ตอนที่ 480 เขาหักเซียนข้ามยาก

พันธกานต์ปราณอัคคี

วันนั้นที่เยี่ยเทียนหยวนบำเพ็ญตบะจนบรรลุระดับก่อกำเนิด แม้ว่าเขาจะได้พบหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองคนนั้นเพียงชั่วครู่ แต่ว่าพวกเขาก็ใช้จิตสัมผัสทิ้งข้อมูลที่อยู่เอาไว้

 

 

นอกจากธรรมเนียมแล้วก็ตรึกตรองได้ว่าพวกไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับเทือกเขาหักเซียนทางฝั่งนู้นของเกาะเสี้ยวจันทร์เลยแม้แต่น้อย พวกเขาทั้งสามคนจึงตัดสินใจเดินทางไปพบกับสองคนนั้น

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดทั้งสองพำนักอยู่บนเกาะหลัวฝู เกาะหลัวฝูเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในเกาะเสี้ยวจันทร์ ทั้งยังเป็นสถานที่ที่ระดับการบำเพ็ญเพียรสูงส่ง มีสำนักบำเพ็ญเพียรและตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรมากมาย บนถนนมีผู้บำเพ็ญเพียรมากกว่าคนธรรมดา

 

 

เพียงแต่คนทั้งสองไม่ได้อาศัยอยู่ในจวนเจ้าเมือง อาศัยการตามหาจากข้อมูลที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านพื้นถิ่นสองหลังที่เชื่อมถึงกัน

 

 

มองบ้านตรงหน้าแล้วก็เกิดคำถามขึ้นในใจ ประตูบานใหญ่เปิดออกอย่างแรง ข้างในมีเด็กผู้ชายในชุดขาวตัวเป็นๆ ยืนอยู่ เห็นพวกมั่วชิงเฉินก็ถามขึ้นมาเสียงดังฟังชัด “พวกเจ้าเป็นใคร”

 

 

“พวกเรามาคารวะท่านเจินจวิน” มั่วชิงเฉินพูดพลางยิ้ม

 

 

“เจินจวินอะไรกัน พวกเจ้ามาผิดที่แล้ว ที่นี่ไม่มีเจินจวินอะไรนั่น” พูดจบเด็กชายก็ปิดประตู

 

 

แสงวิญญาณพลันพุ่งกระทบประตู เด็กชายปิดประตูไม่สำเร็จ เยี่ยเทียนหยวนเอ่ยเสียงเรียบ “เจินจวินของพวกเจ้าเชิญข้ามาเอง”

 

 

เขายืนเงียบอยู่ตรงนั้น ราวกับภูเขาสูงที่ไม่สามารถปีนข้ามผ่านไปได้ สีหน้าของเขาออกจะเย็นชาห่างเหิน ทำให้ภูเขาสูงลูกนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะ แม้จะสว่างราวจันทรา แต่ก็หนาวจับใจ

 

 

เด็กคนนั้นมองไปทางเยี่ยเทียนหยวน ตาทั้งสองข้างกะพริบปริบๆ คาดไม่ถึงว่าจะกลัวจนร้องไห้ “ชิงเฟิง มีคนมาหาเรื่อง!”

 

 

ประตูของบ้านข้างๆ เปิดออกมาดังเอี๊ยด เด็กชายคนหนึ่งรีบรุดออกมาทันที เด็กคนนี้หน้าตาเหมือนกับเด็กคนเมื่อครู่ทุกส่วน ยกเว้นเสื้อผ้าที่เป็นสีเขียวอมฟ้า กอดไม้เท้าไว้ในอ้อมกอดและตะโกนออกมา “ใครมาก่อเรื่อง ใครกัน”

 

 

เด็กที่มาก่อนพลันชี้นิ้ว

 

 

เด็กที่มาทีหลังยื่นหน้ามอง และถูกปราณพลังที่แผ่ออกมาของเยี่ยเทียนหยวนทำให้ตกใจในทันที แม้ว่าพลังยุทธ์ของเขาจะมีเพียงผิวเผิน แต่จากการที่อยู่กับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดตลอดวัน เขาก็เดาได้ว่าคนตรงหน้าเองก็อยู่ในขั้นนั้นเช่นเดียวกัน เขารีบหดไม้เท้ากลับมา และถลึงตามาเด็กคนก่อนหน้า “หมิงเย่ว์ เจ้าไม่พูดให้ชัดเล่า เขาเคาะประตูบ้านเจ้า แล้วเจ้าเรียกข้าทำไม!”

 

 

พูดจบก็กลับออกไปรวดเร็วปานอสนีบาต จากนั้นปิดประตูดังปัง

 

 

คนที่เหลืออยู่ได้แต่จ้องหน้ากัน

 

 

หมิงเย่ว์ร้องไห้สะอึกสะอื้น ยื่นมือและชี้ไปทางประตูที่ติดกัน “เจินจวินทั้งสองท่านเล่นหมากรุกอยู่ด้านนั้น ถ้าเจ้าจะเคาะ ก็อย่าเคาะผิดประตู”

 

 

นายเป็นเยี่ยงไร บ่าวก็เรียนรู้มาเยี่ยงนั้น เด็กรักษาประตูเป็นเช่นนี้ ดูท่าว่านายของเขาเองก็คงจะไม่ต่างกันมากนักกระมัง

 

 

มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนสบตากัน อยู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจกับการมาในครั้งนี้

 

 

“เทียนหยวน หันหลังกลับตอนนี้ยังทันอยู่หรือไม่” มั่วชิงเฉินถาม

 

 

“เกรงว่า…ไม่ทันแล้ว”

 

 

เสียงของเยี่ยเทียนหยวนเพิ่งจะสิ้นสุดลง ประตูติดกันก็เปิดออก ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดสองคนเดินตามกันออกมา คนหนึ่งลากคอเด็กเฝ้าประตูออกมา ยิ้มเขินอายและบอกกับเยี่ยเทียนหยวน “เด็กดื้อรั้น ทำให้สหายต้องหัวเราะเยาะ”

 

 

อีกคนเสื้อผ้าสีดำดั่งหมึก ลักษณะท่าทางเหมือนมีอายุเพียงยี่สิบต้นๆ เขายิ้มเนือยๆ ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ เขาพูดออกมาเรียบๆ “ในที่สุดสหายก็มาแล้ว”

 

 

สถานการณ์เช่นนี้ การทักทายกันระหว่างผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด ทางที่ดีผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำอย่าได้ปริปาก

 

 

ในอดีตตอนที่ยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณ เยี่ยเทียนหยวนพูดน้อย ส่วนใหญ่คนที่ออกหน้าจะเป็นมั่วชิงเฉิน แต่ตอนนี้นางทำได้เพียงยืนเงียบๆ อยู่ข้างหลัง ฟังเยี่ยเทียนหยวนตอบอย่างไม่แยแส แต่ก็ไม่เสียมารยาท

 

 

เหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเองก็มีนิสัยแปลกๆ เพียงแค่พูดน้อยนับว่าธรรมดาและไม่เสียหายอะไร

 

 

ในตอนที่ทั้งสองคนพาพวกเขาเข้าไป ก็รีบลากเยี่ยเทียนหยวนไปเล่นหมากรุก เพราะต้องการให้เขาบอกว่าใครเก่งกว่าใครเพียงแค่นั้น เยี่ยเทียนหยวนเพียงเงียบอยู่อึดใจ ในตอนที่ทั้งสองคนเริ่มวางมวยกัน มั่วชิงเฉินเองก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดียิ่งนัก

 

 

“สหายลั่วหยางมาจากดินแดนเทียนหยวนหรือ” เมื่อผู้บำเพ็ญเพียรในชุดสีน้ำตาลผู้มีสมญานามทางเต๋าว่ากวนฉีเจินจวินได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนหยวน ก็กวาดตามองเฟยอวี่เจินจวินผู้บำเพ็ญเพียรในชุดสีน้ำหมึกเล็กน้อย พลางหัวเราะหึๆ “พี่มั่ว ไม่คิดเลยว่าพี่จะมาเจอคนบ้านเดียวกัน”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมึนงง กวาดตามองมั่วชิงเฉินเล็กน้อย จากนั้นมองไปทางเฟยอวี่เจินจวินพลางเอ่ย “ผู้บำเพ็ญเพียรเฟยอวี่มาจากดินแดนเทียนหยวนเช่นนั้นหรือ พูดแล้วก็บังเอิญนัก คู่บำเพ็ญข้าน้อยก็แซ่มั่ว”

 

 

เฟยอวี่เจินจวินพินิจพิเคราะห์มั่วชิงเฉิน จากนั้นก็ยิ้มสบายๆ “แม้ว่าตระกูลของข้าจะมิได้มีชื่อเสียงมากมายนัก แต่ก็มีลูกหลานมากมาย สหายลั่วหยาง ไม่แน่ท่านก็อาจจะเป็นลูกหลานของข้า”

 

 

ได้ยินว่าเฟยอวี่เจินจวินมาจากเทียนหยวน อีกทั้งยังแซ่ ‘มั่ว’ มั่วชิงเฉินหัวใจเต้นระรัว คิดว่าเขาเกี่ยวข้องกับตระกูลมั่วจริงๆ เพียงได้ยินเขาบอกว่าตระกูลเขาไม่มีชื่อเสียง มีลูกหลานมากมาย ก็รู้ว่านี่คือการถ่อมตัว บ่งบอกว่าตระกูลนี้เป็นตระกูลเซียนที่ลึกลับและสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งไม่ตรงกันกับประโยคต่อไป “แซ่มั่วของอนุชน มาจาก ‘มั่ว’ ที่หมายถึงมิอาจปล่อยไปมิอาจลืมเลือน”

 

 

“มิอาจปล่อยไปมิอาจลืมเลือน?” เฟยอวี่เจินจวินยิ้มสดใส “‘มั่ว’ ของข้าหมายถึงน้ำหมึก อาศัยอยู่ที่เมืองชิงมู่”

 

 

“ตระกูลมั่วแห่งชิงมู่หรือ” มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนสบตากัน ยิ้มก่อนจะพูด “ในเมื่อท่านพูดเช่นนี้ ข้าเองก็มีสหายสนิทผู้หนึ่ง น่าจะเป็นลูกหลานของผู้อาวุโส”

 

 

“หืม” เฟยอวี่เจินจวินเลิกคิ้วเรียวยาว

 

 

“เขามีนาวว่ามั่วหลีลั่ว มาจากตระกูลมั่วแห่งเมืองชิงมู่เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินตอบ

 

 

“มั่วหลีลั่ว? นางหนูคนนั้นนะหรือ นางเป็นเช่นไรบ้าง” เฟยอวี่เจินจวินถาม แต่ไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับตระกูลมั่วเมืองชิงมู่มากนัก

 

 

มั่วชิงเฉินจึงตอบว่า “สติปัญญาของนางดียิ่งนัก นางเข้าพรรคเหยากวงและฝากตัวเป็นศิษย์กับอวี้เจินจวิน ใช้ค่ายกลได้เก่งจนไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้ เพียงแต่ในช่วงแรกของความโกลาหลวิกฤตอสูร อวี้เจินจวินสิ้นชีวิต อนุชนและหลีลั่วจึงต้องพลัดจากกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเป็นเช่นไร”

 

 

เฟยอวี่เจินจวินจมอยู่ในความคิดชั่วขณะ จากนั้นมอบถุงเก็บวัตถุให้นาง “มีกี่คนกันที่คิดจะข้ามเขาหักเซียนกลับไปยังดินแดนเทียนหยวน น่าปีติยิ่งนักที่ได้ยินข่าวคราวของอนุชน นี่คงเป็นโชคชะตา รบกวนแม่นางช่วยนำสิ่งนี้ไปให้นางหนูนั่นด้วย”

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือออกไปรับ นางพยักหน้า

 

 

กวนฉีเจินจวินยิ้มก่อนจะเอ่ยปาก “พอได้แล้ว พี่มั่ว เข็นลูกหลานขนาดนี้ ไม่ต้องมาทำให้คนตัวคนเดียวเช่นข้าสะเทือนใจ มาเข้าเรื่องกันเถิด พวกเจ้าคิดจะข้ามเขาหักเซียน เห็นทีจะไม่ได้ง่ายดาย”

 

 

“ขอท่านโปรดชี้แนะ” เยี่ยเทียนหยวนกล่าว

 

 

“เทือกเขาหักเซียนทอดยาวร้อยหมื่นลี้ สูงเทียมเมฆ ระหว่างทางขึ้นดูเหมือนจะมีอสูรปีศาจน้อยลงเรื่อยๆ อาศัยความสามารถของสหายลั่วหยาง แน่นอนว่าเจ้าจะต้องปลอดภัย เพียงแต่ขาขึ้นนั้นง่ายแต่ขาลงกลับยาก อีกด้านหนึ่งของภูเขามีช่วงหนึ่งที่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณเซียน ถึงแม้มันจะบางเบา หากแต่ไม่ใช่สิ่งที่กายธรรมดาของเราจะรับไหว นี่คือที่มาของชื่อเขาหักเซียน” กวนฉีเจินจวินอธิบาย

 

 

เฟยอวี่เจินจวินกล่าวต่อ “ถูกแล้ว หากพวกเจ้าจะกลับไปยังดินแดนเทียนหยวน ไปทางตะวันออกจะดีเสียกว่า เหาะหนึ่งทศวรรษก็ถึงจวี้คูโจว เหาะต่ออีกสามทศวรรษจากจวี้คูโจวก็ถึงเฟิ่งหลินโจว จากนั้นก็ใช้ทางนั้เป็นทางกลับ ปีนั้นข้าเองก็ใช้เส้นทางนี้”

 

 

สี่ทศวรรษหรือ นี่คงเป็นเรื่องโกหก ก็ต้องเป็นเรื่องเหลวไหลแน่

 

 

“ผู้อาวุโสคงทราบ หากข้ามเขาหักเซียนไปแล้ว ดินแดนเทียนหยวนเองก็อยู่ห่างออกไปไม่มาก” มั่วชิงเฉินถาม

 

 

เฟยอวี่เจินจวินกล่าว “แม้ว่าจะไม่เคยมีใครข้ามเขาหักเซียนไปได้ แต่ในตอนที่ข้ารวบรวมแผนที่ดินแดนทั้งสิบฝั่งตะวันออก ได้เว้นที่ตรงนั้นไว้ อีกด้านคงจะเป็นมหาสมุทรแห้งแล้ง เดินทางต่อไปทางทิศตะวันตกก็จะพบกับทะเลขนาบใจ”

 

 

ได้ยินคำว่าทะเลขนาบใจ มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้ “เทียนหยวน พวกเราข้ามเขาหักเซียนกันเถอะ”