บทที่ 341 เคล็ดแปลงหมื่นสรรพสิ่งกลืนฟ้า เบิกฟ้าหลอมตัวอ่อนกระบี่

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 341 เคล็ดแปลงหมื่นสรรพสิ่งกลืนฟ้า เบิกฟ้าหลอมตัวอ่อนกระบี่

มรดกนี้มีต้นกำเนิดพลังเดียวกับคัมภีร์คบเพลิงในตัวเสิ่นเทียน อีกทั้งยังลี้ลับยิ่ง กระทั่งแม้แต่คัมภีร์คบเพลิงเทพสงครามที่เยี่ยฉิงชางถ่ายทอดให้เสิ่นเทียนยังเหมือนเทียบกับวิชานี้ไม่ได้

แต่พื้นฐานของมรดกนี้ยากและอันตรายมาก นั่นคือต้องหลอมรวมหมอกเบิกฟ้าก่อน ถึงจะก้าวข้ามธรณีประตูของวิชานี้

ต้องรู้ว่าหมอกเบิกฟ้าเป็นหนึ่งในพลังงานที่เป็นที่ยอมรับว่าน่ากลัวที่สุดในห้าดินแดน แม้แต่ผู้อริยะหากโดนพัวพันก็ยังอันตรายมาก

การฝึกคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าพื้นฐานคือการหลอมรวมพลังงานเบิกฟ้า สำหรับคนปกติแล้ว ไม่อาจจินตนาการได้ จะถูกกลืนกินและตายตกไปในทันที

แต่หากฝึกคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าได้ราบรื่นก็จะมีอานุภาพไม่อาจจินตนาการเช่นกัน เหนือกว่าวิชาทั่วไปอย่างยิ่ง

จากมรดกวิชาในความคิด หากเสิ่นเทียนฝึกฝนคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้านี้สำเร็จ ภายภาคหน้าจะมีความสามารถในการหลอมรวมและควบคุมพลังเบิกฟ้าได้

ถึงตอนนั้น หมอกเบิกฟ้านั้นในกายร่างแยกเขาจะไม่ใช่แค่คุกคามถึงความปลอดภัยเขาไม่ได้แล้ว แต่ยังกลายเป็นอาวุธได้

นั่นคืออาวุธสังหารระดับสุดยอดที่แกร่งที่สุดและมีพลังทำลายล้างมากที่สุด!

‘มรดกวิชานี้ยิ่งใหญ่จนน่ากลัว หากกุมมันไว้ได้ทั้งหมด ข้าในระดับดวงจิตดรุณก็อาจจะสังหารผู้อริยะได้’

เสิ่นเทียนพึมพำในใจ แววตาพลันเร่าร้อนและตื่นเต้นขึ้นมาเป็นพิเศษ

ล้อเล่น นั่นคือการสังหารผู้อริยะเชียว!

อย่ามองว่าโอรสสวรรค์ห้าดินแดนที่สู้ข้ามขั้นได้มีตั้งมากมาย สร้างฐานสู้แก่นพลังทองเอย แก่นพลังทองสู้ดวงจิตดรุณได้เป็นกองเอย

นั่นเป็นเพียงอยู่ในแก่นพลังทองและดวงจิตดรุณ ขยะที่เอาน้ำใส่ตัวมีเยอะเกินไป ส่วนใหญ่ก็ใช้วิธีนอกรีตฝืนดันระดับพลังไปแก่นพลังทองกระทั่งดวงจิตดรุณ

อย่างวิธีชั่วช้าเช่นกินโลหิตบริสุทธิ์หรือเซ่นไหว้มารร้าย หากไม่มีสำนักฝ่ายธรรมะขัดขวาง ถึงขั้นสร้างผู้จริงแท้และผู้สูงศักดิ์ได้จำนวนมาก

ทว่าระดับของผู้จริงแท้และผู้สูงศักดิ์ประเภทนี้เลื่อนลอย เวลาสู้จริงจะเปราะบางมาก

แต่เมื่อผู้ฝึกบำเพ็ญทะลวงถึงระดับหลอมรวมเทพ ก็จะมีทางลัดน้อยลงไปเรื่อยๆ ปกติคนที่เป็นผู้สูงศักดิ์สวรรค์ได้จะเป็นอัจฉริยะสุดยอด

อัจฉริยะพวกนี้ตอนเยาว์วัยก็เป็นโอรสสวรรค์ที่สู้ข้ามขั้นได้อยู่แล้ว ชื่อเสียงเลื่องลือหนึ่งยุค เจ้าคิดจะสู้ข้ามขั้นเอาชนะพวกเขาอีก ระดับความยากไม่ต่างอะไรกับไต่ฟ้าเลย

ส่วนข้ามขั้นไปสังหารผู้อริยะ นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง

แดนศักดิ์สิทธิ์ในห้าดินแดนปกติจะเปลี่ยนบุตรศักดิ์สิทธิ์ทุกร้อยปี บุตรศักดิ์สิทธิ์ทุกคนคือโอรสสวรรค์ที่สุดแห่งยุค

แต่ถึงจะเป็นโอรสสวรรค์ที่สุดแห่งยุคพวกนี้ คนที่สัมผัสปราการระดับผู้อริยะได้อย่างแท้จริงมีไม่เกินสามถึงห้าคน คนที่ฝ่าด่านเคราะห์สำเร็จหายากยิ่งกว่า

การคงอยู่ของผู้อริยะฝ่าด่านเคราะห์ทุกคน ตอนเยาว์วัยก็เป็นโอรสสวรรค์ในโอรสสวรรค์ ข้ามขั้นสังหารศัตรูได้เหมือนฆ่าสุนัขเชือดไก่ ไม่เช่นนั้นคงยากจะผ่านการทดสอบเคราะห์สายฟ้าสวรรค์เป็นผู้อริยะได้

ใช้ระดับพลังผู้สูงศักดิ์สวรรค์ข้ามขั้นมาสังหารผู้อริยะ ระดับความยากสูงกว่าระดับแก่นพลังทองข้ามขั้นมาสังหารดวงจิตดรุณเกินกว่าพันเท่า!

ถ้าไม่เช่นนั้น ตอนนั้นที่ศิษย์พี่ใหญ่เทพสวรรค์ฉู่หรงเหอระเบิดตัวเองหนึ่งสู้เจ็ด คงไม่มีทางสั่นสะเทือนทั้งห้าดินแดน แม้แต่ราชวงศ์เซียนในดินแดนกลางยังสั่นไหว

พูดได้ว่าที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ในตอนนี้กำลังผงาดขึ้น เพราะมีคุณความดีของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่ซ่อนเร้นความสามารถและมีกลยุทธ์ของนักการทูต

แต่ฉู่หรงเหอบ้าคลั่งสู้กับผู้อริยะเจ็ดคน ก็ทำให้ศัตรูแข็งแกร่งมากมายตื่นตะลึงกันจริงๆ

พึงรู้ไว้ว่าจางหลงหยวนและฉู่หรงเหอในตอนนั้นถูกเรียกว่า “คู่โอรสสวรรค์” อีกทั้งคนแรกยังอยู่ในเงามืดยิ่งกว่าคนข้างหลังอย่างชัดเจน

ฉู่หรงเหอบ้าคลั่งขึ้นมา ระเบิดกายเทพอัสนีสู้ตายกับผู้อริยะเจ็ดคน นั่นคือบีบคั้นแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ แล้วถ้าจางหลงหยวนก็บ้าคลั่งขึ้นมาจะทำอย่างไร

ต้องรู้ว่าภายใต้สถานการณ์ศักยภาพเท่ากัน คนชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์ย่อมน่ากลัวกว่าคู่ต่อสู้ที่ไม่มีสมองมาก

นับจากนั้นมา ขุมอำนาจที่อยากจะครอบครองแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พวกนั้นก็เลือกยุติการโจมตี

ส่วนแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็ได้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์นำพาให้ฟื้นคืนพลังกลับมาในทุกๆ วัน

……..

แค่กๆ นอกเรื่องแล้ว

สรุปคือตั้งแต่โบราณมา ในห้าดินแดนคนที่ใช้ระดับพลังผู้สูงศักดิ์สวรรค์สังหารผู้อริยะได้มีน้อยเหมือนขนหงส์เขากิเลน หายากยิ่งกว่าราชาผู้อริยะ

คนที่มีกำลังรบเช่นนี้ มีฐานะเทียบเท่ากับผู้อริยะกระทั่งสูงกว่าผู้อริยะปกติแล้ว

เพราะหากไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเขาก็มีโอกาสทะลวงระดับมหาอริยะกระทั่งฝ่าด่านเคราะห์เป็นเซียนได้

การคงอยู่เช่นนี้ถูกเรียกว่า ‘ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ยอดมรรค’ ความหมายคือเป็นขีดจำกัดของระดับผู้สูงศักดิ์สวรรค์

แน่นอนว่าเผ่าอสูรก็มีชื่อเรียกในเผ่าว่า ‘ผู้สูงศักดิ์อนันต์’ ความหมายคือผู้สูงศักดิ์ที่ไร้ขีดจำกัด

ใช้ระดับพลังผู้สูงศักดิ์สวรรค์สังหารผู้อริยะได้ จะได้รับความสนใจและเลื่อมใสจากห้าดินแดน หากเสิ่นเทียนใช้ระดับพลังดวงจิตดรุณสังหารผู้อริยะได้ล่ะ…

เกรงว่าทั้งห้าดินแดนคงต้องบ้าคลั่ง!

เสิ่นเทียนตระหนักคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้านี้แล้วรู้สึกลำพองใจขึ้นมาเล็กน้อย

คนหน้าตาดีเนื้อหอม แม้แต่จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุคเห็นใบหน้าเขาแล้วยังอดใจถ่ายทอดวิชาให้เขาทุกครั้งไม่ได้

มรดกระดับจักรพรรดิในตัวข้ามีเยอะจนฝึกไม่หมดไม่สิ้นแล้วด้วยซ้ำ!

เฮ้อ นี่อาจจะเป็นความทุกข์จากความหล่อเหลากระมัง!

ล้อเล่นก็เรื่องของล้อเล่น ยามที่ตระหนักวิชานี้ เสิ่นเทียนค่อนข้างตั้งใจเลย

ถึงอย่างไรเขาก็ไม่โง่ จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุคท่านนี้มีกำลังรบสะท้านฟ้า แม้แต่ปู่บุญธรรมยังไม่พอมอง

วิชาที่นางถ่ายทอดให้จะมีอานุภาพแย่ได้รึ แล้วยังจะไม่ตั้งใจฝึกฝนอีก เว้นแต่สมองเจ้าจะโดนอัสนีเทพกำเนิดฟ้าผ่าจนเดี้ยงไปแล้ว

เสิ่นเทียนนั่งขัดสมาธิ เริ่มตั้งใจตระหนักวิชานี้

ก็เหมือนคัมภีร์จักรพรรดิเทพสวรรค์ที่แบ่งเป็นเคล็ดหลอมกาย หลอมปราณและบทต้องห้าม วิชานี้ก็แบ่งเป็นบทต่างกันเช่นกัน

“เคล็ดหลอมกายคบเพลิงเบิกฟ้า ใช้หมอกเบิกฟ้าขัดเกลากายเนื้อ สร้าง ‘กายทองเบิกฟ้าสวรรค์ประทาน’ ฟังดูแล้วรู้สึกสุดยอดไปเลย

เคล็ดหลอมสร้างคบเพลิงเบิกฟ้า ใช้หมอกเบิกฟ้าหลอมสร้างอาวุธต้นกำเนิด เติบโตไปพร้อมกับตัวเอง ในเร็ววันจะกลายเป็นอาวุธแห่งการพิสูจน์มรรค หนึ่งอาวุธทำลายหมื่นอิทธิฤทธิ์รึ

เคล็ดแปลงหมื่นสรรพสิ่งกลืนฟ้า กลืนกินสมบัติสุดยอด สิ่งมหัศจรรย์รวมถึงคุณสมบัติกายโอรสสวรรค์ได้ทุกชนิดในฟ้าดิน แปลงเป็นพลังของตัวเอง ก่อนทะลวงรังไหมเป็นผีเสื้อ

เมื่อฝึกวิชานี้ถึงระดับสูงสุดจะสำเร็จ ‘กายเบิกฟ้ามานะสร้าง’ ทำให้พอจะฝึกฝนคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าได้รึ”

…..

ทันใดนั้น วิชาที่มีนามว่าแปลงทุกสรรพสิ่งกลืนฟ้าในมรดกก็ดึงดูดความสนใจของเสิ่นเทียน

วิชานี้ไม่อยู่ในกลุ่มของคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้า หรืออาจพูดได้ว่าเดินในเส้นทางต่างกัน

หากบอกว่าคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าเดินบนเส้นทางสูงสุดถูกต้องและสง่างาม บทเปิดมาก็ใช้หมอกเบิกฟ้าหลอมสร้างรากฐานสูงสุด ท่องบนเส้นทางไร้พ่าย

เช่นนั้น เคล็ดแปลงหมื่นสรรพสิ่งกลืนฟ้าก็เหมือนกับเส้นทางเล็กแคบและขรุขระ ใช้ทุกชีวิตในฟ้าดินเป็นสารอาหาร ฝึกฝนถึงขีดจำกัดแล้วก็ได้แค่กายเบิกฟ้าที่มีมลทิน

วิชานี้เหมือนกับคนที่มีคุณสมบัติกายบางอย่างที่ไม่อาจฝึกฝนคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าได้ จึงสร้างวิชานี้ขึ้นเพื่อพอจะให้ฝึกฝนได้

หลังจากสำเร็จกายเบิกฟ้ามลทินแล้วก็จะหลอมรวมและควบคุมหมอกเบิกฟ้าได้ เริ่มเปลี่ยนไปฝึกคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้านั้นได้

จากในระดับบางอย่าง จะมองว่าวิชาลับนี้เป็นพื้นฐานของบททางการของคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าก็ได้

สำหรับเสิ่นเทียนแล้ว วิชาลับนี้ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก

เพราะต่อให้ไม่ฝึกมัน เสิ่นเทียนก็หลอมรวมหมอกเบิกฟ้าได้เช่นกัน

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเคล็ดแปลงหมื่นสรรพสิ่งกลืนฟ้าจะไม่มีค่าอะไร ในทางตรงข้าม วิชานี้เหนือจินตนาการ!

เพราะถึงคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าจะอันธพาลและยอดเยี่ยม แต่มองไปในห้าดินแดนกระทั่งรวมโลกเซียน จะมีสักกี่คนที่มีหมอกเบิกฟ้าเป็นรากฐาน

เว้นแต่จะเป็น ‘กายทองเบิกฟ้าสวรรค์ประทาน’ คุณสมบัติกายสูงสุดในตำนานเท่านั้นถึงจะมีความเป็นไปได้

ทว่า ‘กายทองเบิกฟ้าสวรรค์ประทาน’ หายากมาแต่โบราณ มีอยู่ในตำนานเท่านั้น

หากไม่มีคุณสมบัติกายนี้ ต่อให้คัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าจะมีอานุภาพมากเพียงใด ก็เป็นเพียงคัมภีร์ขยะส่วนหนึ่ง

ทว่าเคล็ดแปลงหมื่นสรรพสิ่งกลืนฟ้ากลับเปิดช่องทางลัด หลอมรวมทุกสรรพสิ่งในฟ้าดินอย่างน่าเหลือเชื่อ เมื่อผลัดเปลี่ยนแล้วก็ออกมาเป็นกายเบิกฟ้ามานะสร้าง

ความลี้ลับของวิชานี้เรียกว่า ‘ชิงโชควาสนาของฟ้าดิน’ ก็ไม่เกินจริงไปเลย

หากฝึกฝนวิชาลับนี้สำเร็จจริงๆ ถึงจะไม่อาจฝึกถึงขีดจำกัดสำเร็จกายเบิกฟ้ามาระสร้าง อย่างน้อยก็ยกระดับอานุภาพของคุณสมบัติกายตนได้อย่างมาก ไร้พ่ายในระดับเดียวกันได้

หากเสิ่นเทียนเดาไม่ผิด โอรสสวรรค์พวกนั้นที่เคยตระหนักศิลาโบราณต้องห้ามนี้ ก็น่าจะตระหนักได้วิชาลับนี้

น่าเสียดาย ต่อให้เป็นเคล็ดแปลงหมื่นสรรพสิ่งกลืนฟ้า โอรสสวรรค์ธรรมดาก็ไม่มีสิทธิ์ตระหนักรู้

คนที่กลายเป็นมรรคตรงหน้าศิลาโบราณพวกนั้น ก็น่าจะโดนวิชาแว้งกัด

ถึงอย่างไรวิชาลับนี่ก็อันตรายมากจริงๆ ถ้าไม่เช่นนั้นบรรพบุรุษรุ่นหนึ่งเผ่าคุนคงเก็บเอาไว้แล้ว

……

ฟู่~

เสิ่นเทียนพ่นลมหายใจขุ่นออกมา

มรดกที่เขาได้มาครั้งนี้มีระดับความยากเรียกว่าพลิกฟ้าได้

ดีที่ข้าโดดเด่นพอ ไม่เช่นนั้นต่อให้ได้มรดกมาก็ฝึกไม่ได้

เสิ่นเทียนมองข้ามเยี่ยฉิงชางที่เรียกร้อง ‘ค่าจ้าง’ อยู่ข้างกาย ก่อนจะนั่งขัดสมาธิแบบห้าใจมุ่งสู่ฟ้าเข้าฌาน

อืม หลักๆ ก็เพื่อตระหนักวิชาสูงสุด ไม่ใช่เพราะเบี้ยวหนี้เขาสักหน่อย!

ขณะเดียวกัน ในหุบเขาต้องห้ามของเผ่าคุน

เสิ่นเทียนเอกับเสิ่นเทียนบีลืมตาขึ้นช้าๆ เช่นกัน ดวงตาขยับประกายวาวชาญฉลาด

“วิชานี้ลึกลับมาก ไม่อยากเชื่อว่าจะหลอมรวมหมอกเบิกฟ้าได้”

“ร่างหลักยังไม่เป็นอะไรเลย เราลองดูกันดีหรือไม่”

ร่างเสิ่นเทียนบีหายไปช้าๆ กลายเป็นก้อนโลหิตบริสุทธิ์กับก้อนหมอกเบิกฟ้าสีขาวเงินพุ่งไปในกายเสิ่นเทียนเอ

ใช่ สีขาวเงิน

หมอกเบิกฟ้าที่ปกคลุมในเขตทะเลเบิกฟ้าเดิมทีเป็นสีขาวอมเทา

แต่เมื่อเข้าไปในกายเสิ่นเทียนบี หมอกเบิกฟ้านี่ก็ดูดซับพลังงานของสิ่งมหัศจรรย์ปัญจธาตุอย่างบ้าคลั่ง แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวเงิน

เหมือนว่าหมอกเบิกฟ้านี่ถูกกระตุ้น~

“ตามสูตรของคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าแล้ว การฝึกมรดกนี้ยากที่สุดคือก้าวแรก คือการกลืนกินหมอกเบิกฟ้า ให้มันมีแนวโน้มสงบนิ่งในร่างกาย”

ดวงตาเสิ่นเทียนเอเปล่งประกายแสงสว่างจ้า กายมรรคสวรรค์ประทานกระตุ้นทักษะการตระหนักรู้ถึงขีดจำกัด “เคล็ดหลอมกายคบเพลิงเบิกฟ้าต้องกลืนกินหมอกเบิกฟ้าจำนวนมาก”

“ใช้หมอกเบิกฟ้าหลอมกายเสี่ยงเกินไป อีกทั้งการขัดเกลาร่างนี้ยังไม่มีประโยชน์อะไรด้วย สู้ฝึกเคล็ดหลอมสร้างคบเพลิงเบิกฟ้าก่อนดีกว่า”

อืม ลองก็ลอง อย่างมากก็แค่ตาย!

……

ร่างสง่างามยิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กลางหุบเขาอันเงียบสงัด

หมอกแห่งปัญจธาตุและหมอกเบิกฟ้าสีขาวเงินกลุ่มหนึ่งค่อยๆ หลอมรวมกันในร่างกาย เปลี่ยนรูปไปคล้ายกับแป้งสาลี

เคล็ดหลอมสร้างคบเพลิงเบิกฟ้านี้ เน้นการใช้หมอกเบิกฟ้าหลอมสร้าง จากนั้นหลอมเป็นอาวุธมรรคชีวิต เติบโตไปพร้อมกับตัวเอง หนึ่งอาวุธทะลวงหมื่นอิทธิฤทธิ์

เสิ่นเทียนสงสัยหนักมากว่า คนที่สร้างวิชานี้ข้ามมาจากจักรวาลตะวันออกหรือไม่ นี่มันเลียนแบบระบบกันชัดๆ!

แน่นอน นี่ไม่สำคัญ

สิ่งที่สำคัญคือตอนนี้เสิ่นเทียนเหมือนกับเยี่ยเฮยบางคนตอนเยาว์วัย เข้าสู่การเลือกอันน่ากลัว

รากฐานของเคล็ดหลอมสร้างคบเพลิงกำเนิดฟ้าอยู่ที่อาวุธชีวิตนั้นที่สร้าง อาวุธชีวิตนี่สำคัญกับเจ้าของอย่างมาก มีอานุภาพไร้ขีดจำกัด

แม้หากไม่พอใจ ภายหลังจะทุบและสร้างใหม่ได้ แต่กำลังวังชาและเวลาที่เสียไปก็ค่อนข้างเป็นปัญหา

ให้ดีที่สุดคือสร้างสิ่งที่พอใจตั้งแต่แรก

สร้างอะไรล่ะ! สร้างเกราะ เกราะหมวกเกราะ สร้างไม้ตะพด

สร้างระฆังมรณะไร้จุดเริ่มต้น ไม่ดีๆ ไม่เป็นมงคลเกินไป อีกทั้งยังทำให้รู้สึกท้อแท้ได้ง่าย

หรือจะสร้างหม้อใหญ่แบบของเยี่ยเฮย ก็ไม่ดี ควงหม้อใหญ่ทุบใส่คนมันรู้สึกไม่เข้าท่า สู้ควงค้อนใหญ่จะดีกว่า!

ไม่เช่นนั้นก็สร้างกระบี่เถอะ! อย่างน้อยก็แบกไว้เพื่อความสง่างามได้ แข็งแกร่งหรือไม่นั่นอีกเรื่อง แต่เท่หรือไม่เท่เป็นเรื่องของทั้งชีวิต

อีกทั้งไม้ตายที่แกร่งที่สุดของเสิ่นเทียนตอนนี้ก็คือ ‘เคล็ดกระบี่เซียนเหินฟ้า’ จากจักรพรรดินี เจตจำนงกระบี่ยังมีความกู่ร้องกับหมอกเบิกฟ้ารางๆ ด้วย

หากสร้างอาวุธกระบี่เบิกฟ้า ดูท่าอานุภาพของเคล็ดกระบี่นี้จะต้องแกร่งขึ้นกว่าเดิมแน่!

ขณะเดียวกับที่พูด กำลังหลอมกระบี่อยู่นั้น ในความคิดเสิ่นเทียนมีรูปทรงมากมายยิ่งกว่า

อืม ตัดสินใจแล้ว หลอมกระบี่นี่แหละ!

เสิ่นเทียนตัดสินใจอยู่ภายใน ก่อนจะเริ่มรวมอาวุธชีวิตของตน

สองมือประสานมุทราอย่างรวดเร็ว ตบมุทราที่บันทึกในคัมภีร์คบเพลิงเบิกฟ้าออกไป

มุทรามากมายหลอมรวมเข้าไปในหมอกเบิกฟ้าปัญจธาตุนั้น หมอกเบิกฟ้าสีขาวเงินเริ่มเปลี่ยนรูปร่างไปทางไม้กระบอง

ใช่ เสิ่นเทียนพยายามหลอมอยู่สิบกว่าชั่วยาม ปรากฏว่าออกมาเป็นไม้กระบอง…

ถึงอย่างไรเขาก็แค่เพิ่งตระหนักเคล็ดหลอมสร้างคบเพลิงเบิกฟ้า ยังไม่เข้าใจในวิชาสูงสุดนี้มาก อีกทั้งในด้านระดับพลังยังอ่อนแอไปหน่อยจริงๆ

ดังนั้นต่อให้รู้ว่าจะหลอมอาวุธชีวิตเบิกฟ้าอย่างไร ยามลงมือจริงก็ยังกินแรงนิดๆ รู้สึกว่าหมอกกลุ่มนี้ไม่เชื่อฟัง

อืม ขอใช้ภาษาชาวบ้านคือ ‘ดวงตาบอกว่าข้าทำได้ แต่มือบอกว่าเจ้าพูดไร้สาระ’

ทว่าการหลอมสร้างครั้งแรกมีหน้าตาอัปลักษณ์หน่อยก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรจากนี้เสิ่นเทียนก็จะหลอมไปเรื่อยๆ กระบี่นี้ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นแบบที่เขาคิดไว้

ส่วนตอนนี้ ‘ไม้กระบอง’ ก็เรียกมันว่าตัวอ่อนกระบี่ก่อนแล้วกัน!

เดิมทียังคิดจะหลอมให้มันเป็นเหมือนกระบี่ฟ้าสังหาร ตอนนี้ดูแล้วยังยังยากอยู่

จะว่าไปก็แปลกเหมือนกัน ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือคิดไปเอง ก่อนหน้านี้เสิ่นเทียนเคยเห็นจักรพรรดินีที่สุดแห่งยุคคนนั้นสำแดงเคล็ดกระบี่

เขามักจะรู้สึกว่ากระบี่นั้นในมือจักรพรรดินี คล้ายกับรูปทรงของกระบี่ฟ้าสังหารมาก…

ไม่รู้ว่ากระบี่ฟ้าสังหารนั่นจะสร้างเลียนแบบกระบี่นั้นในมือจักรพรรดินีหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นจริง สร้างตามแบบนั้นแล้วก็น่าจะไม่ผิด

อืม เดี๋ยวว่างต้องไปหาตำราการหลอมสร้างอ่านสักสองเล่ม อย่างน้อยก็ต้องศึกษาด้านรูปทรงให้มากๆ

…….

ขณะกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย วิชาก็ยังหมุนโคจรไปไม่หยุด

เสิ่นเทียนหลอมสร้างอาวุธชีวิตได้ราบรื่นมาก ไม่นานตัวอ่อนกระบี่สีเงินสามฉื่อก็ปรากฏตรงหน้าเขา

เห็นตัวกระบี่ขรุขระกับรูปทรงที่แทบจะไม่เห็นความงามแล้ว เสิ่นเทียนมุมปากกระตุกเล็กน้อย

หลอมได้ราบรื่นกับผีสิ!

เสิ่นเทียนรู้สึกล้มเหลว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับวิชาระดับความยากเช่นนี้ตั้งแต่ทะลุมิติมา

สารภาพตามตรง วิชานี้เริ่มทำให้เขาสนใจแล้ว!

เขาตัดสินใจว่าจะกำราบวิชานี้ให้ได้!

อย่าหยุด หลอมต่อไป!

เสิ่นเทียนกำลังคิดจะเร่งรัดวิชาหลอมตัวอ่อนกระบี่นี่ให้งามกว่านี้อีกหน่อย

ทันใดนั้นเขาก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย

เพราะเขารู้สึกว่าหุบเขานี้กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง อีกทั้งมวลอากาศรอบๆ ยังพังทลายลงอย่างรวดเร็ว

กระแสพลังมหาศาลหมุนม้วนเข้ามา พลังวิญญาณที่แทบจะกลายเป็นหมอกพลันทะลักไปข้างนอก ส่งออกไปพันลี้ราวกับคลื่นลูกใหญ่

ตรงทางเข้าหุบเขาต้องห้าม กลิ่นอายพลังของผู้สูงศักดิ์สวรรค์แข็งแกร่งสิบคนพุ่งขึ้น นั่นคือผู้อาวุโสเผ่าคุนสิบท่านที่เฝ้าในหุบเขา

พวกเขามองไปยังส่วนลึกของหุบเขาด้วยความหวาดกลัว “หุบเขากำลังถล่ม นี่มันเป็นไปได้อย่างไร”

ต่อให้เป็นตอนที่บรรพบุรุษรุ่นหนึ่งเผ่าคุนตระหนักศิลาโบราณก็ยังไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้!

…..

บึ้ม!

มีประกายแสงสีครามสว่างจ้าสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของผู้อาวุโสสิบคน

มันพลันลากผ่านหุบเหวหมื่นจั้ง พุ่งขึ้นไปบนผิวทะเล

แดนต้องห้ามหรือค่ายกลทุกอย่างถูกทะลวงไปในพริบตาเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน ขัดขวางไม่ได้เลย

หากผู้อาวุโสสิบคนมองไม่ผิด เจ้านั่นเหมือนกับศิลาแผ่นหนึ่ง~

ระยำ ตายแล้ว!

ศิลาโบราณต้องห้ามบินขึ้นไปแล้ว!

………………….