บทที่ 340 จักรพรรดินีปรากฏตัวอีกครั้ง คัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้า

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 340 จักรพรรดินีปรากฏตัวอีกครั้ง คัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้า

หอคอยเทพสงครามพันจั้งที่เต็มไปด้วยรอยร้าวฝืนทะลวงข้ามมิติ

เยี่ยฉิงชางควบคุมหอคอยเทพสงครามระยะทางไกลล้านล้านลี้อย่างสุดกำลัง ครู่เดียวก็ข้ามผ่านมาได้

แน่นอน ต้องเสียพลังวิญญาณไปกับตรงนี้มหาศาล

เยี่ยฉิงชางตัดสินใจแล้วว่าช่วยเจ้าหนูเสิ่นเทียนกลับมาเมื่อไรจะต้องขูดรีดเขาสักที ให้เจ้าหนูนี่ชดใช้ความเสียหายของเขาทั้งหมด

เปรี้ยง~

หอคอยเทพสงครามพันจั้งมาลงบนเกาะร้างนั้นอย่างแรง เยี่ยฉิงชางลอยขึ้นบนยอดหอคอย

สายตาเขาปานสายฟ้า จ้องร่างของเสิ่นเทียนเขม็ง

“จิตวิญญาณถูกลากไปอีกมิติอย่างสมบูรณ์ ทั้งยังใช้ร่างแยกเป็นสื่อนำ ดึงวิญญาณของร่างหลักไปพร้อมกัน”

เยี่ยฉิงชางมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ข้าประเมินศิลาโบราณต้องห้ามนั่นต่ำไป แต่ถ้าคิดจะแตะต้องหลานบุญธรรมของข้า มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น!”

หอคอยเทพสงครามระเบิดแสงเทพหมื่นจั้งก่อนหลอมรวมเข้าไปในกายเยี่ยฉิงชาง

ทันใดนั้น ร่างของเยี่ยฉิงชางดูสมจริงขึ้นมาก ระดับความแกร่งของกลิ่นอายพลังยังพุ่งขึ้นสูง

หากตอนนี้มีผู้อริยะระดับฝ่าด่านเคราะห์อยู่ที่นี่ เกรงว่าคงต้องหวาดกลัวจนตัวสั่นเพราะพลังที่แผ่มาจากตัวเยี่ยฉิงชาง

เพราะว่านั่น ไม่ใช่พลังของโลกนี้!

“เปิดให้ข้า!”

สองมือประสานมุทรามากมายด้วยความเร็วที่ตาเนื้อยากจะมองทัน มีประตูส่องแสงบานหนึ่งลอยขึ้นตรงหน้าเยี่ยฉิงชาง บนนั้นเต็มไปด้วยอักขระมหามรรคลึกลับ

ไอม่วงบนผิวกายเยี่ยฉิงชางลุกโชตช่วง ทำให้ร่างผอมแห้งในตอนแรกพลันปูดไปด้วยกล้ามเนื้อ ดูกำยำมาก

“สามสิบหกค้อนสวรรค์ร้าง…ค้อนตะวันเดือด!”

เยี่ยฉิงชางกำสองมือ ไอม่วงไร้ที่สิ้นสุดพลันกลายเป็นค้อนยักษ์หลายร้อยจั้งในมือเขา

“ครั้งนี้ขาดทุนเข้าเนื้อแล้ว ทุบค้อนนี้อย่างน้อยต้องมีแปดแสนผลึกวิญญาณ! เทียนเอ๋อร์หนอเทียนเอ๋อร์ จากนี้ต้องพึ่งเจ้าเลี้ยงดูข้าในยามชราแล้ว”

เยี่ยฉิงชางพูดบ่น แต่ไม่เคยหยุดมือเลย

ค้อนยักษ์หลายร้อยจั้งนั้นมีไฟสีม่วงอมแดงลุกโชน เหมือนกับดวงตะวันม่วงพุ่งเข้าชนประตูบานนั้นอย่างยิ่งใหญ่

บึ้ม~

ประตูสั่นไหวอย่างรุนแรง มวลอากาศโดยรอบแตกกระจายเป็นผุยผง หวนคืนสู่มวลอากาศ ทว่าประตูนี้ก็ยังไม่เปิดออก เหมือนคงอยู่มาแต่โบราณ ไม่ว่าจะพลังภายนอกใดก็ไม่อาจสั่นคลอนได้

เยี่ยฉิงชางเบิกตาโต “กับอีแค่โลกเบื้องล่าง ยังมีอะไรบ้าๆ เช่นนี้ด้วยรึ ช่างเถอะ ค้อนเดียวทุบไม่แตก ข้าก็จะทุบอีกหลายๆ ที ไม่เชื่อหรอกว่าข้าเยี่ยฉิงชางจะทำลายประตูโลกเบื้องล่างไม่ได้!”

แปดแสน! แปดแสน! แปดแสน!

เยี่ยฉิงชางเป่าเคราเบิกตาโต แขนขาคนชราขยับเข้าออกควงค้อนทุบประตู ทุบจนมวลอากาศรอบๆ เกาะรกร้างพังทลาย

นี่เป็นเพราะเยี่ยฉิงชางคุมพลังได้ในระดับสูงสุดด้วย มีเพียงคลื่นพลังเล็กๆ ที่กระจายออกไป ไม่เช่นนั้นในระยะพันลี้ได้กลายเป็นแดนมรณะไปแล้ว

ไม่รู้ว่าทุบไปกี่ค้อน แม้แต่แสงม่วงรอบหอคอยเทพสงครามยังอ่อนแสงลงไปมาก

ในที่สุดประตูใหญ่ส่องแสงนั่นก็เปิดออกช้าๆ

ได้แล้ว!

เยี่ยฉิงชางบิดเอว มือชูค้อนใหญ่สีม่วงพลางเดินเข้าไปในประตูใหญ่บานนั้น “ปีศาจใด ส่งเจ้าหนูนั่นคืนมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะรื้อ…”

เยี่ยฉิงชางพุ่งเข้าประตูมา คำพูดวางอำนาจใหญ่โตก็ดังขึ้นในประตู

สามวินาทีต่อมา ตรงกลางประตูนั้นพลันเปล่งประกายเซียนแพรวพราว ฟ้าดินพลันถอดสี

ร่างสะบักสะบอมร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางประตู หน้ามอมแมมเส้นผมกระเซอะกระเซิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงและตื่นกลัว

“พระผู้เป็นเจ้าหาที่สิ้นสุดมิได้ หรือว่าจะเป็นนาง เมื่อครู่ข้าประมือกับนางผ่านมิติรึ นี่ถ้าแพร่งพรายไปถึงโลกเซียน ข้าคงคุยโม้ได้ไปอีกหลายหมื่นปีเลย! แต่ว่านางจะลักพาตัวเทียนเอ๋อร์ไปเพื่ออะไรกัน นี่จัดการยากแล้ว”

……

ในมิติแห่งหนึ่ง เสิ่นเทียนลืมตาขึ้นช้าๆ

เขาพบว่าตนมาปรากฏในมิติแห่งหนึ่ง มองไปสุดสายตาไม่มีใครเลย

นี่เป็นมิติเบิกฟ้า มองไปมีแต่สีเทาและขาวไร้พรมแดน เหมือนว่าฟ้าดินยังไม่ถือกำเนิด

หมอกเบิกฟ้าสีเทาและขาวพวกนั้นหมุนวนช้าๆ เหมือนฐานหินกลมดึกดำบรรพ์มหึมา ดูดกลืนพลังงานทุกอย่างรอบตัว

แต่มันไม่ได้แค่กลืนกินพลังงาน เสิ่นเทียนยังมองผ่านหมอกเบิกฟ้าไร้ที่สิ้นสุดนั้นไปเห็นเขตแดนใจกลางฐานหินกลมนั้นรางๆ ว่ามีสีประกายเซียนเจ็ดสีกำลังกำเนิดขึ้น

ถ้าบอกว่าหมอกเบิกฟ้าเต็มไปด้วยการกัดกร่อน กินทุกอย่างได้ เช่นนั้นประกายเซียนเจ็ดสีนี้ก็ดูเป็นมงคลอย่างยิ่ง สามารถสร้างได้ทุกสรรพสิ่ง

ประกายเซียนอยู่ตรงเขตใจกลางฐานหินกลม เหมือนกำลังให้กำเนิดโลกใหม่ ให้กำเนิดเสี้ยวชีวิตขึ้นมาลับๆ

เป็นเจ้านี่รึที่ดูดข้าเข้ามาในมิตินี้ผ่านสองร่างแยกนั้น

เสิ่นเทียนมุมปากกระตุกนิดๆ เขายังจำได้ว่าตาแก่บ้าเยี่ยฉิงชางรับรองกับตนไว้อย่างไร

อย่างเช่น ‘มีปู่บุญธรรมเจ้าอยู่ โลกนี้ไม่มีใครทำอะไรเจ้าได้’

หรือไม่ก็ ‘ขอแค่ร่างจริงเจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าแค่ใช้มือเดียวก็ปกป้องเจ้าได้ทุกทาง’

ตอนนี้ละ!

ท่านคงได้ปกป้องอย่างเหงาๆ แล้ว!

ทันใดนั้น เสิ่นเทียนก็เพ่งสายตามองไป

เพราะเขาเห็นว่าประกายเซียนกลางฐานหินกลมยักษ์นั้นเกิดคลื่นกระเพื่อมช้าๆ

ร่างมายาหนึ่งกำเนิดขึ้นกลางประกายเซียนเจ็ดสี ร่างสวมชุดคลุมขาวอยู่โดดเดี่ยว ร่างเหมือนจริงและเหมือนมายา ตั้งขวางยุคโบราณ

นางหันหลังให้เสิ่นเทียน เส้นผมดำพาดไว้ข้างหลังอย่างเป็นธรรมชาติ สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวหิมะ

ทั่วร่างมายานั้นถูกคลุมด้วยไอเซียนเบิกฟ้า ร่างเรียวยาวยืนนิ่ง เหมือนตั้งแต่อดีตกาลมาก็เป็นเช่นนี้ ทันทีที่นางปรากฏตัวขึ้น แม้แต่ประกายเซียนเจ็ดสียังหายไป กลายเป็นฉากหลัง

ร่างเงาที่คุ้นตานี้…

เสิ่นเทียนตึงเครียดขึ้นมานิดๆ เพราะเขาเคยพบสตรีคนนี้มาก่อน!

นางคือจักรพรรดินีที่สุดแห่งยุคท่านนั้นที่ถ่ายทอด ‘เคล็ดกระบี่เซียนเหินฟ้า’ ให้เสิ่นเทียนจากแหวนทองสัมฤทธิ์ในตอนแรก

ต่อให้เป็นเสิ่นเทียนในตอนนี้ ‘เคล็ดกระบี่เซียนเหินฟ้า’ ก็ยังเป็นไม้ตายที่แกร่งที่สุดของเขา กระทั่งไม่มีใครทัดเทียมได้!

เสิ่นเทียนไม่นึกเลยว่าจะเจอนางอีกครั้งในขณะที่ตระหนักศิลาโบราณต้องห้าม

แต่ในเมื่อเป็นสหายเก่า…คนรู้จักเก่า ก็น่าจะรักษาชีวิตน้อยๆ ไว้ได้

เสิ่นเทียนโล่งอก

…..

ทันใดนั้น ร่างมายานั้นหมุนตัวกลับมา เสิ่นเทียนเหมือนรู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งส่องสะท้อนบนตัวตน

ตอนนี้ เสิ่นเทียนรู้สึกว่าตนเหมือนจะถูกมองทะลุไปทั้งตัว

ระยำ เอาอีกแล้วรึ

ดวงตาของจักรพรรดินีคนนี้ฉายแสงเอกซเรย์อีกแล้วรึ

มาจ้องคนอื่นเขาเช่นนี้ มันน่าอายนะ!

เสิ่นเทียนสงสัยหนักมากว่าเจ้านี่คิดจะมองทะลุตนแล้วไม่รับผิดชอบ!

อีกทั้งตอนนี้ ยังอยากดูอีกเป็นครั้งที่สอง!

เสิ่นเทียนบ่นพึมพำเสียงเบา “ดูอีกแล้ว ดูพอรึยัง”

เสิ่นเทียนบ่นเบามาก ถึงอย่างไรตอนนี้ก็อยู่ในถิ่นอีกฝ่าย อีกทั้งเขาไม่อยากให้ร่างมายานี้ตอบตนด้วย เพราะมองทีแรกก็รู้ว่านางเย็นชาและสูงส่งมาก

สำหรับนางแล้ว เสิ่นเทียนในตอนนี้คงอ่อนแอราวกับมดปลวก มังกรยักษ์จะตอบคำถามของมดปลวกได้อย่างไร!

ทว่าเสิ่นเทียนไม่คาดคิดเลยว่าครั้งนี้ร่างมายาจักรพรรดินีคนนั้นจะเอ่ยขึ้นเนิบนาบ “กาลเวลาเนิ่นนานกลายเป็นความว่างเปล่า ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว”

เอ่อ… กาลเวลาเนิ่นนานกลายเป็นความว่างเปล่า ในที่สุดข้าก็กลับมาแล้ว?

เสิ่นเทียนตัวสั่นไหวเบาๆ แอบยิ้มอยู่ในใจ หรือว่าข้าจะเป็นคนใหญ่คนโตกลับชาติมาเกิดกัน

จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุคท่านนี้ หรือว่าจะเป็นหญิงชู้ของข้าในภพก่อน จากนี้ก็เท่ากับว่าข้าไม่ต้องสู้กับนางใช่หรือไม่

เสิ่นเทียนมีความสุขอยู่ในใจ!

ทันใดนั้น ก็เห็นประกายแสงสีดำสายหนึ่งลอยมาจากอกเสื้อเขา

นั่นคือแหวนวงหนึ่ง หลอมขึ้นจากทองสัมฤทธิ์เก่าแก่ มองไปดูธรรมดามาก

ทว่าร่างมายานั้นกลับถือแหวนวงนี้ไว้ในมือและลูบเบาๆ เหมือนกับลูบสมบัติล้ำค่าที่สุด

เสิ่นเทียนมุมปากกระตุกเบาๆ ดังนั้น ‘ในที่สุดเจ้าก็กลับมา’ ของเจ้านี่ ไม่ได้หมายถึงข้า แต่เป็นแหวนทองสัมฤทธิ์วงนี้รึ

คิดเอาเองฝ่ายเดียวไปแล้ว~

ดังนั้นแหวนวงนี้จึงสำคัญกับนางมากอย่างนั้นรึ

แต่ถ้าจักรพรรดินีคนนี้จะเอาแหวนคืน ไฉนไม่รีบบอก

นางมีศักยภาพแข็งแกร่งเช่นนี้ เจ้าอยากเอาแหวนทองสัมฤทธิ์คืน ข้าก็ต้องคืนให้นางอยู่แล้ว

เหตุใดจะต้องลากข้ามามิติเบิกฟ้าที่ไม่น่าไว้วางใจเช่นนี้ ตอนนี้ข้ารู้สึกไม่ปลอดภัยเอามากๆ

เสิ่นเทียนเงยหน้ามองจักรพรรดินีบนฟ้าอย่างหวาดกลัว ไม่รู้ว่าท่านนี้จะจัดการกับตนอย่างไร รู้สึกไร้ที่พึ่งสุดๆ ไปเลย

……

เวลาผ่านไปทีละนาที

เสิ่นเทียนเงยหน้ามองจักรพรรดินี นางกำลังลูบแหวนทองสัมฤทธิ์เบาๆ

และความรู้สึกที่ถูกมองนั้นก็ยังคงอยู่ตลอด ทำให้เสิ่นเทียนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองไปหมด

ทันใดนั้น มิติแห่งนี้ก็สั่นไหวเบาๆ

เสิ่นเทียนเห็นประตูบานหนึ่งรวมขึ้นกลางอากาศช้าๆ เปล่งแสงพร่างพราว เหมือนเชื่อมไปอีกมิติหนึ่ง

อีกด้านของมิตินี้เหมือนมีคนกำลังทุบประตู ทั้งยังทำให้ประตูสั่นไหว เหมือนจะพังเข้ามาได้ทุกเมื่อ

ทั่วร่างจักรพรรดินีถูกคลุมด้วยหมอกเบิกฟ้า หันไปมองประตูบานนั้น หมอกเบิกฟ้าบนผิวกายเกิดคลื่นกระเพื่อมเบาๆ

บึ้ม~

ประตูพลันเปิดออก ร่างสีม่วงพุ่งเข้ามาด้วยความกระหืดกระหอบ “…ส่งคืนมา ไม่เช่นนั้นข้าจะรื้อ…”

ทว่าเสิ่นเทียนยังไม่ทันเห็นร่างนั้นชัดเจน จักรพรรดินีก็ยกมืองามขึ้นช้าๆ แล้ว

เพียะ~

ร่างสีม่วงถูกตบลอยออกไปเร็วยิ่งกว่าตอนเข้ามาสิบเท่า

ประตูส่องแสงนั้นพลันปิดลง ก่อนจะกลายเป็นผุยผงในทันใด

จักรพรรดินีหันกลับมา ส่งเสียงถอนหายใจ

จากนั้นเสิ่นเทียนก็เห็นว่ามิตินี้พังทลายลงด้วยความเร็วระดับสายตามองเห็น ส่วนร่างเขาก็กลายเป็นผุยผงเช่นกัน

ช่วงสุดท้ายที่จะเสียจิตสำนึกไปนั้น เขายังเห็นประกายเซียนสีเงินพุ่งมาทางตน

เมื่อประกายเซียนหลอมรวมเข้าไปในตัวเสิ่นเทียน เขาก็หมดสติไป

……..

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เสิ่นเทียนลืมตาขึ้นช้าๆ

สิ่งแรกที่เห็นคือชายชราชุดคลุมม่วง นั่นคือเยี่ยฉิงชาง

เขามองเสิ่นเทียน “เทียนเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นแล้ว ท่านนั้นบอกอะไรกับเจ้าบ้าง นางเห็นว่าเจ้าหน้าตาหล่อเหลา เลยจะให้เจ้าบินขึ้นไปเกาะขานางใช่หรือไม่”

เสิ่นเทียนมุมปากกระตุกเล็กน้อย เขาจะบอกตาแก่นี่ได้หรือว่าจักรพรรดินีท่านนั้นสนใจแหวนวงเดียวมากกว่าเขาอีก

เฮ้อ น่าเสียดายแหวนทองสัมฤทธิ์ที่มีประวัติไม่ธรรมดาวงนั้น นางเอากลับไปแล้วเสียได้

ขณะเสิ่นเทียนกำลังเสียดายนั้นก็อึ้งไปเล็กน้อย

เพราะเขาพบว่าบนนิ้วนางของตนยังสวมแหวนทองสัมฤทธิ์นั้นอยู่

เอ่อ แหวนนี่โดนเอาคืนไปแล้วไม่ใช่หรือ

ทำไมกัน เกิดบัคขึ้นรึ

…….

ชั่วขณะที่เสิ่นเทียนกำลังงุนงงอยู่นั้น พลันพบว่ามีแสงสว่างกลุ่มหนึ่งเพิ่มมาในความคิด

เสิ่นเทียนลองสัมผัสประกายเซียนนั้นดู ทันใดนั้นเคล็ดวิชาลึกลับนับไม่ถ้วนได้หลั่งไหลเข้ามาราวกับคลื่นลูกใหญ่

นั่นคือวิชา วิชาที่ทำให้เสิ่นเทียนตะลึงงัน

‘คัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้า!’

……………………….