ตอนที่ 245-2 ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า

ชายาเคียงหทัย

สวีชิงเฉินเอ่ยกับม่อซิวเหยาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “จะว่าไปไม่ว่าท่านอ๋องไปที่ใด ก็มักมีเรื่องเข้ามาหาถึงที่เสมอ นี่มิได้จะไปท่องเที่ยวตามภูเขาลำน้ำกันหรอกหรือ เหตุใดถึงท่องเที่ยวมาถึงงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพได้ อีกอย่าง…งานนี้ดูเหมือนจะเป็นงานชุมนุมใหญ่เพื่อคัดเลือกคู่ครองให้คุณหนูตระกูลมู่หรงอีกด้วย ท่านพาหลีเอ๋อร์มาด้วยจะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ”

ม่อซิวเหยากัดฟัน ในใจนึกโกรธจนอยากอัดฝ่ามือให้สวีชิงเฉินให้ตายไปเสีย ไม่ยุยงให้แตกหักกันเจ้าจะตายหรือ แต่เยี่ยหลีก็กำลังมองอยู่ ดังนั้นเขาจึงจำต้องยิ้มตามมารยาท มองสวีชิงเฉินด้วยสายตาเป็นมิตรสนิทสนม “พี่ชิงเฉินคิดมากเกินไปแล้ว ข้ากับอาหลีเป็นเพียงคู่สามีภรรยาธรรมดาคู่หนึ่งที่มาร่วมชมความสนุกด้วยก็เท่านั้น แต่พี่ชิงเฉินนี่สิ ได้ยินว่าคุณหนูมู่หรงรูปลักษณ์ไม่ธรรมดา พี่ชิงเฉินก็อายุอานามไม่น้อยแล้ว ควรคิดถึงเรื่องบั้นปลายชีวิตให้ดีได้แล้ว เพราะถึงอย่างไรเมื่ออายุมากขึ้น…ก็จะทำให้คนนึกรังเกียจเอาได้ ที่สำคัญที่สุดคือ…คุณหนูมู่หรงผู้นี้คงมีสินเดิมจำนวนมหาศาล พี่ชิงเฉินแต่งงานกับนาง ก็ถือว่าเป็นการทำเพื่อการค้าของซีเป่ยของพวกเรา?”

สวีชิงเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่งสบายๆ ว่า “ดูเหมือนข้าน้อยจะได้ยินข่าวว่า ข้าน้อยไม่พึงพอใจในสตรี เกรงว่าคงทำให้ท่านอ๋องผิดหวังแล้ว”

เยี่ยหลีถึงกับจนใจ สองคนนี้ยามได้พูดกันทีไรก็ไม่อาจอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ทุกทีไป นางควรรู้สึกโชคดีหรือไม่ ที่พี่ใหญ่ไม่มีวรยุทธ และม่อซิวเหยาก็มีนิสัยไม่ทำร้ายผู้ที่ไม่มีวรยุทธ มิเช่นนั้นทั้งสองคนคงมิได้เพียงพูดจาเหน็บแนมกันไปมาเช่นนี้ เกรงว่าเพียงพบหน้าก็คงคิดอยากวาดฝีไม้ลายมือการต่อสู้เข้าใส่กันแทนเสียมากกว่า

“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านถึงมาร่วมสนุกอยู่ที่นี่ได้หรือ” เยี่ยหลีเอ่ยเปลี่ยนเรื่องด้วยสีหน้าเรียบเฉย

สวีชิงเฉินเอ่ยเรียบๆ พร้อมมองนางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “หลีอ๋องกับเจิ้นหนานอ๋องซื่อจื่อพากันเชื้อเชิญอย่างมีอัธยาศัยไมตรี จนข้ามิอาจบอกปัด จึงย่อมต้องเดินทางมาด้วย”

เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ ในดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ คุณชายชิงเฉินมีเรื่องที่บอกปัดไม่ได้อย่างนั้นหรือ หากเขาไม่ยินดี อย่าว่าแต่จะมีอัธยาศัยอีกสักสิบเท่าเลย เขาก็สามารถผลักคนผู้นั้นให้ถอยห่างออกไปไกลแสนไกลได้เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น

“พี่ใหญ่ งานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพครานี้มีปัญหาอันใดหรือ” เยี่ยหลีขมวดคิ้วถาม

สวีชิงเฉินมองม่อซิวเหยา “ท่านอ๋องรู้เรื่องอันใดเกี่ยวกับยอดฝีมือลึกลับแห่งตระกูลมู่หรงท่านนั้นบ้าง”

ม่อซิวเหยานิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไม่ถือว่าลึกลับอันใด มู่หรงสยงเป็นคนเดียวในตระกูลมู่หรงที่มิได้ทำการค้า แต่เป็นคนที่ฝึกวิทยายุทธ ว่ากันว่าเขาไม่ชื่นชอบเรื่องการค้าขายมาตั้งแต่เล็กๆ ดังนั้นจึงไม่ได้รับความสำคัญจากตระกูลมู่หรง จนเมื่ออายุสิบแปดปีก็เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในยุทธภพ เมื่อปีที่เขาอายุได้ยี่สิบปี ศิษย์ผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียงขจรกระจายไปไกลในยุทธภพของสำนักลี่ว์หลินมาหาเรื่องตระกูลมู่หรง ราชวงศ์ซีหลิงก็มีความคิดอยากอาศัยช่วงนี้จัดการพวกเขา แต่มู่หรงสยงเพียงคนเดียว ใช้เวลาหนึ่งคืนก็สามารถใช้เลือดล้างตระกูลคนที่มาหาเรื่องนั้นได้โดยไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว ด้วยเพราะความโหดเหี้ยมของเขา จึงทำให้ชื่อเสียงในยุทธภพของเขาไม่ค่อยดีนัก ทั้งยังมีคนของผู้มีอิทธิพลจากหลายฝ่ายมาท้าทายเขาถึงตระกูลมู่ แต่ก็ถูกมู่หรงสยงจัดการจนราบคาบไปทั้งหมด เมื่อมู่หรงสยงอายุได้สามสิบปี ก็แย่งชิงตำแหน่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าไปได้ กดศัตรูทุกคนไว้ ต่อมาอีกสามสมัยก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรกับเขาได้ จนเมื่องานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพสมัยที่สี่ เกิดมาหายตัวไป จากนั้นคนในยุทธภพก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นเขาอีกเลย คนจำนวนมากต่างพากันว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว แต่กระนั้นคนที่ภายหลังไปหาเรื่องตระกูลมู่หรงก็ต้องตายอย่างอนาถเช่นเดิม สองคนในนั้นมียอดฝีมืออันดับหนึ่งรุ่นต่อจากมู่หรงสยงรวมอยู่ด้วย ดังนั้น…หลายปีมานี้ จึงมีคนในยุทธภพน้อยนักที่ไปหาเรื่องตระกูลมู่หรง เช่นนี้? ครานี้เป็นมู่หรงสยงจริงๆ หรือ”

สวีชิงเฉินพยักหน้า หยิบเทียบเชิญสีทองเปล่งประกายออกมาวางลงตงหน้าทั้งสอง ตรงชื่อผู้ส่งเขียนไว้ว่า มู่หรงสยง

ม่อซิวเหยาหยิบเทียบเชิญขึ้นดูอยู่ครู่ใหญ่ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “มู่หรงสยงปัจจุบันเป็นท่านอาของประมุขตระกูลมู่หรงคนปัจจุบัน นับดูแล้วอย่างน้อยก็น่าจะอายุได้แปดสิบปีแล้ว ยามนี้แล้วเขาถึงได้กระโดดออกมา คิดทำสิ่งใดกันแน่”

“ผู้ใดเลยจะรู้ บางทีอาจเหมือนที่ทุกคนคาดเดา คิดอยากหาเขยที่เหมาะสมให้กับคุณหนูมู่หรง เพื่อไม่ให้ตระกูลมู่หรงไม่มีทายาทสืบทอด?” สวีชิงเฉินมิได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าไร หากมิใช่เพราะม่อจิ่งหลีกับเหลยเถิงเฟิงต่างพากันมุ่งหน้ามาที่นี่ ว่ากันว่า แม้แต่ที่เมืองหลวงของต้าฉู่ก็ตื่นเต้นกับเรื่องนี้ มิเช่นนั้นแล้ว สวีชิงเฉินคงไม่เดินทางมาอย่างแน่นอน

ถึงแม้ตระกูลสวีกับตำหนักติ้งอ๋องจะไม่สนใจทรัพย์สมบัติของตระกูลมู่หรง แต่ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลเช่นนั้น หากให้คนที่ไม่ควรได้รับได้ไป เรื่องวุ่นวายก็คงเกิดขึ้นไม่น้อย

ม่อซิวเหยาส่งเสียงเหอะเย็นๆ ทีเหนึ่ง มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มเยาะหยัน “ให้ผู้มีฝีมือทั่วทั้งใต้หล้ามาให้เขาเลือกเอาตามใจ? มู่หรงสยงก็ดูจะเห็นตระกูลมู่หรงของตนสำคัญเกินไปแล้ว”

สวีชิงเฉินยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “แต่ก็มีคนจำนวนมากแห่แหนกันมาน่าดูเลยนะ”

สำหรับตระกูลสวีแล้ว การกระทำที่คิดว่าตนเองสำคัญเช่นนี้ ก็ถือเป็นการกระทำของคนชั้นเลว ย่อมไม่คิดจะเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาอยู่แล้ว

ม่อซิวเหยาพยักหน้า เอ่ยกับสวีชิงเฉินด้วยความจริงใจว่า “เช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ เรื่องทางนี้ก็ขอรบกวนพี่ใหญ่ด้วย”

สวีชิงเฉินพูดไม่ออก ในที่สุดเขาก็มองออกแล้วว่า ม่อซิวเหยายามมีเรื่องอยากขอร้องให้เขาทำ เขาก็จะเรียกตนว่าพี่ใหญ่ หากไม่มีเรื่องอันใดก็จะเรียกว่าสวีชิงเฉิน คุณชายชิงเฉิน หรือคุณชายใหญ่ตระกูลสวี

“ท่านไม่คิดจะเข้าร่วมหรือ” สวีชิงเฉินเอ่ยถาม

ม่อซิวเหยายิ้ม “หากเป็นการชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพธรรมดๆ ไม่แน่ว่าอาจจะไปประมือกับหลิงเถี่ยหานสักหน่อย เรื่องเช่นนี้ข้าเดาว่าหลิงเถี่ยหานเองก็คงไม่เข้าร่วมเช่นกัน ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนแล้วกระมัง เมื่อถึงวันนั้นข้ากับอาหลีเพียงไปร่วมชมความสนุกด้วยก็พอแล้ว ดังนั้นเรื่องทั้งหลายหมดท่านทำตามที่เห็นสมควรก็แล้วกัน เมื่อมีพี่ใหญ่เป็นคนจัดการ ข้าจะยังไม่วางใจอีกหรือ”

หากคุณชายใหญ่ตระกูลสวีคิดอยากทำเรื่องใดจริงๆ แล้ว ย่อมต้องรอบคอบจนทำให้มิอาจติติง และตนเองรู้สึกต่ำต้อยได้ ในเมื่อสวีชิงเฉินก็ตามมาถึงที่นี่ด้วยแล้ว ก็หมายความว่าเขาสนใจเรื่องนี้ ซึ่งม่อซิวเหยาก็ย่อมปล่อยมือไม่ยุ่งด้วยความยินดียิ่ง

สวีชิงเฉินเมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาพูดด้วยท่าทีสบายๆ และไม่ฝืนใจเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดก็พยักหน้า ไม่ว่าม่อซิวเหยาจะทำตัวเกียจคร้านและผลักไสภาระหน้าที่เพียงไร อย่างน้อยเขาก็จริงจังและจริงใจกับเยี่ยหลี ทรัพย์สมบัติของตระกูลมู่หรงมิใช่สิ่งที่ผู้ใดจะระงับความลโมภของตนไว้ได้ ต้องรู้ก่อนว่า เงินทองที่เก็บอยู่ในท้องพระคลังของแต่ละแคว้นนั้น ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีจำนวนมากเท่าทรัพย์สมบัติของตระกูลมู่หรง สิ่งใดที่เรียกว่าร่ำรวยเสียยิ่งกว่าแคว้น ตระกูลมู่หรงนี่เองที่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยกว่าแคว้นอย่างแท้จริง การที่ม่อซิวเหยาสามารถปฏิเสธโอกาสได้ครอบครองตระกูลมู่หรงโดยไม่ลังเลเพราะเยี่ยหลีเช่นนี้ แค่เพียงข้อนี้ สวีชิงเฉินก็ยินดีที่จะจัดการเรื่องในครานี้แทนเขาแล้ว

พวกเขาพูดคุยกับสวีชิงเฉินอยู่อีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ม่อซิวเหยาถึงได้พาเยี่ยหลีขอตัวกลับ ก่อนกลับยังได้บอกว่า “พวกเราพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมชิงหยวนในเมืองนี้เอง หากมีเรื่องอันใดให้คนมาหาข้าก็แล้วกัน”

สวีชิงเฉินพยักหน้า ส่งพวกเขากลับไป

ยามนี้ภายในห้องส่วนตัวห้องหนึ่งอันเงียบสงบในโรงเตี๊ยมชิงหยวน เหรินฉีหนิงยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงหน้าต่าง มองภาพด้านนอกอย่างใช้ความคิด นี่เป็นเรือนที่อยู่หลังเดียวโดดๆ เรือนพักเช่นนี้ ในโรงเตี๊ยมชิงหยวนมีอยู่เพียงสามห้องเท่านั้น ซึ่งเป็นเรือนพักที่ดีกว่าและแพงว่าห้องพักที่เป็นตัวอักษรว่าเทียนมากนัก ในขณะที่ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีสามารถเข้าพักได้เพียงห้องที่พักที่เป็นตัวอักษรว่าตี้เท่านั้น แต่เหรินฉีหนิงที่มาทีหลัง กลับสามารถเข้าพักที่เรือนเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

“เจ้าตามพลาดหรือ” เหรินฉีหนิงหันกลับมาถาม มองชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าประตูแล้วเอ่ยถามเสียงขรึมขึ้น สีหน้าเขาไฉนเลยจะยังมีความสุภาพสง่างามหลงเหลืออยู่ ใบหน้าหล่อเหลามีประกายแห่งความโหดเหี้ยมและไม่ได้ดั่งใจ

ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าประตูอดตัวสั่นขึ้นไม่ได้ เอ่ยเสียงสั่นว่า “คุณชายโปรดอภัยด้วย คุณชายเยี่ยท่านนั้นกับฮูหยินมีฝีมือไม่น้อยทีเดียว พวกเราที่มีฝีมือตามไปได้เพียงช่วงหนึ่งก็ตามไม่ทันเสียแล้วขอรับ”

คิ้วเข้มของเหรินฉีหนิงขมวดเข้าหากันแน่น แต่ก็มิได้กล่าวโทษอันใด เพราะถึงอย่างไรชายหนุ่มที่บอกว่าตนเองแซ่เยี่ยนั้น ก็มีวิทยายุทธในระดับที่แม้แต่เขาก็ยังประเมินฝีมือไม่ถูก ลูกน้องเขาจะตามเขาไม่ทันก็เป็นเรื่องธรรมดา “ฐานะของพวกเขาไปสืบมาโดยละเอียดแล้วหรือยัง”

ชายวัยกลางคนหน้าซีดลงทันที “สอนคนนี้ดูเหมือนจะปรากฏตัวขึ้นที่เมืองเล็กๆ แห่งนั้นกะทันหัน ข้าน้อยไร้ความสามารถ สืบไม่พบว่าพวกเขาเดินทางมาจากที่ใด และสืบหาฐานะของพวกเขาไม่พบขอรับ”

“เศษสวะ! ช้าก่อน…พวกเขาแซ่เยี่ย?” เหรินฉีหนิงนิ่งใช้ความคิด

ชายวัยกลางคนเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังว่า “คุณชายคิดอันใดออกหรือขอรับ”

เหรินฉีหนิงเอ่ยเสียงขรึมว่า “ข้าจำได้ว่าพระชายาของติ้งอ๋องก็แซ่เยี่ย…” ในโลกนี้ คนที่อายุเท่านั้น ทั้งยังมีวรยุทธแก่กล้าเช่นนี้ มีอยู่จำนวนไม่มากนัก ดังนั้นเขาจะไม่นึกสงสัยก็คงไม่ได้

ชายวัยกลางคนเอ่ยด้วยความลังเลเล็กน้อยว่า “ติ้งอ๋องผมสีขาวทั้งศีรษะ อีกทั้งรูปลักษณ์ของทั้งสอง ดูเหมือนจะต่างกับภาพติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องที่พวกเราได้รับมาอยู่เล็กน้อย อีกอย่าง ข่าวที่ข้าน้อยได้รับมา ติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องได้เดินทางกลับเมืองหลีไปแล้วจริงๆ นะขอรับ”

นัยน์ตาเหรินฉีหนิงเป็นประกายผิดหวัง บุรุษและสตรีคู่นั้นมิใช่คู่สามีภรรยาติ้งอ๋องจริงๆ หรือ เช่นนั้นในยุทธภพมีคู่สามีภรรยาเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน และที่สำคัญที่สุดคือ เหตุใดถึงต้องปรากฏตัวขึ้นในยามนี้

“ไปสืบดูอีกที ก่อนงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพ จะต้องสืบเรื่องฐานะของพวกเขาให้ละเอียดมาให้จงได้” เหรินฉีหนิงเอ่ย

“ข้าน้อยรับคำสั่งขอรับ”