หลังจากได้ยินสิ่งที่ถังหนิงพูด ความสงสัยก่อตัวขึ้นในใจหันซิวเช่อ “คนบอกกันว่าคุณอ่านใจได้ ท่าจะจริงสินะครับ”
“ไม่ว่าฉันจะทำได้หรือเปล่า ฉันก็ไม่ใช่คนที่คุณจะเข้ามาสนิทสนมได้หรอกค่ะ ฉันว่าเรารักษาระยะห่างกันจะเป็นการดีที่สุดนะคะ” ถังหนิงตอบ “ฉันคงทำตัวดีๆ กับคนที่สร้างความประทับใจแย่ๆ ให้ไม่ได้หรอกค่ะ หวังว่าคุณหันจะอยู่ให้ห่างจากฉันได้นะคะ”
“คุณนี่เข้ากับคนอื่นยากจริงๆ ”
ถังหนิงไม่ได้ตอบโต้ขณะที่หันหลังเดินจากไป
เดิมทีเมื่อถังหนิงมาถึงวิทยาลัยและถูกกีดกันจากชาวต่างชาติ เธอคิดไว้ว่ามันคงไม่ได้เป็นปัญหาตราบใดที่เธอไม่สนใจพวกเขา แต่ตอนนี้หันซิวเช่อที่เพิ่งมาถึงกลับทำให้เธออึดอัดใจไม่น้อย
“ทำไมคุณถึงไม่ร่วมทำหนังกับผมล่ะครับ บางทีผมอาจจะพอช่วยคุณได้นะ ยังไงการ์ตูนไซไฟของผมก็ได้รับความนิยมอยู่ อีกอย่างคุณจะทำหนังให้เสร็จด้วยตัวคนเดียวเหรอครับ”
“คุณนี่น่ารำคาญจริงๆ ”
หันซิวเช่อนึกไม่ถึงว่าถังหนิงจะปฏิเสธเขาอย่างไร้เยื่อใยขนาดนี้
เธอเข้ากับคนอื่นได้ยาก เธอเพียงทุ่มเทดูแลคนสนิทของเธอเท่านั้น
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็รู้ซึ้งว่าถังหนิงถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ ทว่ามันกลับยิ่งทำให้เขานึกสนใจมากกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ประธานโม่สัมผัสได้ถึงความอันตรายของชายคนนี้ได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่เคยคลางแคลงใจกับฝีมือถังหนิงในการรับมือกับเพศตรงข้าม เพราะภรรยาของเขาไม่เคยทำให้เขาต้องเป็นกังวล หากแต่มีบางอย่างที่เขายังต้องคอยจับตามอง
“คนต่างชาติพวกนี้ชอบเหยียดนักแสดงเอเชีย
“ไม่มีใครให้เกียรติฉันเลย เมื่อก่อนฉันเคยได้ยินเรื่องนี้อยู่แต่ไม่เคยเจอกับตัวเองจังๆ อย่างนี้มาก่อน” ถังหนิงถอนหายใจหลังจากเรียนมาทั้งสัปดาห์
“คุณถูกรังแกเหรอครับ”
“ก็ไม่เชิงหรอกค่ะ ฉันแค่ไม่ชอบที่ถูกเลือกปฏิบัติน่ะค่ะ” ถังหนิงตอบ “เทียบจากในสังคมฉันก็พอเข้าใจว่าเป็นเพราะพวกเขาเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวเอง แต่พอเป็นในวิทยาลัยแล้ว…”
“เราทำอะไรกับเรื่องนั้นไม่ได้นี่ครับ เราล้าหลังกว่าเขาจริงๆ นั่นแหละครับ”
ถังหนิงพยักหน้าด้วยความเข้าใจ ในฐานะประธานกรรมการบริหารของไห่รุ่ย เขาคงประสบพบเจอกับการปฏิบัติอย่างนี้มามากกว่าเธอนัก
นักแสดงเอเชียน้อยคนนักที่จะได้รับการให้เกียรติในโลกตะวันตก แม้ว่าพวกเขาจะค่อยๆ มีตัวตนและหลายสิ่งกำลังเริ่มเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาก็ยังไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมแสดงในภาพยนตร์สักเรื่อง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เจอในช่วงไม่กี่วันแรกนั้นเป็นเพียงฉากโหมโรงของการเหยียดหยามที่เธอจะได้พบในอีกไม่ช้า เพราะในเวลาต่อมาตัวอย่างที่อาจารย์ได้ยกขึ้นมาพูดทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกฉีกหน้าไม่มีชิ้นดี
“พอพูดถึงเรื่องของภาพยนตร์ ผมอยากจะขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง บางประเทศที่ผลิตหนังออกมาปีละ หนึ่งร้อยห้าสิบเรื่องในช่วงสิบปีล่าสุดที่ผ่านมา แต่กลับไม่มีสักเรื่องที่ได้ก้าวขึ้นสู่เวทีระดับโลก บอกผมได้ไหมว่านี่หมายความว่าอะไร มันหมายความว่าคุณภาพหนังของพวกเขายังอยู่ในขั้นธรรมดาน่ะสิ
“บางทีผู้กำกับของพวกเขาอาจจะยังอยู่ในโรงเรียนประถมหรือยังไม่ตื่นดีก็ได้…
“พวกเขาสร้างหนังขึ้นมาอย่างชุ่ยๆ ได้แต่อาศัยกระแสปากต่อปากเพื่อสร้างรายได้ให้สมน้ำสมเนื้อ ถึงไม่เคยตั้งใจสร้างหนังขึ้นมาเลย
“ว่ากันตามจริงคือพวกเขาเป็นนักธุรกิจไม่ใช่ผู้กำกับ
“พวกเขาก็แค่เห็นแก่เงินไม่ใช่จิตวิญญาณ
“แต่หนังเป็นศิลปะรูปแบบหนึ่ง! และไม่มีใครควรดูถูกงานศิลปะ! ผมถึงได้คาดว่าในสิบปีข้างหน้า ประเทศนี้ก็ยังจะสร้างหนังที่ไม่อาจสู้กับหนังในตลาดตะวันตกได้อยู่ดี”
ความหมายและการเหยียดหยามเบื้องหลังคำพูดเหล่านี้ก็เห็นกันได้ชัดอยู่แล้ว ถังหนิงจึงไม่อาจอยู่เฉยได้
เธอเงยหน้าขึ้นและตอกกลับด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว “ฉันเห็นด้วยกับคำพูดบางส่วนของอาจารย์เท่านั้นค่ะเพราะท่าทีเย่อหยิ่งของคุณไม่ได้คู่ควรกับความเคารพเลย
“อย่างที่คุณพูดว่าเรายังมีเรื่องที่ต้องพัฒนาอีกมาก แต่ในอีกสิบปีข้างหน้าความเปลี่ยนแปลงของเราจะทำให้ตลาดในโลกตะวันตกต้องสั่นสะเทือนด้วยความกลัวแน่ค่ะ”
“ถ้าคุณรับความเห็นของผมไม่ได้ทำไมถึงโผล่มาอยู่ในชั้นเรียนของผมล่ะครับ” อาจารย์ถามกลับ
เขากำลังชี้ให้เห็นว่าชาวเอเชียยังต้องมาเรียนในวิทยาลัยตะวันตกเพื่อเรียนรู้ความหมายที่แท้จริงของภาพยนตร์
หากพวกเขามีความสามารถนักก็คงพึ่งพาตัวเองไปแล้ว!
“เพราะฉันยอมรับว่าเรายังมีจุดด้อยไงคะ แต่ฉันเชื่อว่าเราจะสามารถเรียนรู้และสร้างผลงานออกมาได้ค่ะ”
“หืม คุณน่ะเหรอ สร้างผลงานเหรอ พวกคุณเข้าใจเรื่องลิขสิทธิ์กันหรือยังล่ะ”
“ไม่ค่ะ เราไม่เข้าใจ แต่เรากำลังเรียนรู้อยู่ค่ะ ไม่มีใครรู้ว่าในอีกสิบปีโลกจะเป็นยังไง เรามีคำพูดหนึ่งในโลกตะวันออกที่หมายความว่าไล่ตามทัน ฉันมั่นใจว่าอาจารย์คงเข้าใจว่าฉันกำลังพยายามจะสื่ออะไรนะคะ”
อาจารย์ถึงกับนิ่งงันไปอย่างไม่อาจโต้เถียงคำของถังหนิงได้
เขาทำได้เพียงออกอาการฉุนเฉียว “อย่ามาเข้าร่วมชั้นเรียนของผมอีก ถ้าคุณไม่ยอมก็ฟังจากด้านนอกไปซะ”
ถังหนิงปิดหนังสือก่อนหัวเราะออกมา “ที่แท้อาจารย์ก็ถูกข่มขู่ด้วยเรื่องความก้าวหน้าของชาวตะวันออกสินะคะ…”
“ออกไปซะ!”
ถังหนิงไม่ได้ปริปากออกมาอีกขณะที่เธอเดินเชิดหน้าก้าวออกไปจากห้อง
และตอนนั้นเองที่หันซิวเช่อได้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของถังหนิง
หญิงสาวคนนี้รักประเทศบ้านเกิดของเธอมากขนาดนี้ได้ยังไงกัน ท่ามกลางสถานการณ์ที่เธอสามารถทำให้กลายเป็นเรื่องขัดแย้งใหญ่โต เธอก็ยังกล้าหาญที่จะท้าทายอาจารย์ เธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาเรียนหนังสือหรอกหรือ เธอหาเรื่องอาจารย์หลังผ่านไปเพียงอาทิตย์เดียวได้อย่างไร
หันซิวเช่อตัดสินใจเข้าไปคุยกับถังหนิงหลังเลิกเรียน แต่ขณะที่เขาเดินตามเธอออกมาจนถึงประตูวิทยาลัย เขาก็เห็นเขาก้าวขึ้นรถของโม่ถิงไป
ทั้งคู่หายลับไปจากสายตาของเขาอย่างรวดเร็ว
จริงอยู่ที่เธอแต่งงานแล้ว…
และยังมีลูกอีกสามคน
หันซิวเช่อพลันรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมา
ถังหนิงเอาแต่นิ่งเงียบหลังก้าวขึ้นมาบนรถ ทว่าโม่ถิงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของภรรยา “คุณไปมีเรื่องมาเหรอครับ”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ” ถังหนิงตอบ “ฉันแค่ไปพูดจาหาเรื่องอาจารย์ในชั้นเรียนเข้าน่ะค่ะ”
“โอ๊ะ คุณนี่ อายุเกือบจะสามสิบแล้วนะครับคุณยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีกเหรอครับ แต่…คุณก็ทำดีแล้วล่ะครับ ถ้าใครทำให้คุณไม่พอใจผมจะทำให้เขาไม่พอใจกลับเองครับ” โม่ถิงหัวเราะออกมา “แล้วสรุปเรื่องจบลงยังไงล่ะครับ”
“เขาบอกไม่ให้ฉันเข้าเรียนคาบของเขาอีกค่ะ”
“รุนแรงขนาดนั้นเลยเหรอครับ” โม่ถิงถามแต่เขาดูไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย “ถ้าคุณไปเข้าเรียนไม่ได้ก็ไม่ต้องไปครับ คุณสอนตัวเองได้อยู่แล้วครับ”
“คุณนี่รู้ใจฉันจังเลยนะคะ” ถังหนิงค่อยๆ เอนซบไหล่โม่ถิง “คนพวกนี้เคยชินกับการทำตัวอวดดี ไม่รู้จักให้เกียรติและส่งต่อความรู้ที่ตัวเองมีอย่างบริสุทธิ์ใจ เลยมีหลายอย่างที่ฉันควรจะสอนตัวเอง
“แต่ยังไงฉันเองก็อยากที่จะใช้เวลาในกองถ่ายตะวันตกมากกว่า ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นที่ที่ดีที่สุดในการเรียนรู้น่ะค่ะ”
“ไม่ครับ ก่อนที่คุณจะทำอย่างนั้นคุณควรเข้าเรียนคาบของอาจารย์คนนั้นให้มากกว่านี้นะครับ ยิ่งเขาไม่อยากเจอหน้าคุณเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องไปโผล่ให้เขาเห็นเท่านั้น ผมอยากให้เขารู้ซึ้งถึงการก้มหัวให้กับกองเงินกองทอง อยากจะเห็นคนอวดดีอย่างเขาขอโทษคุณ!”
“เขาจะทำอย่างนั้นเหรอคะ” ถังหนิงถาม