ตอนที่ 479-2 ค่ายกลกระบี่ที่ไม่สมบูรณ์

พันธกานต์ปราณอัคคี

ระยะเวลาหนึ่งเดือนวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เคล็ดหลอมโอสถเคล็ดแล้วเคล็ดเล่าไหลซึมลงไปในเตาหลอม เตาหลอมส่งเสียงดังอื้ออึง ทันใดนั้นก็มีแสงสายหนึ่งลอยขึ้นมา แสงนั้นพุ่งออกมาจากกลางเตาหลอม

 

 

มั่วชิงเฉินลอบทำท่ามุทรา ฝ่ามือยักษ์เลือนรางที่ส่องแสงเป็นประกายเหนือหัวมุ่งตรงไปใต้เตาหลอม มั่วชิงเฉินคว้าเอาไว้ จากนั้นมันก็ตกอยู่ในกำมือของมั่วชิงเฉินทันที

 

 

มั่วชิงเฉินกางฝ่ามือออก โอสถสีม่วงสองเม็ดเปล่งประกายแวววาว เต็มไปด้วยปราณวิญญาณ

 

 

นางถอนหายใจเสียงต่ำ และเปิดประตูออกไป

 

 

ประมุขตระกูลอู๋ที่นั่งหลับตาอยู่เงียบๆ ใต้ต้นสาลี่ลืมตาขึ้นมาทันที เขาเดินไม่กี่ก้าวก็มาอยู่ตรงหน้ามั่วชิงเฉิน “สหาย เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เห็นท่าทางกระตือรือร้นของเขา นางยื่นขวดหยกหนึ่งขวดให้เขา “สำเร็จแล้ว แต่มีเพียงแค่สองเม็ดเท่านั้น”

 

 

สองเม็ด หมายถึงหนึ่งในเด็กสามคนนั้นคงไม่มีวาสนากับยาลูกกลอนนี้

 

 

ประมุขตระกูลอู๋ผงะ จากนั้นทำท่าคารวะแก่มั่วชิงเฉิน “หลอมโอสถวิญญาณสวรรค์มิใช่เรื่องง่าย หลอมออกมาได้สองเม็ดก็นับว่าเป็นเรื่องโชคดียิ่ง บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้า นางมองไปทางประมุขตระกูลอู๋ “หวังว่าเด็กน้อยวันนั้นจะได้ยาลูกกลอนนี้หนึ่งเม็ด”

 

 

“ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน” ขณะประมุขตระกูลอู๋พูดมือก็หยิบสิ่งหนึ่งออกมา “สหาย นี่คือของขวัญขอบคุณ โปรดรับไว้เถิด”

 

 

มั่วชิงเฉินรับมา พบว่าเป็นกระบี่เล็กๆ เล่มหนึ่ง เพียงแต่กระบี่เล่มนี้มีความหนาไม่เท่ากระบี่วิญญาณทั่วไป นางหัวใจเต้นระรัว ปลายนิ้วกดกระบี่เล่มเล็กไว้แล้วร่ายอาคม กระบี่ทั้งหมดสิบเล่มตัวอักษรหนึ่งตัวก็เผยออกมา

 

 

“นี่คือ…ค่ายกลกระบี่หรือ” มั่วชิงเฉินออกจะประหลาดใจ ชุดค่ายกลกระบี่นี้ พบได้ยากในโลกผู้บำเพ็ญเพียร

 

 

เห็นได้ว่าประมุขตระกูลอู๋พอใจกับปฏิกิริยาของมั่วชิงเฉิน เขาหัวเราะฮ่าๆ พลางเอ่ย “สหายสายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก แท้จริงแล้วนี่คือชุดค่ายกลกระบี่ ทว่า เป็นค่ายกลกระบี่ที่ไม่สมบูรณ์ชุดหนึ่ง”

 

 

“ค่ายกลกระบี่ที่ไม่สมบูรณ์?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว

 

 

ประมุขตระกูลอู๋เอ่ย “กระบี่สิบเล่มนี้ มีกระบี่หลักหนึ่งเล่ม กระบี่รองเก้าเล่ม เวลาใช้กระบี่หลักจะอยู่ตรงกลาง กระบี่รองจะล้อมอยู่รอบๆ ศัตรู ที่กล่าวว่ามันเป็นค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์ ก็เพราะตอนที่ผู้แซ่อู๋ได้มันมาก็พบว่ากระบี่หลักเสียหาย และวิญญาณกระบี่ดั้งเดิมก็สลายไปแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินมองกระบี่หลักสีดำนั่นอย่างเป็นธรรมชาติ นางใช้ปลายนิ้วลูบไล้กระบี่ช้าๆ พร้อมกับพูดว่า “คิดไม่ถึงว่ากระบี่เล่มนี้จะเคยมีวิญญาณกระบี่ ก็ถือว่าหายากแล้ว”

 

 

ปกติแล้วหากกระบี่เล่มหนึ่งเคยให้กำเนิดวิญญาณกระบี่ ภายหลังด้วยเหตุผลบางอย่างวิญญาณกระบี่จึงสลายไป หากจะให้กำเนิดวิญญาณกระบี่ใหม่ก็จะง่ายกว่ากระบี่ทั่วๆ ไปอยู่บ้าง

 

 

ประมุขตระกูลอู๋พยักหน้า “ใช่ ถ้าหากว่าวิญญาณกระบี่ยังอยู่ในกระบี่หลักเล่มนี้ มันคงเป็นของวิเศษที่ดีให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดใช้ต่อสู้กับศัตรู แม้ว่าวันนี้อานุภาพของมันจะลดลง แต่ให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณใช้ก็ถือว่าเพียงพอ”

 

 

พูดจบก็มองวิญญาณกระบี่อย่างแสนเสียดาย ลอบพูดกับตัวเองว่าเสียดายที่เขาใช้กระบี่ไม่เก่ง อีกทั้งกระบี่เล่มนี้ยังได้รับความเสียหาย หากเก็บไว้ก็มิได้มีประโยชน์มากนัก อย่างดีก็ใช้เป็นของขวัญขอบคุณ

 

 

“เช่นนั้นก็ขอบคุณสหายอู๋มาก” มั่วชิงเฉินรู้สึกชอบกระบี่วิญญาณสิบเล่มนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น นางรับมาแล้วถาม “ไม่ทราบว่าค่ายกลกระบี่นี้มีนามหรือไม่”

 

 

“ไม่มี” ประมุขตระกูลอู๋กล่าว

 

 

ทั้งสองสนทนากันอีกเล็กน้อย ประมุขตระกูลอู๋ก็ขอตัวลา

 

 

มั่วชิงเฉินใช้เวลาอีกหลายวันในการศึกษาค่ายกลกระบี่ที่ได้มาใหม่ นางคิดว่าถ้าอยากใช้ให้คล่องก็ต้องใช้เวลาศึกษา จึงเก็บกระบี่และตัดสินใจไปหลอมโอสถปราณหยาง

 

 

ใช้เวลาถึงครึ่งปี โอสถปราณหยางหลอมสำเร็จทั้งหมดสองเตาจากห้าเตา ได้โอสถวิญญาณมาทั้งหมดสิบเม็ด มั่วชิงเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะทุ่มเทกับการศึกษาค่ายกลกระบี่อย่างเต็มที่

 

 

ในตอนนั้นตู้รั่วที่กลับมาจากหาประสบการณ์ก็ไม่ไปไหนอีก กลางวันฝึกเคล็ดวิชาคาถาและทำความคุ้นเคยกับอาวุธเวท กลางคืนฝึกบำเพ็ญเพียร พลังยุทธ์และพละกำลังของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

 

 

เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรทุ่มเททำอะไรบางอย่างแล้ว เวลาก็มักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วอย่างมิรู้วันรู้คืน ผ่านไปถึงสามปี ในตอนที่เยี่ยเทียนหยวนเปิดประตูออกมาอย่างอารมณ์ดี มั่วชิงเฉินก็กำลังฝึกค่ายกระบี่ เล่นอย่างมีความสุข

 

 

กระบี่วิญญาณเก้าเล่มบินวนลงมา รวมตัวกันล้อมเยี่ยเทียนหยวนเอาไว้ตรงกลาง จากนั้นก็กลายเป็นภาพกระบี่เต็มท้องฟ้าพุ่งเข้าโจมตีเขา เจตจำนงกระบี่รุนแรง ลมเหมันต์กดทับลงมา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยกมือทั้งสองข้างซ้อนกัน จากนั้นอ้าแขนออก ห่วงสีทองกลายเป็นภาพลวงตาพุ่งออกไป แสงสีทองวูบไหว เสียงเคร้งๆ ดังกังวาน เหมือนคนจำนวนมหาศาลกำลังต่อสู้กันในสนามรบ จากนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบ ห่วงสีทองเก้าวง ทุกวงล้อมกระบี่วิญญาณหนึ่งเล่ม ตกลงยังมือของเขา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนถือกระบี่วิญญาณที่ยึดได้และก้าวยาวๆ ตรงไปยังมั่วชิงเฉิน หยุดยืนอยู่หน้ามั่วชิงเฉิน เขายื่นมือลูบผมของนางอย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นพูดอย่างจนใจ “ชิงเฉิน เจ้าจะสังหารสามีหรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินกลอกตา นางยึดค่ายกระบี่ของนางกลับคืนมา ถอนหายใจและเอ่ย “เหตุใดผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดถึงได้ต่างกันมากเช่นนี้”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนฉุดนางให้นั่งลง มุมปากมีรอยยิ้ม “เจ้ามิได้เพิ่งรู้วันนี้เสียหน่อย”

 

 

มั่วชิงเฉินเบะปาก ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

 

 

แน่นอนว่านางรู้ความแตกต่างระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด แต่ความแตกต่างนี้คือของนางกับคู่บำเพ็ญเพียร นี่มันไม่ดีเอาเสียเลย

 

 

“ชิงเฉิน เจ้าไม่สบายใจหรือ” หลังจากอยู่ด้วยกัน เยี่ยเทียนหยวนก็ว่องไวเฉียบแหลมขึ้น

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา “แน่สิ ก็นี่หมายถึงว่าฝ่ายหนึ่งมีกำลังเหนือว่า”

 

 

ถ้าหากในอนาคตเขาทำอะไรให้นางไม่พอใจ อยากจะต่อยตีเสียให้เข็ดก็คงทำไม่ได้

 

 

เยี่ยเทียนหยวนไม่รู้ว่าภรรยาตัวน้อยของเขาได้เตรียมแผนการไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้นาง กระซิบข้างใบหูว่า “เจ้าอยากจะมีกำลังเหนือกว่า ข้าก็ไม่มีปัญหา”

 

 

สายตาของเขาสะอาดบริสุทธิ์ ท่าทางจริงจัง ไม่ได้คิดแม้แต่น้อยว่าประโยคเมื่อครู่นั้นไร้ศีลธรรมเพียงใด

 

 

มั่วชิงเฉินส่งสายตาเชือดเฉือน ใบหน้าก็ยังคงแดงอย่างห้ามไม่ได้

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือออกไปโอบไหล่นาง สายตาจ้องไปยังกระบี่วิญญาณ “ชิงเฉิน ค่ายกลกระบี่นี้มาจากที่ใดกัน”

 

 

เขาหยิบกระบี่วิญญาณขึ้นมาดูอย่างละเอียด

 

 

มั่วชิงเฉินเล่าถึงที่มาของมันให้เขาฟัง เห็นเยี่ยเทียนหยวนขมวดคิ้ว นางจึงถามขึ้น “ทำไมหรือ เทียนหยวน มีอะไรพิกลหรือ”

 

 

น้อยครั้งที่เยี่ยเทียนหยวนจะไม่ตอบ เอาแต่มองกระบี่แต่ละเล่ม ท้ายที่สุดก็หยิบกระบี่หลักมาพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่ใหญ่

 

 

มั่วชิงเฉินจึงเก็บเสียงหัวเราะ สีหน้าเคร่งขรึม

 

 

ในที่สุดเยี่ยเทียนหยวนก็ดูเสร็จแล้ว เขามองมั่วชิงเฉินด้วยสีหน้าอ่านไม่ออก “ชิงเฉิน ค่ายกลกระบี่นี้คงจะคงอยู่มาตั้งแต่บรรพกาล”

 

 

“อะไรนะ” มั่วชิงเฉินตกใจจนเบิกตากว้าง

 

 

คราวนี้เยี่ยเทียนหยวนพยักหน้าอย่างมั่นใจ เขาลูบกระบี่ “เจ้าดูลวดลายบนกระบี่สิ ฝีมือการหลอมเช่นนี้ในตอนนี้นั้นไม่มีทางหลอมได้ และข้าดูกระบี่ทุกเล่มอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีเงาของขั้นตอนการหลอมอาวุธในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นข้าจึงคิดว่าค่ายกระบี่ชุดนี้คงจะเป็นอาวุธเวทที่ไม่สมบูรณ์จากบรรพกาล”

 

 

มั่วชิงเฉินไม่เข้าใจว่าอะไรคือขั้นตอนการหลอมอาวุธในตอนนี้ อะไรคือขั้นตอนการหลอมอาวุธในยุคโบราณ อย่าพูดถึงการดูลวดลายอะไรนั่น แต่นางก็เชื่อเยี่ยเทียนหยวนอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ รู้สึกราวสวรรค์โยนขมเปี๊ยะลงมา

 

 

และขนมเปี๊ยะชิ้นนั้นทั้งชิ้นใหญ่และหอมหวาน ตรงเข้ามากระทบยังปากของนาง

 

 

เสียงของเยี่ยเทียนหยวนดังขึ้นอีกครา “น่าเสียดายที่เป็นของชำรุด มีพลังมากกว่าอาวุธเวทธรรมดาเล็กน้อย หากถึงระดับก่อกำเนิดแล้ว เกรงว่าจะใช้ไม่ได้เสียแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินผ่อนลมหายใจ นี่มันก็ถูกแล้ว ประมุขตระกูลอู๋มิใช่คนโง่

 

 

“แต่ว่า ข้าจะลองฟื้นคืนส่วนที่เสียหายส่วนหนึ่ง แม้ว่าจะขาดวิญญาณกระบี่จึงไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้ทั้งหมด แต่ก็แกร่งกว่าอาวุธเวททั่วไปไม่น้อย ยามถึงระดับก่อกำเนิดก็คงจะใช้ต่อได้…” เยี่ยเทียนหยวนพูดต่อ

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าถมึงทึง “เทียนหยวน เจ้าพูดให้จบในคราวเดียวได้หรือไม่”

 

 

“เอ่อ ข้าพูดจบแล้ว” เยี่ยเทียนหยวนตอบตามตรง

 

 

มั่วชิงเฉินลูบหน้าผากตัวเอง นางต้องรีบฝึกฝนให้ถึงระดับก่อกำเนิด ความรู้สึกที่อยากจะทุบตีคนอื่นแต่ก็ทำไม่ได้เช่นนี้ เป็นบาดแผลภายในจริงๆ

 

 

วันเวลาต่อจากนั้น พวกเขาก็อยู่ในป่าดอกสาลี่นานถึงสิบสองปี วันนี้ในตอนเช้า ทั้งสามคนก็เดินทางจากไปอย่างเงียบๆ