บทที่ 339 ศิลาโบราณลึกลับ กวาดเรียบ

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 339 ศิลาโบราณลึกลับ กวาดเรียบ

ภายใต้การนำทางของราชาเทพคุน เสิ่นเทียนเข้ามาในหุบเขานี้จึงไม่โดนผู้อาวุโสเผ่าคุนขวางไว้

แต่เสิ่นเทียนรู้สึกได้ชัดเจนว่าเมื่อตนเข้ามาในหุบเขา ระดับความเข้มของพลังวิญญาณรอบตัวเกิดการเปลี่ยนแปลงไป

ระดับความเข้มพลังวิญญาณในหุบเขานี้สูงกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สิบเท่า มองไปสุดสายตาเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต มีพืชแปลกล้ำค่าหายากเกิดขึ้นทุกชนิด

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เกียรติของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เสิ่นเทียนก็อยากจะแอบตัดไปหน่อยเหมือนกัน

แค่กๆ~

สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเขตแดนกฎเกณฑ์ใกล้ๆ หุบเขานี้พิเศษมาก เหมือนจะชัดเจนกว่าเขตแดนกฎเกณฑ์อื่นมาก ราวกับถูกย่อรวมกัน

เขตแดนกฎเกณฑ์ชัดเจนกว่า และตระหนักมรรคยกระดับพลังได้ง่ายกว่า

หากฝึกฝนอยู่ที่นี่ในระยะยาวก็จะสะดวกกว่าที่อื่น ได้ผลดีเป็นเท่าตัว

ผู้อาวุโสระดับหลอมรวมเทพของเผ่าคุนพวกนี้ปิดด่านบำเพ็ญอยู่ที่นี่ จะก้าวหน้าเร็วขึ้นไปอีกขั้น ทะลวงระดับผู้อริยะฝ่าด่านเคราะห์!

“บุตรศักดิ์สิทธิ์ ข้าส่งเจ้าได้เพียงเท่านี้”

ราชาเทพคุนพาเสิ่นเทียนมาถึงรอบในหุบเขา พลังวิญญาณที่นี่กลายเป็นหมอกที่เห็นด้วยตาเนื้อได้แล้ว

สูดลมหายใจเดียวโล่งไปทั้งตัว เหมือนกับได้เสพยา

สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงคือ ตรงหน้าราชาเทพคุนกับเสิ่นเทียนทำสัญลักษณ์เขตแดนสีแดงอาบโลหิตไว้

ราชาเทพคุนเอ่ย “ศิลาหินต้องห้ามมีแรงดึงดูดน่าประหลาดอย่างหนึ่ง หากเข้าใกล้เกินไป อาจจะอดใจไปตระหนักมันไม่ได้ จากนั้นก็ต้องพบเจอกับการเปลี่ยนแปลงอันไม่เป็นมงคล ดังนั้นข้าเลยไปคุ้มกันอยู่ข้างกายบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ หนทางที่เหลือบุตรศักดิ์สิทธิ์ต้องเดินไปเอง”

ราชาเทพคุนพูดพลางนำจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “นี่คือหยกเทพสุญตา บุตรศักดิ์สิทธิ์พกติดตัวไว้ หากเจออันตรายบาดเจ็บสาหัส…แค่กๆ จี้หยกนี้จะระเบิดตัวเองและเคลื่อนย้ายเจ้าออกมา

แน่นอน หากศิลาโบราณต้องห้ามจะหลอมรวมเจ้าเป็นมรรค หยกเทพนี้จะส่งเจ้าออกมาไม่ได้ ดังนั้นบุตรศักดิ์สิทธิ์ตระหนักครั้งนี้ จำไว้ว่าจะต้องระวังตัวไว้ อย่าดำดิ่งลงไปในนั้นเด็ดขาด”

เสิ่นเทียนรับหยกเทพสุญตามาแล้วมองสีหน้าเป็นห่วงของราชาเทพคุน เขามักจะรู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ

แต่ตนเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ก็ไม่ควรจะเกรงกลัวสิ่งใด

เสิ่นเทียนยิ้ม “ราชาเทพคุนวางใจเถอะ แซ่เสิ่นไม่เกรงกลัวสิ่งใด หากตระหนักวิชามหัศจรรย์จากศิลาโบราณต้องห้ามนั่นไม่ได้ เลือดเนื้อเจ็ดฉื่อนี้ฝังอยู่ในศิลานั่นแล้วจะเป็นอะไรไป”

พูดจบ เสิ่นเทียนก็กางปีกทองคำข้างหลังก่อนจะพุ่งออกไป

ตอนนี้เสิ่นเทียนพุ่งขึ้นฟ้าไป มีความเศร้าที่เหมือนไปแล้วไปลับไม่กลับมา!

ตอนนี้คุนหมิงกับคุนอวี้เงียบ มองแผ่นหลังของเสิ่นเทียนที่จากไปเงียบๆ อยู่นาน

เส้นผมฟ้าของคุนอวี้ปลิวไสวตามสายลมเบา “ท่านพ่อ ท่านว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะตระหนักวิชาศิลาโบราณสำเร็จหรือไม่”

คุนหมิงถอนหายใจเบา “เห็นๆ อยู่ว่าฝึกบำเพ็ญปกติก็เป็นผู้แข็งแกร่งสุดยอดของห้าดินแดนได้ เหตุใดเขาต้องเสี่ยงชีวิต คุ้มค่ากันรึ”

ราชาเทพคุนถอนหายใจ “บางทีนี่คงเป็นบุตรแห่งโชคที่แท้จริง! ไม่เคยได้ยินเรื่องศิลาโบราณต้องห้ามก็ช่าง แต่ในเมื่อมีโอกาส ไฉนจะต้องปฏิเสธ”

ส่วนเสิ่นเทียนจะตระหนักวิชาศิลาโบราณสำเร็จหรือไม่นั้น

ราชาเทพคุนไม่กล้าฟันธง แต่ถึงจะล้มเหลว เสิ่นเทียนก็ไม่น่าจะตายกระมัง!

ถึงอย่างไรตั้งแต่อดีตกาลมา โอรสสวรรค์ที่ตระหนักศิลาโบราณต้องห้ามพวกนั้น แม้ปกติจะธาตุไฟเข้าแทรกหรือกายเทพระเบิด แต่ก็มีอัตราการตายเก้าส่วนกว่า

ยังมีแปดคนสิบคนที่สุดท้ายรอดมาได้ อีกทั้งจิตและกายที่รอดมาได้ยังเหมือนผ่านการชะล้างมา

แม้จะตระหนักไม่ได้วิชาไร้พ่ายอะไร แต่พรสวรรค์จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ภายภาคหน้าจะประสบความสำเร็จไม่น้อย

ความจริงราชาเทพคุนก็ไม่ได้คาดหวังว่าเสิ่นเทียนจะตระหนักวิชาศิลาโบราณต้องห้ามและได้เป็น ‘มหาจักรพรรดิเผ่าคุน’ คนที่สองอะไรมากนัก แต่ด้วยพรสวรรค์ ความสามารถและดวงชะตาของเสิ่นเทียน ก็น่าจะหนีออกมาจากศิลาโบราณต้องห้ามได้ไม่ยาก

ถึงตอนนั้นหลังผ่านการขัดเกลาจากศิลาโบราณมาแล้ว ความสำเร็จในอนาคตของเสิ่นเทียนคงจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

และนี่…น่าจะเป็นสาเหตุหลักที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ตอบตกลงให้เสิ่นเทียนตระหนักศิลาโบราณต้องห้ามกระมัง!

คมกระบี่มาจากการลับ กลิ่นหอมของดอกเหมยมาจากความหนาวเหน็บ

ตั้งแต่โบราณมาโอรสสวรรค์สูงสุดและมหาจักรพรรดิที่สุดแห่งยุค มีใครบ้างไม่เคยเสี่ยงตาย โอรสสวรรค์ที่ไม่เคยเสี่ยงตายจะเรียกว่าโอรสสวรรค์ได้รึ

ราชาเทพคุนมองไปทางที่เสิ่นเทียนจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง “หากครั้งนี้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กลับมาได้สำเร็จ ภายภาคหน้าเผ่าเราจะยกย่องเขาเป็นพันธมิตรมนุษย์ จะสนับสนุนให้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พิสูจน์มรรคเป็นจักรพรรดิอย่างเต็มที่”

ต้นขาหนาเช่นนี้ ไม่มีทางให้เผ่ามังกรได้ไปคนเดียวหรอก!

……

เสิ่นเทียนไม่รู้ความคิดในใจของราชาเทพคุน

ตอนนี้เขากระพือปีกเข้ามาถึงเขตใจกลางของหุบเขาแล้ว อีกทั้งยังไม่อาจบินต่อไปได้ เพราะเขารู้สึกถึงแรงดึงดูดรุนแรงขึ้นกลางหุบเขา หากบินต่อไปก็อาจจะเจอปัญหาที่ไม่จำเป็นได้

อีกอย่าง พลังวิญญาณที่นี่รวมเป็นหมอกหนาแน่นมาก แทบจะบดบังทุกอย่าง

ถ้าไม่ใช่เพราะกายมรรคฟ้าประทานของเสิ่นเทียนมีเนตรมรรคที่มองทะลุภาพมายาได้ละก็ ตอนนี้ก็อาจจะเสียการมองเห็น แยกทิศทางไม่ออกแล้ว

“คล้ายกับหมอกวิญญาณของหุบเขาหมอกลับแลนิดหน่อย แต่เหมือนจะตึงมือยิ่งกว่า ศิลาโบราณนี่ไม่ง่ายเลย!”

เสิ่นเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพบศิลาโบราณต้องห้ามนั้นแล้ว

นั่นคือศิลาโบราณทองสัมฤทธิ์สูงสี่สิบเก้าจั้ง ตั้งตระหง่านอยู่กลางสุดของหุบเขา

สารภาพตามตรง ศิลาโบราณหลายสิบจั้งตรงหน้าเสิ่นเทียนไม่ถือว่าใหญ่จริงๆ เขาสำแดงหัตถ์ปฐมกาลทลายเวหาทีเดียวก็หลายร้อยจั้งแล้ว

ทว่าเมื่อยืนอยู่หน้าศิลาโบราณที่มีขนาดสี่สิบเก้าจั้ง เสิ่นเทียนกลับรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับจักรวาลและหลุมดำที่ลึกลับไม่อาจคาดเดา

ก่อนหน้านี้เสิ่นเทียนเคยพบศิลาโบราณอมตะที่มหาจักรพรรดิอมตะฝากไว้บนเกาะมังกรมาก่อน ศิลาโบราณนั้นมีความสูงร้อยจั้ง ทุกส่วนเต็มไปด้วยลายเทพมหามรรคและวิชาบรรพกาลลี้ลับ

ทว่าศิลาโบราณกลับดูเรียบง่าย ด้านบนมีเพียงภาพลักษณะน้ำวนสีดำภาพหนึ่ง แฝงไว้ด้วยแรงดึงดูดไร้ที่สิ้นสุด

เหมือนว่าพลังวิญญาณ สิ่งมีชีวิต จิตสัมผัส จิตวิญญาณทุกอย่างที่สัมผัสกับมันจะถูกกลืนกินเข้าไป อีกทั้งไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ เสิ่นเทียนรู้สึกว่าศิลาโบราณต้องห้ามนี้ให้ความรู้สึกคุกคามต่อเขารุนแรงยิ่งกว่าศิลาโบราณอมตะมาก

เสิ่นเทียนสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่งก่อนจะกางสองมือออกช้าๆ

ทันใดนั้น พลันปรากฏร่างเงาสวมผ้าแพรมังกรขาวขึ้นตรงหน้าเขา

เสิ่นเทียนเผยรอยยิ้มบางๆ “ในตัวข้ามีต้นกำเนิดสามประกายวารีเทพกับอาวุธอริยะสามชิ้น จะเสี่ยงไม่ได้”

เสิ่นเทียนบีที่อยู่ตรงข้ามกันพยักหน้าช้าๆ “ในตัวข้ามีหมอกเบิกฟ้า ไม่รู้ว่าจากนี้จะมีภัยแฝงอะไรหรือไม่ ครั้งนี้ใช้เจ้านี่เป็นเครื่องมือมนุษย์แล้วกัน”

หากตระหนักวิชาสูงสุดจากในศิลาโบราณต้องห้ามได้ นั่นคือกำไรเลือดสาด

ศิลาโบราณต้องห้ามแปลกจริงๆ เสียร่างแยกที่มีหมอกเบิกฟ้าพัวพันอยู่ไป เสิ่นเทียนก็ไม่เสียดาย

ถึงอย่างไรหมอกเบิกฟ้าก็เหมือนกับเป็นกาฝากอยู่ในร่างเสิ่นเทียนบี ดูดแก่นสารแห่งปัญจธาตุไปมากขนาดนั้น กลับใช้งานไม่ได้เลย

อีกทั้งเสิ่นเทียนยังไม่กล้ารับรองว่าจากนี้หมอกเบิกฟ้าจะกำเริบขึ้นมาหรือไม่

มีแต่คนบอกว่าศิลาโบราณต้องห้ามชั่วร้าย กลืนกินพลังงานแปลกได้ทุกชนิด กระทั่งโอรสสวรรค์บางคนยังโดนศิลาโบราณนี้เปลี่ยนเป็นมรรคหลอมรวมไป

และหมอกเบิกฟ้าในตัวเสิ่นเทียนก็กินและดูดซับพลังงานได้ทุกชนิดเช่นกัน แม้แต่ผู้อริยะยังไม่กล้าแตะต้อง

เสิ่นเทียนอยากรู้นักว่าสองสิ่งนี้ปะทะกันแล้ว

ใครจะชนะกันแน่~

…….

เสิ่นเทียนบีเข้าไปใกล้ศิลาโบราณต้องห้ามช้าๆ ร่างจริงเสิ่นเทียนกลับค่อยๆ ขยับออกไปนอกหุบเขา

ขณะที่กำลังดูอยู่นั้น การรักษาระยะห่างปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญมาก ต่อให้ดูตัวเองก็ตามที

ถึงอย่างไรทุกคนก็รู้ว่ายามที่เกิดเคราะห์ภัยขึ้น คนที่ตายมากที่สุดคือคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่

ไปไกลหน่อย ไปไกลอีกหน่อย~

เสิ่นเทียนถอยไปสิบกว่าลี้ จนมาแทบจะไม่เห็นทั้งศิลาโบราณแล้วถึงได้หยุดลง

และตอนนี้เอง เสิ่นเทียนบีที่มีหมอกเบิกฟ้าในกายนั่งขัดสมาธิลงหน้าศิลาโบราณต้องห้ามแล้ว เริ่มศึกษาภาพบนศิลาโบราณ

ขณะเดียวกันตอนนี้เสิ่นเทียนเริ่มตึงเครียดขึ้น หากพบอะไรผิดปกติก็จะตัดจิตออกทันที

ถึงอย่างไรก็อยู่ในโลกบำเพ็ญเซียน ความปลอดภัยต้องมาก่อน!

เสิ่นเทียนบีมองลึกลงไปในศิลาโบราณ มือขวาลูบลวดลายของศิลาโบราณเบาๆ เวลานี้เกิดความรู้สึกชอบจนวางมือไม่ลงนิดๆ

เสิ่นเทียนบีเหมือนรู้สึกว่าภาพน้ำวนบนศิลาโบราณเริ่มหมุนวนช้าๆ แผ่ความลี้ลับไร้ที่สิ้นสุดออกมา

กลางภาพน้ำวนนั้น เขาเหมือนเห็นภาพจักรวาลเกิดดับ เหล่าเทพเทวดาลอยขึ้นลงและเทพมารสูญสิ้น

เขาเห็นน้ำวนมหึมายิ่งทอดข้ามธารดาราไร้พรมแดน ขังเทพมารที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดไว้มากมายก่อนจะกลืนกินและหลอมรวม

มังกรยักษ์ไร้หัว หงส์ปีกขาด พระพุทธอาบเลือด นักพรตเต๋าโดนฟันเอวขาด…

การคงอยู่น่าสะพรึงถูกน้ำวนลากเข้าไปข้างใน ลอยขึ้นลงกลางกระแสคลื่นไร้ที่สิ้นสุด ค่อยๆ กลายเป็นหยดน้ำที่ดูไม่เตะตา หายไป

และตรงกลางน้ำวนมหึมานั้นเป็นดอกบัวสีขาวส่องแสงบริสุทธิ์ ตอนนี้กำลังหุบอยู่

ทั้งดอกบัวแผ่ไอกระบี่กำเนิดฟ้าที่รวดเร็วและดุดันยิ่ง พุ่งขึ้นฟ้าไป

เวลานี้เสิ่นเทียนเหม่อลอยไปนิดๆ เอฟเฟคพิเศษนี่อหังการเกินไปแล้ว!

มักจะรู้สึกว่าศิลาโบราณนี่มีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา!

……

เสิ่นเทียนตระหนักรู้อย่างระมัดระวัง จิตกระบี่ในกายสั่นไหวเบาๆ

เหมือนว่าจะกู่ร้องพร้อมกับศิลาโบราณนี้ ตระหนักวิชาสูงสุดต้องห้ามที่แฝงในภาพวาด

ทันใดนั้น ดอกบัวสีขาวนั้นพลันเปล่งแสงสว่างจ้า ทั้งน้ำวนสีดำถูกย้อมเป็นแสงระยิบระยับ

และแรงดึงดูดไร้รูปนั้นพลันเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยเท่าในพริบตา ทำให้จิตของเสิ่นเทียนแทบจะถูกดูดเข้าไปในทันใด

ใช่ เสิ่นเทียน ไม่ใช่เสิ่นเทียนบี

เสิ่นเทียนที่อยู่ห่างจากศิลาโบราณต้องห้ามสิบกว่าลี้มีแววตาสับสนขึ้นมา จิตพลันเข้าไปในมิติอันลึกลับ

ห่างจากหุบเหวสิ้นหวังไปหลายพันลี้ บนเกาะร้างไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง

เสิ่นเทียนที่สวมเกราะศักดิ์สิทธิ์หุบเหวมังกรกำลังต้มไข่ใบชากินกับเยี่ยฉิงชาง ไข่ใบชาหอมฉุยมีสัมผัสมันนุ่ม ยอดเยี่ยมจนไม่อาจบรรยายได้

หนึ่งคน หนึ่งผี หนึ่งคนชราและเด็กกำลังแย่งกันกินอย่างมีความสุข ทันใดนั้นเสิ่นเทียนก็หยุดนิ่งไป

เขามองเยี่ยฉิงชาง “ระยำ ตาแก่นี่ ไหนท่านว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด…”

ยังไม่ทันพูดจบ ดวงตาของเสิ่นเทียนก็เหม่อลอยไปทีละนิด

เยี่ยฉิงชางก็เหม่อลอยไปเช่นกัน

พระผู้เป็นเจ้าหาที่สิ้นสุดมิได้ นี่เกิดอะไรขึ้น

ไหนว่าไปเกาะโชคลิขิตที่เผ่าคุน เหตุใดถึงถูกชิงตัวไปล่ะ

เยี่ยฉิงชางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้จิตวิญญาณของเสิ่นเทียนถูกลากเข้าไปในอีกมิติต้องห้ามหนึ่ง

หากไม่มีใครดึงไว้ เกรงว่าคงยากจะกลับมาได้

“ระยำ เล่นใหญ่เลยรึ”

เยี่ยฉิงชางรีบยัดไข่ใบชาในมือใส่ปาก ก่อนจะยกซดน้ำแกงเหยือกนั้นหมดในทีเดียว “เกี่ยววิญญาณในระยะหลายพันลี้ได้ นี่มันโลกนรกเบื้องล่างรึ”

ต่อให้เป็นนรกเบื้องล่างก็ไม่มีทางเกี่ยววิญญาณของเจ้าหนูนี่ไปต่อหน้าข้าเฉยๆ ได้หรอก!

บัดซบ น้ำของโลกมนุษย์นี่ลึกเท่าใดกันแน่!

เยี่ยฉิงชางมุมปากกระตุกเล็กน้อย ใช้สองมือประสานมุทราอย่างรวดเร็ววางค่ายกลเคลื่อนย้าย “คิดจะเกี่ยววิญญาณของหลานบุญธรรมข้า ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น!”

ร่างหลัก รีบมาช่วยเรียกวิญญาณเร็ว!

……..

ห่างไปล้านล้านลี้ แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์

ผู้ฝึกบำเพ็ญจำนวนมากถูกหอคอยเทพสงครามเตะออก กลิ้งไปกับพื้นเหมือนเกี๊ยว

วินาทีต่อมา หอคอยเทพสงครามสูงพันจั้งก็ลอยขึ้น กระแทกมวลอากาศแตกเป็นรูยักษ์ก่อนจะพุ่งเข้าไป

เมื่อเห็นหอคอยเทพสงครามที่หายไปตรงหน้า ผู้ฝึกบำเพ็ญที่เดินทางมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พวกนั้นต่างงุนงง

เดินทางมาหลายเดือน กว่าจะมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้ชมหอคอยเทพสงครามไม่ใช่ง่ายๆ

เหตุใดเพิ่งมาถึง จุดท่องเที่ยวก็ลอยขึ้นไปอีกแล้ว

หืม เหตุใดถึงพูดว่า ‘อีกแล้ว’ ล่ะ

……………………..….