ตอนที่ 481 ปากว้าสูญเสียความสมดุล

พันธกานต์ปราณอัคคี

มีเรื่องราวมากมายที่ผู้อื่นกล่าวว่าไม่ควรทำ แต่ตัวเองก็อยากจะลองด้วยตัวเอง นี่นับเป็นทัศนคติอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะกับผู้บำเพ็ญเพียร หลังจากได้ยินมั่วชิงเฉินเอ่ยเช่นนั้น กวนฉีเจินจวินและเฟยอวี่เจินจวินก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พวกเขาให้ทั้งสามคนพักพิงอยู่หลายวัน

 

 

ทั้งสองคนนั้นคุ้นเคยกันมาก นับว่ายากกว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเพิ่มมาใหม่ พวกเขาจึงดึงตัวเยี่ยเทียนหยวนและอธิบายเคล็ดอาคมต่างๆ ไม่ก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็น แม้แต่มั่วชิงเฉินที่ดูอยู่ข้างๆ ยังได้รับความรู้ไปไม่น้อย

 

 

ในวันเดินทาง เจินจวินทั้งสองคนมาส่งทั้งสามคนที่เชิงเขาหักเซียนด้วยตัวเอง

 

 

“เฟยอวี่เจินจวิน ท่านจากบ้านเกิดมาหลายร้อยปีแล้ว ไม่วางแผนจะเดินทางไปกับพวกเราหรือ” มั่วชิงเฉินถามยิ้มๆ

 

 

เฟยอวี่เจินจวินส่ายหน้า “ตอนนี้ข้ายังไม่ได้วางแผนกลับไป สำหรับพวกเราแล้วที่ไหนอยู่แล้วสบายที่นั่นก็คือบ้าน จะที่ไหนก็เหมือนกัน”

 

 

กวนฉีเจินจวินหัวเราะ ตามด้วยพูดเสียงเบา “ท่านพูดความจริงออกมาเถิด ก็แค่กลัวสตรีนางหนึ่งจนมิอยากจะกลับไป จะปิดบังไว้อยู่ไย”

 

 

เฟยอวี่เจินจวินสีหน้าครึ้มหมือนก้นหม้อ เขายกแขนสู้ขึ้นและคิดจะสู้สักยก

 

 

เยี่ยเทียนหยวนรีบเอ่ย “สหายทั้งสอง หากท่านมาเทียนหยวน จะต้องมาเป็นแขกที่เหยากวง เวลาไม่เช้าแล้ว พวกเราคงต้องขอตัว”

 

 

อาวุธเวททรงใบไม้ขยายใหญ่ขึ้น เยี่ยเทียนหยวนและคนอื่นกระโดดขึ้นไป ค่อยๆ ทะยานขึ้นไปยังยอดเขาหักเซียน

 

 

ตู้รั่วเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณ ทว่ายืนบนอาวุธเวททรงใบไม้ อยู่ภายใต้การคุ้มครองของผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดอย่างเยี่ยเทียนหยวน แม้ว่าระหว่างทางสภาพแวดล้อมจะเลวร้ายจนไม่เหมาะกับมนุษย์ เขาก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ

 

 

ต้นไม้บนเขาหักเซียนอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ทำให้เกิดอสูรปีศาจขึ้นมากมาย อสูรปีศาจเหล่านี้ระดับไม่สูงนัก เพียงแค่รับรู้ถึงแรงกดดันจากเยี่ยเทียนหยวนต่างก็พากันหลบอยู่ในรัง ไม่กล้าโผล่ออกมา บางครั้งก็มีโผล่ออกมาตัวสองตัว ไม่ต้องรอให้เยี่ยเทียนหยวนลงมือ มั่วชิงเฉินเองก็จัดการเรียบร้อย ถลกหนังเราะกระดูกออกมาย่างบนอาวุธเวทเหาะเหิน

 

 

กลิ่นหอมของเนื้อในขณะนั้น ทำให้อสูรวิญญาณในถุงอดไม่ไหว ต้องรีบวิ่งออกมาเพื่อขอเนื้อ

 

 

เขาน้อยไร้เดียงสาและเป็นเด็กดี เมื่อกินนางก็กินอย่างมีมารยาท ค่อยๆ กินเนื้อที่มั่วชิงเฉินวางไว้ให้ในจานตรงหน้า ทว่าหมาป่าน้อยเมื่อเจออาหารก็เผยธาตุแท้ออกมา มันอ้าปากกว้าง หนึ่งคำก็กลืนลงไปมากถึงสามห้าจิน ความเร็วที่มั่วชิงเฉินย่างเนื้อเห็นได้ชัดว่าไม่ทันกับความเร็วที่มันกิน

 

 

นางมองเนื้อที่เพิ่งย่างเสร็จ จากนั้นแบ่งให้หมาป่าน้อยไปครึ่งใหญ่ๆ เพียงแค่พริบตาเดียวมันก็กินหมดแล้ว มันกระดิกหางใหญ่ของมันและมองมั่วชิงเฉินตาปริบๆ ท้ายที่สุดอีกาไฟก็โมโห มันพุ่งไปคว้าหางหมาป่าน้อยและพูด “เจ้ามันกินจุ กินเท่าไรก็ไม่พอ ตอนนั้นข้าคนนี้โง่งมมากหรืออย่างไรนะ ถึงได้เก็บเจ้ามาเลี้ยง ช่างเป็นความผิดพลาดที่น่าเสียใจไปตลอดชีวิตจริงๆ”

 

 

หมาป่าน้อยก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว ตอนนี้ร่างกายของมันมีขนาดเท่ากับลูกวัวตัวเล็ก ขนสีดำมันวาวปกคลุมทั่วร่างจนดูเหมือนผ้ากํามะหยี่ชั้นดี มันได้ยินอีกาไฟพูด ก็ยกขาหน้าขึ้นเช็ดปาก ใบหน้าไร้ความรู้สึกผิด “ท่านแม่ หมาป่าน้อยหิว”

 

 

เพียงประโยคเดียวก็เอาชนะอีกาไฟได้ อีกาไฟหน้าทนทุกข์ทรมานไปทั้งใบ รีบไปนั่งยองๆ ข้างมุมกำแพง

 

 

มั่วชิงเฉินลอบยิ้มมุมปาก มีประโยคหนึ่งว่าอะไรนะ ‘สิ่งหนึ่งย่อมชนะสิ่งหนึ่ง’ คงจะหมายถึงสถานการณ์เช่นนี้สินะ

 

 

นางถือเนื้อย่างไปตรงหน้าอีกาไฟ ยิ้มตาหยีพลางพูด “อู๋เย่ว์ หมาป่าน้อยกินเยอะตั้งแต่เกิด เจ้าอย่าได้ถือสาหาความเลย”

 

 

อีกาไฟสะบัดหน้าหนี

 

 

ตั้งแต่ฟักหมาป่าน้อยออกมา เจ้านี่ก็หยิ่งผยองขึ้นทุกวันๆ

 

 

มั่วชิงเฉินพูดขึ้นมาอย่างจนใจ “เอาล่ะๆ นี่มันก็หลายปีแล้ว ไม่ว่าจะโกรธแค่ไหนก็ควรหายโกรธได้แล้ว ก็แค่อยากหาสามีมิใช่หรือ รอกลับไปถึงเทียนหยวนแล้วข้าจัดการให้ดีหรือไม่”

 

 

อีกาไฟรีบหันกลับมา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเขินอาย “นายท่านมีคนที่เหมาะหรือ”

 

 

“เจ้าว่าต้าฮวาเป็นเยี่ยงไร” มั่วชิงเฉินถามหยั่งเชิง

 

 

“ต้าฮวา? เจ้าเสืออ้วนนั่นหรือ” อีกาไฟขบฟัน มันพูดออกไปด้วยความโมโห “นายท่าน ท่านช่วยทำตัวให้น่าเชื่อถือหน่อยได้หรือไม่ ไม่นับเรื่องที่พวกเราไม่ใช่เผ่าพันธุ์เดียวกัน ประเด็นคือนั่นมันตัวเมียเหมือนกัน!”

 

 

มั่วชิงเฉินถูจมูกอย่างเขินอาย วางเนื้อย่างลงและจากไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ช่างเถอะ หน้าที่หาคู่ให้อู๋เย่ว์นั้นยากเกินไป ปล่อยให้มันตัดสินใจเองนั่นแหละ

 

 

เมื่อกลับมาที่เดิม ก็เห็นเขาน้อยกับหมาป่าน้อยมองมาที่นางอย่างไร้เดียงสา จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

 

 

“อาจารย์ ทานอะไรสักหน่อยหน่อยเถอะขอรับ” ตู้รั่วส่งเนื้ออสูรที่ย่างแล้วมาให้นาง

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมืออกไปรับ มองไปทางตู้รั่ว “ตู้รั่ว นี่หมายความว่าอย่างไร”

 

 

ตู้รั่วนั่งตัวตรง ใบหน้าไม่รู้สึกผิด “ศิษย์เองก็เป็นเช่นนี้มาตลอด”

 

 

มั่วชิงเฉินจ้องอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าเด็กนี่ สู้พวกเขาน้อยไม่ได้ อยากจะหัวเราะก็หัวเราะออกมาสิ เอาแต่ทำท่าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่ได้ ไม่รู้ว่าเช่นนี้ดีกว่าหรืออย่างไร

 

 

ไม่กล่าวถึงมั่วชิงเฉินที่เริ่มกลั่นแกล้งลูกศิษย์อีกแล้ว ยิ่งอาวุธเวททะยานสูงขึ้นเท่าไร ความเร็วก็ยิ่งลดลง

 

 

ทะเลหมอกค่อยๆ อยู่ใต้เท้า หิมะอันหนาวเหน็บสะสมอยู่บนยอดเขา ทำให้เกิดลมหนาวที่สามารถแทรกซึมไปได้ทุกที่ อากาศที่แผ่ซ่านมาจากทุกทิศมีเศษเกล็ดหิมะปะปนอยู่

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเคลื่อนพลังวิญญาณให้ซึมเข้าไปในอาวุธเวทเหาะเหิน จู่ๆ อาวุธเวททรงใบไม้ก็เล็กลงจนเหลือเพียงหนึ่งจั้ง เพียงพอให้คนสามคนยืนได้เท่านั้น

 

 

อสูรวิญญาณทั้งสามตนถูกมั่วชิงเฉินไล่กลับเข้าไปในถุงอสูรวิญญาณ หลังจากอาวุธเวทหดลงแล้วกำลังก็มากขึ้น จนกันลมหนาวจากข้างนอกได้

 

 

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็มีเพียงผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณเช่นตู้รั่วเท่านั้นที่ยังคงต้านทานไม่ค่อยได้

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นสภาพเช่นนี้ก็จับมือของเขาไว้ และถ่ายพลังวิญญาณไปให้

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเดินมา ดึงมืออีกข้างของเขาไว้และพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร “ชิงเฉิน ข้าจัดการเอง”

 

 

“ไม่จำเป็น” มั่วชิงเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส

 

 

เยี่ยเทียนหยวนข่มอารมณ์จนหน้าแดง นานกว่าจะพูดออกมา “เอ่อคือ…ข้ามีระดับพลังสูงกว่าเจ้า…”

 

 

“เอ่อ..” มั่วชิงเฉินกลั้นยิ้ม แสร้งทำเป็นนั่งสงบๆ อยู่อีกด้านของอาวุธเวทใบไม้ พลางชมทิวทัศน์ภูเขาและหิมะ

 

 

เขาหักเซียนสูงเทียมฟ้า เดินทางขึ้นไปเช่นนี้เหมือนจะลอยขึ้นไปยังปลายขอบฟ้า

 

 

บินมาแล้วเกือบหนึ่งเดือน ในที่สุดกลุ่มคนทั้งสามก็เหยียบลงบนยอดเขาหักเซียน

 

 

เวลานี้เป็นเวลากลางดึก มองจากบนยอดเขาก็พบว่าท้องฟ้าอยู่ต่ำมากจนต้องกลั้นหายใจ ดวงดาราเปล่งประกายประดับอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืน ใกล้เพียงเอื้อม

 

 

สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน มังกรหิมะเคลือบประกายน้ำแข็งแวววาวม้วนขดเริงระบำอยู่ตรงหน้าคนทั้งสาม

 

 

เยี่ยเทียนหยวนปกป้องมั่วชิงเฉินและตู้รั่ว เพื่อเดินทางไปอีกด้านของยอดเขา

 

 

ยามยืนอยู่บนหน้าผา เห็นแสงวิญญาณเป็นจุดเล็กๆ ดูราวกับหิ่งห้อยกำลังบินวน ในตอนที่เมฆหมอกม้วนตัวก็เห็นชั้นสีทองชั้นแล้วชั้นเล่า ประหนึ่งชายประโปรงของนางฟ้า งดงามเกินบรรยาย

 

 

“ชิงเฉิน เจ้าดูปราณวิญญาณเซียนพวกนี้สิ เกือบจะปลกคุลมทั่วทั้งทางลงเขา” เยี่ยเทียนหยวนพูดและยกมือขึ้น ห่วงสีทองประหนึ่งดาวตก พุ่งตรงออกมาจากเมฆสีทอง เกิดเป็นประกายไฟมากมาย

 

 

ห่วงสีทองที่ปรากฏออกมาช่วยเพิ่มพลังวิญญาณให้แก่เขามาก อีกทั้งมันยังแผดเผาเกิดเป็นเปลวไฟดวงอาทิตย์สีแดงชาด ทำลายปราณวิญญาณเซียนไปหลายส่วน แต่ครู่ต่อมาปราณวิญญาณเซียนเหล่านั้นก็พุ่งเข้ามาอีก ห่วงสีทองสีหม่นลงราวกับมีสติปัญญา มันลอยกลับเข้าไปในมือของเยี่ยเทียนหยวนด้วยความกลัว

 

 

มั่วชิงเฉินมองลงไปและพูดเสียงเบา “เทียนหยวน ให้ข้าลองดูเถิด”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนถอยหลังหนึ่งก้าว มองดูว่ามั่วชิงเฉินจะลงมืออย่างไรเงียบๆ

 

 

มั่วชิงเฉินหรี่ตาลง ลูกปากว้าเทพมารที่อยู่บริเวณจุดตันเถียนค่อยๆ ขยับเคลื่อนจนโผล่ออกมาจากกลางฝ่ามือข้างขวา

 

 

ลูกปากว้าเทพมารไม่สามารถออกจากร่าง มั่วชิงเฉินจึงยื่นมือข้างขวาไปข้างหน้าและเดินลงไปหนึ่งก้าว

 

 

ปราณวิญญาณเซียนที่กระจายทั่วบริเวณอยู่อย่างเบาบางรีบพุ่งเข้ามา มั่วชิงเฉินรู้สึกราวกับผิวหนังทุกชุ่นของนางถูกเฉือน เจ็บจนเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนกัดริมฝีปากบางของตนไว้ มือบีบห่วงสีทองแน่น เมื่อเห็นว่านางไม่ถอย เขาจึงอดทนไว้และไม่ไปรบกวนนาง

 

 

ดูเหมือนปราณวิญญาณเซียนที่พุ่งมาจะได้กลิ่นอะไรบางอย่าง จึงรีบพุ่งเข้าหามือขวาของมั่วชิงเฉิน

 

 

ลูกปากว้าเทพมารลอยขึ้นมาจากฝ่ามือ ห่างจากมือไปไม่ถึงสามชุ่น หมุนวนอยู่ท่ามกลางปราณวิญญาณเซียน

 

 

ทุกรอบที่มันหมุนก็ดูดกลืนปราณวิญญาณเซียนลงไปทีละน้อย ส่วนสีขาวของลูกปากว้าเทพมารค่อยๆ เข้มขึ้น ทันใดนั้นส่วนสีดำก็สว่างวาบขึ้นมา แรงผลักที่มองไม่เห็นทำให้ปราณวิญญาณเซียนที่พุ่งเข้ามาถูกผลักออกไป พื้นที่แคบๆ ที่มิอาจเข้าพลันว่างเปล่า

 

 

มั่วชิงเฉินถอนหายใจ

 

 

โชคดีที่กายนางทนทาน แม้ว่าปราณวิญญาณเซียนจะทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก แต่ก็ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไป ที่เพียงสัมผัสเข้านิดเดียวก็อันตรายถึงขั้นกายระเบิดจนดับสูญ เจ้าลูกปากว้าเทพมารนี้มีประโยชน์ในแบบที่นางคิดเอาไว้

 

 

“เทียนหยวน เจ้าคุ้มกันตู้รั่วและเดินตามหลังข้า” มั่วชิงเฉยกล่าวพร้อมกับออกเดินลงไปข้างล่าง

 

 

การเดินทางท่ามกลางปราณวิญญาณเซียน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเช่นเยี่ยเทียนหยวนก็มิอาจใช้อาวุธเวทเหาะเหิน ไม่เช่นนั้นอาวุธเวทก็จะปล่อยพลังวิญญาณที่ดึงดูดการโจมตีจากปราณวิญญาณเซียน ทั้งสามคนจึงทำได้แค่ออกเดินไป

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ทุกย่างก้าวที่ออกเดินจึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก โดยเฉพาะกับผู้นำทางอย่างมั่วชิงเฉิน ถึงแม้การควบคุมลูกปากว้าเทพมารจะไม่ได้เปลืองพลังวิญญาณ ทว่าภายใต้การกัดกร่อนของปราณวิญญาณเซียน ร่างกายของนางก็เริ่มจะทนไม่ไหว เลือดหยาดเล็กๆ ผุดออกมาจากผิวหนัง กลิ้งกลอกลงไปตามพื้นทางเดิน ย้อมสีแดงลงบนทางเดินที่เต็มไปด้วยฝุ่นธุลี

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บไปทั้งหัวใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ใบหน้าเย็นชาเสียยิ่งกว่าหิมะ

 

 

แม้ว่าเส้นทางลงเขาจะมีปราณวิญญาณเซียนอยู่แค่ช่วงหนึ่ง ทว่าระยะทางช่วงนั้น ทั้งสามคนเดินทางมาถึงครึ่งปีก็ยังไม่พบกับปลายทาง

 

 

ในวันนี้ทั้งสามคนพบว่าภาพตรงหน้ามีการเปลี่ยนแปลง หมอกควันที่ห่างออกไปสิบจั้งแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวธรรมดา

 

 

“เทียนหยวน พวกเราจะได้ออกไปแล้ว” มั่วชิงเฉินดีใจมาก นางหันไปยิ้ม

 

 

ในตอนนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน ลูกปากว้าเทพมารที่ล่องหนอยู่ในมือนางมาตลอดจู่ๆ ก็สว่างขึ้นและมืดลง เดี๋ยวขยายใหญ่เดี๋ยวหดเล็กลง

 

 

ดูเหมือนแรงกดจำนวนมากพุ่งกระแทกเข้ากับช่องท้องของนาง มั่วชิงเฉินกระอักออกมาเป็นเลือด

 

 

ปราณวิญญาณเซียนที่เข้าไปในลูกปากว้าเทพมารหนีออกมาข้างนอก

 

 

ชั่วพริบตานั้น เยี่ยเทียนหยวนก็สะบัดแขนเสื้อ ห่วงสีทองทั้งก้าวอันพุ่งออกมา พวกมันเชื่อมกันจนเกิดเป็นวงกลมที่ตรงกลางกลวง ทันใดนั้นก็ปลดปล่อยลำแสงออกมากระจายไปไกลหมื่นลี้ มองเห็นมังกรอัคคีคำรามและพุ่งตัวออกมา มันอ้าปากและกลืนปราณวิญญาณเซียนลงจนสิ้น

 

 

เยี่ยเทียนหยวนคว้าตัวมั่วชิงเฉินและตู้รั่ว จากนั้นพุ่งออกไปด้วยความเร็วปานสายฟ้า

 

 

เสียงปังดังขึ้น ร่างทั้งร่างของเยี่ยเทียนหยวนชนเข้ากับหน้าผาสูงชันเหมือนกำแพง หน้าผาที่ถูกชนเกิดรอยแยก ตามด้วยเศษหินที่ร่วงลงมา

 

 

ทั้งสองคนที่ถูกเขาคุ้มกันเอาไว้ยืนนิ่ง เพียงแต่มั่วชิงเฉินสีหน้าซีดขาวดุจหิมะ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลง นางจ้องเขม็งไปที่ลูกปากว้าเทพมารในมือ

 

 

ลูกปากว้าเทพมารหมุนตัวเร็วขึ้น ส่วนสีขาวที่ดูดกลืนปราณวิญญาณเซียนไปไม่น้อยหยิ่งผยอง ดูเหมือนอยากจะกลืนส่วนสีดำลงไปด้วย

 

 

แต่ส่วนสีดำไม่ยอม มันอาละวาด

 

 

ลูกปากว้าเทพมารเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด ดูเหมือนจะพังทลาย