ตอนที่ 1005 อดอยากนานๆ ไม่ไหว

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

ถังหนิงเข้าใจคำบอกใบ้ทันทีที่ได้ยินดังนั้น

 

 

ทว่าลูกสาวของพวกเขาอายุได้เพียงสามเดือนเท่านั้น ต่อให้เหยียนเอ๋อร์จะหลับอยู่เธอก็ยังคงไม่สบายใจนัก อย่างไรก็ตามความกังวลของเธอกลับไร้ความหมายเมื่อประธานโม่รู้เรื่องนี้และได้เตรียมเตียงเด็กให้ลูกเอาไว้ อีกทั้งยังทำเป็นห้องกันเสียงรบกวนด้วย เมื่อถังหนิงเห็นดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

 

 

ผู้ชายนี่อดอยากนานๆ ไม่ไหวจริงๆ สินะ

 

 

โม่ถิงเอ่ยกับถังหนิงระหว่างมื้อเย็น “ผู้ช่วยที่ผมจ้างมาให้คุณจะมาถึงพรุ่งนี้นะครับ เวลาที่เราไม่อยู่เธอจะได้ดูแลเหยียนเอ๋อร์ให้เราได้”

 

 

“เธอไว้ใจได้เหรอคะ”

 

 

“เธอเป็นคนดีครับ ไม่ต้องห่วง เธอจะดูแลเหยียนเอ๋อร์ได้เป็นอย่างดีแน่” โม่ถิงรู้ว่าถังหนิงเป็นห่วงเรื่องอะไรเพราะเขาเองก็เป็นกังวลเช่นกัน แต่ลู่เช่อเลือกผู้หญิงคนนี้มาอย่างเข้มงวด เธอถูกคัดเลือกมาจากคนนับหมื่นจึงไม่มีทางที่เธอจะเป็นคนไม่ดีไปได้

 

 

ถังหนิงพยักหน้ารับ เธออยู่ห่างจากบ้านจึงต้องระมัดระวังในการทำทุกอย่าง ไม่เหมือนในปักกิ่งที่เป็นบ้านเกิดของเธอ

 

 

หลังอาหารเย็น ถังหนิงอาบน้ำให้เหยียนเอ๋อร์จากนั้นจึงพาเข้านอน ก่อนลงมาแช่น้ำในอ่างคนเดียวกระทั่งโม่ถิงก้าวเข้ามาในห้องน้ำ “เหยียนเอ๋อร์น่าจะหลับไปอีกประมาณสี่ชั่วโมง…” ใบหน้าของเธอขึ้นสี

 

 

พูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า…

 

 

โม่ถิงเข้าใจคำบอกใบ้ของถังหนิง เขาคุกเข่าลงข้างเธอก่อนว่าขึ้น “ช่วยผมถอดเสื้อผ้าหน่อยสิครับ”

 

 

ถังหนิงเอื้อมมือออกไปปลดกระดุมเสื้อผ้าบนตัวเขา ขณะที่รูปร่างอันแสนสมบูรณ์แบบจะค่อยๆ ปรากฏต่อหน้าเธอ…

 

 

เพราะถังหนิงตั้งท้องอยู่ทั้งคู่จึงไม่ได้แนบชิดกันมาพักใหญ่แล้ว โม่ถิงก้าวเข้ามาในอ่างอาบน้ำและนอนลงข้างๆ พลางรั้งเธอเข้ามาในอ้อมกอด

 

 

“มีอะไรเหรอคะ” ถังหนิงถามหลังจากเห็นว่าโม่ถิงไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านี้

 

 

“ผมเป็นห่วงว่าร่างกายคุณจะยังไม่ฟื้นตัวดีน่ะครับ” เขาตอบด้วยท่าทีระมัดระวัง

 

 

“หมอบอกว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะ”

 

 

พูดจบเธอก็ตวัดแขนโอบรอบคอโม่ถิงและเอ่ยกระซิบใกล้กระดูกไหปลาร้าของเขา “แล้วฉันก็ต้องการคุณด้วยค่ะ”

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดเชิญชวน โม่ถิงก็สะกดกลั้นแรงปรารถนาของตัวเองไม่ไหวอีกต่อไป เขาอุ้มเธอออกจากอ่างอาบน้ำพร้อมกับน้ำที่หยดลงมาจากร่างของพวกเขา จากนั้นจึงดึงผ้าม่านปิดรอบเตียงเพราะเตียงของ

 

 

เหยียนเอ๋อร์ตั้งอยู่ข้างๆ

 

 

“ไหนๆ คุณนายโม่ก็พูดอย่างนี้แล้ว ผมจะไม่ทนแล้วนะครับ”

 

 

หลังจากผ้าม่านปิดลง ร่างกายทั้งสองค่อยๆ ขยับซ้อนกันและกัน บางทีอาจเพราะเห็นแก่พ่อแม่ของตัวเอง เหยี่ยนเอ๋อร์ตัวน้อยจึงว่าง่ายและไม่ได้งอแงออกมาในคืนนั้น อย่างไรก็ตามถังหนิงไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันถัดมา

 

 

ผู้ช่วยที่จ้างมาได้มาถึงในเช้าวันนั้น เธอเป็นหญิงวัยสี่สิบต้นๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนอังกฤษ

 

 

“สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง”

 

 

“คุณเองก็มาจากปักกิ่งเหรอคะ”

 

 

“ค่ะ คุณโม่เลือกฉันมาและพาฉันมาจากปักกิ่ง คุณผู้หญิงจะได้เคยชินกับการอยู่ที่นี่ไงคะ” เธอดูมีไหวพริบไม่น้อย “ฉันรู้เรื่องคุณหนูเหยียนเอ๋อร์แล้วล่ะค่ะ คุณวางใจให้ฉันดูแลเธอได้เลยค่ะ”

 

 

“ถิงอยู่ไหนล่ะคะ”

 

 

“คุณชายขึ้นเครื่องบินกลับปักกิ่งไปตั้งแต่เช้าแล้วจะกลับมาเช้าวันพรุ่งนี้ค่ะ” เธอตอบ “คุณผู้หญิงคะ คุณจะเรียกฉันว่าป้าอวิ๋นก็ได้นะคะ”

 

 

โม่ถิงเตรียมการทุกอย่างไว้อย่างดีโดยที่ถังหนิงไม่มีอะไรให้ต้องกังวลแม้แต่น้อย ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำมีเพียงไปรายงานตัวกับทางวิทยาลัย ดูเหมือนว่าเธอคงจะสามารถสนุกกับชีวิตนักศึกษาแสนสุขได้ตลอดปีข้างหน้า

 

 

เพื่อไม่ให้ใครสังเกตเห็น ถังหนิงตัดสินใจใช้ชื่อที่เคยใช้เมื่อครั้งที่ยังเป็นนางแบบในฝรั่งเศส คิร่า

 

 

วิทยาลัยที่ถังหนิงเข้าเรียนอยู่ไม่ห่างจากแม่น้ำใกล้บ้านของเธอนัก เป็นที่ที่ผลิตผู้กำกับที่มีชื่อเสียงมามากมาย ถังหนิงจึงต้องเรียนรู้ระบบและการทำงานในวงการนี้เพื่อก้าวจากการเป็นนักแสดงไปสู่ผู้จัด

 

 

เพื่อนร่วมชั้นของเธอส่วนใหญ่มีชาติตระกูลดี ทว่าถังหนิงไม่ได้ตั้งใจจะสนิทสนมกับพวกเขา จึงไม่ได้ถามเรื่องของพวกเขา

 

 

ในวงการภาพยนตร์ ตลาดในภูมิภาคตะวันตกมักดูถูกนักแสดงที่มาจากปักกิ่ง พวกเขายังชอบคนผิวสีมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นทุกครั้งที่นักแสดงปักกิ่งไปต่างแสดงที่ต่างประเทศ พวกเขาจึงมักได้รับบทนักแสดงสมทบเท่านั้น

 

 

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเหยียดหยามถังหนิงไปโดยปริยายเช่นกัน

 

 

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ หากแต่สายตาและน้ำเสียงที่มีต่อเธอกลับเฉยชานัก

 

 

ถังหนิงค่อนข้างเหนื่อยในสามวันแรก ถึงเธอจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว เธอก็ยังทุลักทุเลมากกับคำศัพท์ระดับสูง และไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านนี้เลยแม้แต่น้อย

 

 

หากแต่สามวันหลังจากนั้นนักศึกษาอีกคนหนึ่งจากปักกิ่งก็มาถึง

 

 

แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากชายที่พยายามทุกทางเพื่อเข้าใกล้ถังหนิง หันซิวเช่อ

 

 

หันซิวเช่อคิดว่าถังหนิงคงเปิดรับเขาง่ายขึ้นหากเธอได้พบกับเพื่อนที่มาจากประเทศเดียวกันในต่างประเทศ ดังนั้นหลังจากเลิกเรียนเขาจึงจงใจเข้าไปถามทางกับถังหนิง “คิร่า ผมเพิ่งมาที่นี่ ยังไม่รู้ว่าแถวนี้มีร้านอาหารอร่อยๆ ที่ไหนบ้างน่ะครับ”

 

 

“ตรงไปทางด้านขวาจะมีถนนที่มีของกินขายเต็มไปหมดอยู่ค่ะ”

 

 

พูดจบถังหนิงก็หันหลังเดินจากไป ทว่าเขารั้งเธอไว้อีกครั้ง “ไหนๆ เราก็มาจากปักกิ่งกันทั้งคู่ คุณไม่คิดว่าเราน่าจะดูแลกันและกันหน่อยเหรอครับ”

 

 

“ฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ” ถังหนิงยิ้มก่อนก้าวเดินต่อ ครั้งนี้เขาไม่ได้ห้ามเธอไว้ เขารู้ว่ามันมีแต่จะทำให้เธอไม่ชอบหน้าเขามากกว่า

 

 

หากแต่ต่อให้ถังหนิงไม่ได้คุยกับหันซิวเช่อมากนักเธอเองก็ไม่ได้ไม่รู้เรื่องรู้ราว

 

 

อีกทั้งประธานโม่ยังคอยตามสืบเรื่องของคนที่เข้าหาภรรยาของเขาอยู่ตลอด จึงไม่มีทางที่หันซิวเช่อจะได้รับความสนใจจากถังหนิง

 

 

หลังจากกลับมาถึงบ้าน ถังหนิงบอกโม่ถิงเรื่องของหันซิวเช่อก่อนเขาจะตอบกลับ “เขาเป็นนักวาดการ์ตูนที่เซ็นสัญญากับจู้ซิงมีเดียคนล่าสุดครับ

 

 

“และเป็นคนที่หลงใหลในหนังไซไฟที่หลินเหว่ยเซินพยายามแนะนำเขาให้คุณด้วย

 

 

“พี่ชายของเขาเองก็เป็นเจ้าของต้นสังกัดในวงการบันเทิงเหมือนกัน

 

 

“อย่าคิดมากเลยครับ มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้”

 

 

ถังหนิงพยักหน้าก่อนที่กลับไปตั้งใจกับการอ่านหนังสือ

 

 

วันต่อๆ มาผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น กระทั่งอาจารย์ได้มอบหมายงานกลุ่มให้ นักศึกษาทั้งสองคนจากปักกิ่ง ถังหนิงและหันซิวเช่อถูกจับกลุ่มให้อยู่ด้วยกัน หากแต่ถังหนิงได้เอ่ยกับอาจารย์ “ฉันทำคนเดียวได้ค่ะ”

 

 

“หนังเรื่องหนึ่งจะสร้างออกมาได้ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ มันเกี่ยวข้องกับการร่วมมือกันของคนหลายคน ฉันไม่อนุญาตให้เธอทำตามที่ขอ”

 

 

ในขณะเดียวกัน หันซิวเช่อนั่งอยู่ไม่ไกลพลางส่งยิ้มให้ถังหนิง

 

 

หลังเลิกกเรียนเขาพุ่งตรงเข้ามาหาเธอและว่าขึ้น “ดูเหมือนคุณจะต่อต้านสังคมมากเลยนะครับ ผิดกับตอนอยู่ที่ปักกิ่งเลย”

 

 

“ฉันแค่ไม่อยากทำตัวให้โดดเด่นตอนที่เรียนอยู่เฉยๆ ค่ะ”

 

 

“ผมรู้ครับ ไม่ว่าคุณจะเคยเป็นยังไงและมีสถานะอะไร ตอนนี้คุณก็เป็นแค่นักศึกษา แต่…คุณก็ยังต้องมีเพื่อนและทำงานกับคนอื่นนะครับ อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธผมสิ ใครจะไปรู้ว่าผมอาจจะกลายเป็นคู่หูที่พึ่งพาได้ของคุณก็ได้”

 

 

ถังหนิงวางกระดาษในมือลงก่อนมองหน้าเขา “ดูจากสายตาของคุณแล้ว ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้มาเพื่อเรียนหนังสือหรอกค่ะ”