เป็นอีกครั้งที่พวกเขาบังเอิญเจอเหรินฉีหนิงที่โรงเตี๊ยมแห่งเดียวกัน เยี่ยหลีมิได้ตกใจสักเท่าไรนัก เพียงแต่นั่นก็ได้พิสูจน์อย่างหนึ่งว่า คุณชายเหรินผู้นี้มิได้ไม่มีพิษไม่มีภัยเช่นรูปลักษณ์ภายนอกของเขา เกรงว่าตระกูลที่อยู่เบื้องหลังเขาก็คงไม่ธรรมดาเช่นกัน
แต่เพียงเท่านี้ กลับไม่เพียงพอให้ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเห็นเขาอยู่ในสายตา หากจะพูดอย่างไม่เกรงใจสักหน่อย ตระกูลทั้งหลายในโลกนี้ นอกจากราชวงศ์แห่งแคว้นแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติพอให้ม่อซิวเหยาเห็นเขาอยู่ในสายตาอีก ดังนั้นเมื่อได้พบเหรินฉีหนิงที่นี่อีกครั้ง ท่าทีของม่อซิวเหยาจึงยังคงเรียบเย็นและห่างเหินเช่นเดิม
กับท่าทีของเขาเช่นนี้ คุณชายเหรินเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาจริงๆ แล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตเขามักอยู่เหนือผู้อื่นมาโดยตลอด ยิ่งภาพลักษณ์ของเขาที่ดูเป็นกันเองและสุภาพ จึงทำให้ผู้คนให้ความใกล้ชิดและไว้เนื้อเชื้อใจโดยไม่รู้ตัว ไฉนเลยจะคิดว่ามีคนที่หัวแข็งเช่นนี้อยู่
หากไม่เป็นการเสียมารยาทจนเกินไป เหรินฉีหนิงคงคิดอยากถามม่อซิวเหยาว่า ตนเคยไปล่วงเกินเขาที่ตรงใดหรือไม่
“คุณชายเยี่ย พวกท่านก็มาร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพเช่นกันหรือ” เหรินฉีหนิงประหนึ่งไม่เห็นท่าทีเฉยชาของม่อซิวเหยา เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงใสขึ้น
เสียงของเขาไม่เบานัก ดังนั้นเมื่อเขาพูดเช่นนี้ออกไป สายตาของผู้คนกว่าครึ่งบนชั้นสองจึงหันมารวมกันที่ม่อซิวเหยาเป็นตาเดียว ในสายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความระแวดระวังและไม่เป็นมิตร แต่ถึงอย่างไร ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฐานะและวิทยายุทธของม่อซิวเหยา แค่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่หล่อเหลาของเขาก็เพียงพอให้บุรุษโดยมากรู้สึกเป็นอริกับเขาแล้ว
ม่อซิวเหยาเหลือบตาขึ้นมอง ประหนึ่งไม่สังเกตเห็นสายตาไม่เป็นมิตรที่มองมาเหล่านั้น เขายิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “พวกเราบังเอิญผ่านมาทางนี้ ภรรยาของข้าคิดอยากไปร่วมชมความสนุกด้วยก็เท่านั้น เพียงแต่…ด้วยฐานะของคุณชายเหริน ควรพักอยู่ในบ้านพักที่ตระกูลมู่หรงจัดให้ถึงจะถูก เหตุใดถึงมายังโรงเตี๊ยมนี้ได้เล่า”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สายตาไม่เป็นมิตรจากรอบด้านก็มลายหายไปเป็นปลิดทิ้งทันที จะไม่เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ข้างกายคุณชายรูปงามผู้นี้ ยังมีสตรีที่ทั้งสง่าและงดงามอยู่ข้างๆ อีกทั้งคน ถึงแม้จะมิได้ร่ำรวยเท่าตระกูลมู่หรง แต่แม่นางผู้นี้ก็งดงามและอ่อนหวานมากทีเดียว ทั้งยังดูมีบารมีโดดเด่น แค่เพียงมองก็รู้แล้วว่าจะต้องเป็นสตรีงดงามจากตระกูลบัณฑิตอย่างแน่นอน
คุณหนูของตระกูลมู่หรง หากว่าเรื่องรูปลักษณ์และความสง่างามแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะเหนือกว่าแม่นางผู้นี้สักเท่าใด ไม่แน่ว่าคุณชายผู้นี้จะชอบสาวงาม ไม่ชอบเงินทองก็เป็นได้ ส่วนคุณชายที่อยู่ในชุดผ้าไหมสีน้ำเงินนั้น ก็มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเช่นกัน แค่เพียงดูก็รู้ว่ามีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เขายังมิได้แต่งงาน!
ดวงตาเหรินฉีหนิงเป็นประกายวาววับ ยิ้มเอ่ยว่า “พี่เยี่ยล้อเล่นแล้ว ข้าน้อยมีฐานะเช่นไรกันถึงจะได้เข้าพักที่บ้านพักตระกูลมู่หรงอย่างนั้นหรือ ข้าก็เช่นเดียวกับพี่เยี่ย เพียงแค่มาชมความสนุกเท่านั้น ไม่รู้ว่าสะดวกให้ข้าน้อยนั่งร่วมโต๊ะด้วยหรือไม่”
ม่อซิวเหยามิได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เหรินฉีหนิงจึงถือว่านั่นเป็นการตอบรับ และทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามทั้งสอง
ระหว่างที่กำลังจิบชา ม่อซิวเหยาไม่ยินดีที่จะพูดคุยกับเหรินฉีหนิง บรรยากาศบนโต๊ะจึงเป็นไปอย่างเย็นเยียบ
เยี่ยหลียกถ้วยชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง เอ่ยเรื่อยๆ ขึ้นว่า “งานชุมนุมใหญ่ของยุทธภพครานี้ดูจะประหลาดอยู่สักหน่อย มิได้ว่ากันว่า การชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพ ยอดฝีมือครั้งก่อนจะเป็นคนกำหนดสถานที่หรอกหรือ หรือว่าครานี้ยอดฝีมือทั้งหลายเลือกจะมาประลองยุทธกันที่ตระกูลมู่หรง”
โดยทั่วไปบรรดายอดฝีมือจะเลือกภูเขาอันห่างไกลที่มีชื่อเสียงด้านวิวทิวทัศน์เป็นสถานที่ประลอง ว่ากันว่า ครั้งที่ยอดเยี่ยมที่สุด มีคนเลือกที่จะขึ้นไปประลองยุทธกันบนยอดเขาหิมะแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของซีหลิง และครั้งนั้นก็ถือเป็นครั้งที่มีจำนวนคนเข้าร่วมน้อยที่สุดอีกด้วย ด้วยเพราะมีหลายคนที่ปีนขึ้นไปบนยอดเขาหิมะไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ
เหรินฉีหนิงยิ้ม “ฮูหยินรู้หรือไม่ว่าผู้ที่อยู่ในสี่อันดับยอดฝีมือแห่งใต้หล้ามีผู้ใดบ้าง”
เยี่ยหลีพยักหน้า “เคยได้ยินอยู่บ้าง”
เหรินฉีหนิงยิ้ม “จะว่าไปสี่ท่านนี้มิใช่ยอดฝีมือที่ชนะในการประลองคราที่แล้ว แต่เป็นยอดฝีมือของงานชุมนุมคราก่อนก่อน อันที่จริงงามชุมนุมใหญ่คราก่อนเรียกได้ว่าจัดไม่สำเร็จก็ว่าได้”
เยี่ยหลีเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดถึงกล่าวเช่นนี้”
เหรินฉีหนิงเอ่ยว่า “ในงามชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพคราที่แล้ว ติ้งอ๋องด้วยเพราะบาดเจ็บจึงมิได้เข้าร่วม เจ้าสำนักหลิงแห่งสำนักเยี่ยนอ๋อง ด้วยเพราะติ้งอ๋องไม่มาร่วมงาน จึงมิได้ไปเข้าร่วมเช่นกัน เจิ้นหนานอ๋องแห่งซีหลิงก็ยุ่งอยู่กับกิจการงานของแคว้น ยอดฝีมือที่มาร่วมงานคราก่อน จึงมีเพียงมู่ฉิงชังผู้เดียวเท่านั้น เพียงแต่ คนที่ไปขอท้าประลองกลับไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะหรือต่อสู้เสมอกับมู่ฉิงชังได้เลย เดิมทีงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพที่ควรจัดสามวัน จึงเสร็จเรียบร้อยเพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น”
เยี่ยหลีเหลือบมองหน้าม่อซิวเหยาทีหนึ่ง โดยไม่ทันมีผู้ใดเห็น ก่อนยิ้มเอ่ยว่า “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
เหรินฉีหนิงถอนใจเอ่ยว่า “ก็ใช่น่ะสิ หากลองนับดูดีๆ อันดับยอดฝีมือในยุทธภพไม่มีการเปลี่ยนแปลงมาถึงสิบแปดปีแล้ว ย่อมมียอดฝีมือรุ่นหลังจำนวนมากที่อดไม่ไหวอยากแสดงฝีมือเต็มที่”
“เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับตระกูลมู่หรงหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้วเอ่ยถาม ตระกูลมู่หรงเป็นตระกูลพ่อค้า มิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ เลยกับคนในยุทธภพ
เหรินฉีหนิงอมยิ้มเอ่ยว่า “ฮูหยินอาจยังไม่รู้ ตระกูลมู่หรงนี้ว่ากันว่ามียอดฝีมือลึกลับอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าเมื่อห้าสิบปีก่อน นามมู่หรงสยง”
เยี่ยหลีแสดงท่าทีไม่เคยรู้มาก่อนออกมาให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง แม้แต่เรื่องยอดฝีมือแห่งยุคในปัจจุบันนางยังรู้จักไม่มากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยอดฝีมืออันดับหนึ่งเมื่อห้าสิบปีก่อน
เห็นได้ชัดว่า ม่อซิวเหยาพอรู้จักและสนใจในคนผู้นี้อยู่พอสมควร “มู่หรงสยงยังมีชีวิตอยู่?”
แววตาเหรินฉีหนิงมีประกายคิดหนัก มองม่อซิวเหยาแล้วเอ่ยว่า “ข่าวลือเป็นเช่นนั้น แต่ยังไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นเขามาก่อน การชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพครานี้ เรียกรวมพลโดยใช้ชื่อของมู่หรงสยง ความว่าปีนี้เส้นทางจอมยุทธในยุทธภพช่างเงียบเหงา ผู้อาวุโสรุ่นก่อนของมู่หรงอยากพบยอดฝีมือแห่งใต้หล้ารุ่นหลัง ไม่แน่ว่ายังต้องการรับคนเป็นศิษย์อีกด้วย อีกอย่างด้านหนึ่งก็…” เหรินฉีหนิงยิ้มกว้างมองทั้งสองคน “ทายาทคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลมู่หรง คุณหนูรองมู่หรง อายุเพิ่งได้สิบเจ็ดปี ว่ากันว่าท่านผู้อาวุโสมู่หรงคิดอยากคัดเลือกลูกเขยที่ไว้ใจได้ให้กับทายาทของตระกูลตนอีกด้วย”
“คุณชายเหรินช่างข่าวสารว่องไวนัก” เมื่อม่อซิวเหยาได้ฟังข่าวที่ตนอยากรู้จบ ท่าทางก็กลับไปเฉยชาดังเช่นก่อนหน้านี้ทันที
เหรินฉีหนิงก็รู้ว่าตนเองพูดมากเกินไปเสียแล้ว จึงเพียงยิ้มเรียบๆ มิได้เอ่ยอันใดอีก
“พวกเขามากันได้อย่างไร” เยี่ยหลีเหลือบมองลงไปตรงถนนด้านล่าง เห็นคนกลุ่มหนึ่งก็ขมวดคิ้วขึ้น
ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นมองลงไปด้านล่าง หลายคนในกลุ่มนั้นล้วนเป็นคนที่พวกเขาคุ้นเคย ม่อจิ่งหลี เหลยเถิงเฟิง และที่สำคัญกว่านั้น ถึงขั้นมีสวีชิงเฉินรวมอยู่ในนั้นด้วย
เหรินฉีหนิงเพียงแค่มองปราดเดียว ก็เห็นคนเหล่านั้นที่โดดเด่นออกมาจากฝูงชนทันที เลิกคิ้วเอ่ยว่า “ฮูหยินรู้จักหรือ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ก็ไม่ถึงกับรู้จัก เพียงเคยมีวาสนาได้พบหน้าคุณชายชิงเฉินไม่กี่ครั้งเท่านั้น กับเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อ เคยพบที่หนานจ้าว คุณชายเหรินไม่รู้จักหรือ”
คนเหล่านี้แน่นอนว่าเป็นบุรุษหนุ่มชั้นแนวหน้ายุคปัจจุบันของใต้หล้า หากผู้ใดไม่รู้จักก็คงจะเสแสร้งเกินไป
เหรินฉีหนิงยิ้มเอ่ยว่า “ข้าน้อยก็เคยได้พบเหลยซื่อจือกับหลีอ๋องอยู่หลายครา ส่วนคุณชายชิงเฉินข้าเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก ช่างเป็นบุคคลที่มีสง่าราศียิ่งนัก ก็ไม่แปลกที่จะสังเกตเห็นพวกเขาแม้จะนั่งอยู่ที่นี่ ท่านๆ เหล่านี้ล้วนไปร่วมงานอภิเษกสมรสและงานราชาภิเษกที่หนานจ้าวมา เชื่อว่าคงตรงมาร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพนี่เลย เพียงแต่…ติ้งอ๋องกับชายาติ้งอ๋องล่วงหน้ากลับซีเป่ยไปก่อนแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาด้วยหรือไม่ หากติ้งอ๋องมาด้วย งานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพปีนี้จะต้องคึกคักมากเป็นแน่”
“คุณชายชิงเฉินมิใช่คนที่ฝึกวรยุทธ” เยี่ยหลีเอ่ย
เหรินฉีหนิงยิ้ม “ครานี้มิใช้งานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพตามปกติ ด้วยชื่อเสียงของคุณชายชิงเฉิน ต่อให้ไม่มีกำลังแม้จะจับไก่ แต่ก็มีภาษีดีกว่ายอดฝีมือทั่วไปมากนัก เพียงแต่…ไม่แน่ว่าคุณชายชิงเฉินจะถูกใจคุณหนูตระกูลมู่หรง”
ในใจเยี่ยหลีนึกเห็นด้วยกับสิ่งที่เหรินฉีหนิงพูด ไม่ต้องพูดถึงสวีชิงเฉิน เกรงว่าท่านลุงใหญ่กับท่านป้าสะใภ้ใหญ่ก็คงไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ถึงแม้ตระกูลสวีจะมิได้เป็นตระกูลที่มีสายตาสูงส่ง เพียงแต่ความแตกต่างระหว่างตระกูลพ่อค้ากับตระกูลบัณฑิต เกรงว่าคงจะสำคัญกว่าความต่างระหว่างความยากจนกับร่ำรวยมากนัก ต่อให้ตระกูลสวีแต่งงานกับแม่นางตระกูลบัณฑิตที่ถูกกดขี่ข่มเหงไม่มีอำนาจ ก็ไม่มีทางยินดีที่จะแต่งคุณหนูที่เป็นพ่อค้าเข้ามาอย่างแน่นอน หากตระกูลพ่อค้านี้ เป็นตระกูลที่ใจบุญทำกุศลก็ว่าไปอย่าง แต่ตระกูลมู่หรงที่ร่ำรวยประหนึ่งแคว้นตระกูลนี้ เรียกได้ร่ำรวยมหาศาลจากการผูกขาดการค้ากว่าครึ่งภายในซีหลิงเอาไว้ จึงยิ่งไม่เข้าตาตระกูลสวีเข้าไปใหญ่ ดังนั้นถึงได้กล่าวกันว่า ตระกูลสวีเลือกสะใภ้นั้น เข้มงวดเสียการที่ฮ่องเต้ทรงคัดเลือกพระสนมเสียอีก ฮ่องเต้ต้องการความร่ำรวย หญิงสาวตระกูลพ่อค้าจึงสามารถเข้าวังไปเป็นพระสนมได้ แต่ตระกูลสวีมิได้ต้องการ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องรับหญิงสาวที่เป็นพ่อค้าเข้ามาเป็นสะใภ้ ถึงแม้นางจะนึกร้อนใจเรื่องการแต่งงานของพี่ใหญ่มาโดยตลอด แต่ครานี้เยี่ยหลีกลับมิได้มีความหวังใดๆ อยู่ในหัวเลยจริงๆ
กลางดึก สวีชิงเฉินนั่งจิบชาอยู่คนเดียวภายในห้องพักในโรงเตี๊ยม ถึงแม้เขาเองก็ได้รับเทียบเชิญจากตระกูลมู่หรงเช่นกัน แต่สวีชิงเฉินมิได้เข้าพักในบ้านพักที่ตระกูลมู่หรงจัดไว้ให้เช่นเดียวกับม่อจิ่งหลีและเหลยเถิงเฟิง แต่กลับหาโรงเตี๊ยมที่ไม่เลวนักแห่งหนึ่งในเมืองอันพักอยู่แทน
มีเสียงความเคลื่อนไหวเบาๆ เกิดขึ้นที่หน้าต่าง สวีชิงฉฺนหันไปมองทางหน้าต่าง อมยิ้มเอ่ยว่า “พวกเจ้าอยู่กันที่นี่จริงๆ หรือ”
เยี่ยหลีและม่อซิวเหยายืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองท่าทางของสวีชิงเฉินที่กำลังรอการมาหาถึงที่ของพวกเขา เยี่ยหลียิ้มเอ่ยว่า “หลายวันนี้ลำบากพี่ใหญ่แล้ว”
สวีชิงเฉินจิบชาไปเรื่อยๆ เอ่ยเรียบๆ ว่า “หลีเอ๋อร์ยังรู้ว่าพี่ลำบาก ยามออกเดินทางมากับท่านอ๋องดูจะมีความสุขมากนะ”
เยี่ยหลีมองสวีชิงเฉินอย่างรู้สึกผิด ไม่มีอันใดจะเอื้อนเอ่ย
ม่อซิวเหยามีหรือจะยอมให้ภรรยาแสนรักเสียใจ ดึงเยี่ยหลีเดินเข้าห้องไปนั่งลงตรงข้ามสวีชิงเฉิน เอ่ยว่า “เรื่องที่หนานจ้าวก็มิได้ลำบากอันใดท่าน อีกอย่างหากพวกเราอยู่ เกรงว่าท่านจะยิ่งจัดการอันใดได้ไม่สะดวกกระมัง”
สวีชิงเฉินยิ้มน้อยๆ ยกกาน้ำชาขึ้นรินชาให้เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาคนละถ้วย
ในใจเยี่ยหลีลอบเบาใจ นี่พี่ใหญ่คนมิได้โกรธเคืองอันใดแล้ว