโอกาสหนีออกมา…เจ้าคิดว่าข้าโง่อย่างนั้นหรือ! มันอยู่ในท้องของข้า ข้าไม่ให้มันออกมา มันก็ไม่มีทางออกมาได้ แล้วทำไมข้าต้องกังวลเรื่องมันด้วย?”

จิ๋งจิ่วถึงได้รู้สาเหตุ ในใจครุ่นคิดว่ายังคงเป็นเจ้ามังกรที่ดุร้ายและโง่เขลาตัวนั้น จากนั้นจึงตอบกลับไปในหัวว่า “ข้าออกมาแล้ว”

เสียงของมังกรชางหลงดังขึ้นในหัวเขาอีกครั้ง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความดุร้าย

“เจ้ามนุษย์หน้าโง่ ข้าจงใจปล่อยเจ้าออกมาต่างหาก ประเดี๋ยวข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นหมื่นๆ ชิ้น! ไม่สิ ยังไม่พอ! ข้าจำกระบี่ที่น่าเกลียดและน่ารำคาญเล่มนั้นของเจ้าได้ ข้าจะฆ่าเจ้า กลืนกินเจ้า จากนั้นข้าจะฆ่าทุกคนที่เจ้าเป็นห่วง! ทุกคน!”

ชายชราที่ไล่สังหารจิ๋งจิ่วในคุกสะกดมารคือร่างที่ก่อรูปขึ้นมาจากดวงจิตของชางหลง แม้นจะร้ายกาจ แต่เนื่องจากอยู่ภายในร่างกายของชางหลง จึงมีพลังหลายๆ อย่างที่ไม่สามารถใช้ได้ มันจึงรับมือกับวิชากระบี่เซียนแห่งยมโลกของจิ๋งจิ่วได้ค่อนข้างลำบาก ดังนั้นมันจึงแสร้งทำเป็นลังเล ปล่อยให้จิ๋งจิ่วได้มีโอกาสหนีออกมาจากคุกสะกดมาร จากนั้นกลับคืนสู่ร่างเดิมและเริ่มไล่สังหารจิ๋งจิ่ว

ตัวมันในเวลานี้หากจะสังหารจิ๋งจิ่ว ใช้เวลาแค่เพียงพริบตาเท่านั้น

บทสนทนาเหล่านี้ก็ใช้เวลาแค่เพียงพริบตาเช่นเดียวกัน

การสนทนาผ่านทางจิตสำนึกมีความรวดเร็วกว่าการสนทนาปกติธรรมดาไม่รู้กี่เท่า

มีเพียงยอดฝีมือขั้นทะลวงสวรรค์และสัตว์เทพที่มีสภาวะเท่าเทียมกันเท่านั้นถึงจะใช้วิธีการสื่อสารแบบนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ

ดังนั้นกิเลนและมังกรชางหลงและเหล่าสัตว์เทพผู้พิทักษ์ของสำนักชิงซานจึงไม่เปิดปากพูด มิใช่พูดไม่ได้ หากแต่ไม่ยอมพูด ยกเว้นก็แต่อินเฟิ่งตัวนั้น

ก็เหมือนกับคนที่ขี่กระบี่บินไปมาได้ ยังจะมีใครยอมกลับไปเดินอย่างเชื่องช้าอีก? ยกเว้นก็แต่จิ๋งจิ่ว

หลังสนทนาผ่านทางจิตในชั่วพริบตา ชางหลงก็ไล่ตามมาถึงด้านล่าง

จิ๋งจิ่วเหลือบมองลงไปด้านล่าง

ชางหลงเปิดปาก คล้ายกับโพรงสีดำที่ใหญ่มหึมา เขี้ยวมังกรอันแหลมคมและน่าหวาดกลัวพร้อมที่จะขย้ำเขาเป็นชิ้นๆ ทุกเมื่อ

เขี้ยวมังกรเหล่านี้ไม่เหมือนกับเขี้ยวมังกรที่กัดเขาในคุกสะกดมาร เขี้ยวมังกรที่ถูกเขาทำลายนั้นเป็นรูปจำแลงจากดวงจิตของชางหลง หาใช่ร่างที่แท้จริงไม่

เมื่อเผชิญหน้ากับเขี้ยวมังกรจริงๆ เขาไม่มีทางเอาร่างกายตัวเองไปทดลองดูแน่ว่าจะแข็งแค่ไหน

ข่ายพลังของเมืองเจาเกออยู่ในท้องฟ้าเบื้องหน้า ปรากฏขึ้นมาลางๆ

ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

ชางหลงอยู่ด้านหลัง ขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เช่นกัน

เบื้องหน้าคือม่านพลัง เบื้องหลังคือเทพสังหาร จิ่งจิ่วจะทำอย่างไร?

ในดวงตาของชางหลงเต็มไปด้วยความดุร้ายและเกรี้ยวกราด รอคอยให้จิ๋งจิ่วถูกข่ายพลังเมืองเจาเกอขวางเอาไว้ จากนั้นก็ถูกตัวเองขย้ำจนตาย

ยังคงเป็นเวลาเพียงพริบตา

แสงสว่างบางๆ ของข่ายพลังปรากฏขึ้นตรงหน้าจิ๋งจิ่ว

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้เหนือไปจากความคาดคิดของมังกรชางหลง

ข่ายพลังของเมืองเจาเกอไม่มีผลใดๆ กับจิ๋งจิ่ว

จิ๋งจิ่วทะลุผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย บินขึ้นไปยังดินแดนความว่างเปล่าที่อยู่สูงขึ้นไปอย่างรวดเร็ว!

แต่ชางหลงกลับกระแทกเข้าไปม่านพลังที่โปร่งแสงนั้น

เสียงตู้มดังสนั่น

ภายในท้องฟ้ามีรอยแตกปรากฏขึ้นมาเป็นจำนวนมาก