ตอนที่ 482 ตันเถียนเกิดการเปลี่ยนแปลง

พันธกานต์ปราณอัคคี

สิ่งนี้เคยเป็นเหมือนระเบิดเวลาซ่อนที่อยู่ในกาย ไล่ก็ไล่ไม่ไป จะจับก็จับไม่ได้ ทำให้นางกลัวอยู่นาน ต่อมาก็รวมกันเป็นลูกปากว้า ปราณวิญญาณเทพมารที่นางรอคอย อยู่ๆ ก็จะสลายไปเช่นนี้หรือ

 

 

ความเสียใจสายหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของมั่วชิงเฉิน แค่ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ลูกปากว้าเทพมารที่เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดนั่นพุ่งเข้าไปในกายนางรวดเร็วดั่งดาวตก

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง พริบตาเดียวเขาก็มาอยู่ตรงหน้ามั่วชิงเฉิน คว้าข้อมือของนาง ส่งพลังวิญญาณเข้าไปอย่างต้องการจะให้ลูกปากว้าเทพมารออกมา

 

 

ลำแสงสีดำและสีขาวพัวพันกัน แสงวิญญาณวาบขึ้นมาอย่างฉับพลัน เยี่ยเทียนหยวนถูกปราณเทพมารดีดเข้าใส่ ใบหน้าขาวซีดราวกระดาษ

 

 

“เทียนหยวน ท่านอย่ายื่นมือเข้ามาเลย ปราณเทพมารร้ายแรงมาก มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดจะต้านทานได้”

 

 

ลูกปากว้าเทพมารเข้ามาในสถานที่ที่คุ้นเคยมันก็โอนอ่อนลงชั่วคราว แต่หลังจากนั้นมันก็พุ่งเข้าไปอยู่ในตันเถียน

 

 

ความเจ็บปวดที่ส่งมาเหมือนมีดหั่นหมูที่กำลังลับคมอยู่ตรงขั้วหัวใจของนาง เลือดจากหัวใจนางพุ่งออกมา ภายในกายคละคลุ้งไปด้วยโลหิต ท้ายที่สุดมันก็ปิดกั้นจิตสัมผัสของนาง

 

 

ทันใดนั้นร่างของนางก็ลอยขึ้น กระแทกเข้ากับหน้าผาอย่างแรง จากนั้นก็กระเด็นลงมา หน้าผาถูกปราณเทพมารกระทบเข้าเต็มๆ จึงเกิดเป็นรอยยุบรูปคน

 

 

ลูกปากว้าเทพมารที่ทะเลาะกันเองทำให้ร่างของนางลอยขึ้นไปอีกครั้ง ร่างทั้งร่างของนางชนเข้ากับหน้าผา ครั้งนี้มั่วชิงเฉินร่วงลงมาบนร่างอบอุ่นและอ่อนนุ่ม ความเจ็บจึงเพลาลงไปมาก

 

 

เลือดสดๆ ไหลออกมาจากจมูกและปากของเยี่ยเทียนหยวน หยดลงบนใบหน้าของมั่วชิงเฉิน

 

 

“เทียนหยวน ท่านไม่ต้องมาแตะข้า ร่างของท่านทนปราณเทพมารไม่ได้…” มั่วชิงเฉินกัดฟัน ริมฝีปากมีรอยฟัน

 

 

ไม่ทันให้นางได้พูดจบ ร่างของนางก็ดีดขึ้นไปอีกครา ลอยขึ้นไปกลางอากาศและก็พุ่งลงมา เยี่ยเทียนหยวนรีบพุ่งไปข้างหน้าและรับร่างของนางไว้อย่างแม่นยำ

 

 

ทันใดนั้นปราณเทพมารทั้งหมดก็พุ่งเข้าสู่ร่างของเขา ผิวหนังเริ่มมีหยดเลือดไหลออกมา

 

 

“เทียนหยวน ท่านอย่าทำตัวเขลานัก ข้าชนเข้ากับหน้าผานั่นก็ไม่เจ็บเท่าไหร่” มั่วชิงเฉินหอบตามด้วยพูด

 

 

ร่างกายพุ่งขึ้นและตกลงมาอีกครั้งและอีกครั้ง เยี่ยเทียนหยวนไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่น้อย ทว่ารับนางไว้ได้อย่างมั่นคงทุกครั้ง ไม่นานชายเสื้อสีเขียวอมฟ้าของทั้งสองก็เปื้อนไปด้วยเลือด

 

 

ตู้รั่วกัดริมฝีปากแน่น กำมือจนเส้นเลือดขึ้น เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกไร้ความสามารถ ไร้พลัง ไร้ค่าเช่นฝุ่นผงรุนแรงเช่นนี้ ทำให้เขาอยากจะเอาหัวโขกกำแพง แต่ก็พบว่าเรื่องแค่นี้เขาเองก็ทำไม่ได้

 

 

ความเงียบและความหดหู่ทำให้เขารู้สึกมวนท้อง น้ำตาคลอประหนึ่งมีพายุโหมกระหน่ำ

 

 

ปราณวิญญาณจากทุกที่เริ่มพุ่งเข้ามา ตู้รั่วที่อยู่ตรงกลางหลับตาทั้งสองข้างลงเบาๆ แสงวิญญาณรอบกายเปล่งประกายดั่งแสงจันทร์

 

 

ทันใดนั้นเขาก็เริ่มเลื่อนขั้นไปยังระดับสร้างรากฐานอย่างไม่ได้ตั้งใจ!

 

 

จิตใจของตู้รั่วค่อยๆ สงบลง ลืมความวุ่นวายทุกอย่าง กลืนโอสถสร้างรากฐานลงไปโดยไม่รู้ตัว

 

 

แม้ว่ามั่วชิงเฉินที่ชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตรายและร่างกายกำลังเจ็บปวดจากรอยเฉือนมากมาย แต่นางก็ยังมีสติอยู่ เมื่อเห็นท่าทางแปลกไปของตู้รั่ว นางก็ฝืนยิ้มออกมา

 

 

โชคดีที่เมื่อสองปีก่อนตู้รั่วเลื่อนขั้นเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณขั้นสมบูรณ์ นางจึงมอบโอสถสร้างรากฐานให้ เจ้าเด็กคนนี้ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่รีบเลื่อนขั้นเป็นระดับสร้างรากฐาน ทว่าพยายามฝึกฝนทุกวัน เพื่อสร้างรากฐานให้ดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จู่ๆ ก็จะได้เลื่อนขั้นไปเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐาน

 

 

ปกติแล้วสถานการณ์เลื่อนขั้นไปเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอย่างกะทันหันเช่นนี้ มีอัตราการสำเร็จสูงกว่าตั้งใจกลืนโอสถสร้างรากฐานลงไปเสียอีก อีกทั้งหลังจากสำเร็จแล้วรากฐานจะมั่นคงกว่าอีกด้วย

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรที่ปฏิบัติตามใจตนเอง ท้ายที่สุดแล้วก็จะแข็งแกร่งกว่ามาก

 

 

มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น ใช้ม่านบังตาล้อมตู้รั่วเอาไว้ แม้ว่าร่างกายที่ถูกปราณเทพมารโจมตีจนลอยขึ้นยากควบคุม ทว่านางก็บังคับกายให้ออกไปไกลจากตู้รั่ว

 

 

ด้านหนึ่งคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงสองคนกำลังรับบทลงโทษอันโหดร้าย อีกด้านคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณที่กำลังเลื่อนขั้นไปยังระดับสร้างรากฐาน ทัศนียภาพที่อัศจรรย์เช่นนี้พบได้ยากในรอบพันปี โชคดีที่ยอดเขาหักเซียนแห่งนี้เพิ่งจะปล่อยปราณวิญญาณเซียนออกมา อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่นกตัวหนึ่งก็ยังไม่มี จึงปลอดภัยจากอันตราย

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนนางก็พุ่งขึ้นและตกลงมาอีกครั้ง เลือดในกายของนางก็ไหลออกมามาก วูบหนึ่งที่จิตสัมผัสของนางมองเห็นดอกไม้เลือดจำนวนมากเบ่งบานอยู่ในจิตใจของนาง จากนั้นก็หล่นลงไปยังชีพจรตันเถียน จากนั้นตกลงบนลูกปากว้าเทพมาร

 

 

ลำแสงของลูกปากว้าเทพมารพลุ่งพล่าน เกิดเสียงดังปังจากนั้นระเบิดแยกออกจากกัน

 

 

ตามด้วยความมืดมิดปกคลุมทั่วท้องฟ้า

 

 

หนึ่งเดือนกว่าๆ ผ่านไป จู่ๆ บนเขาหักเซียนก็มีลมกรรโชกแรง ผลึกหิมะและเสียงหวีดหวิวพัดผ่านราวกับเสียงควบของอาชาหมื่นตัว

 

 

สายลมทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พายุสีเขียวอ่อนพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ในตอนที่มันกำลังจะพุ่งเข้าชนดวงอาทิตย์ก็วกหัวกลับ จากนั้นก็พุ่งตรงไปบริเวณที่ตู้รั่วอยู่

 

 

ลำแสงสีเขียวหยกแพรวพราวก่อตัวเป็นเสาแสงหนึ่งสาย พุ่งขึ้นไปยังหมู่เมฆ สะท้อนให้เมฆขาวบนฟ้ากลายเป็นสีเขียวใส

 

 

ลมสีเขียวหยกพัดเมฆขาวออกไป พัดผ่านหน้าผาบางเบา หิมะสีขาวกลายเป็นธารน้ำใสไหลเอื่อยๆ ตามซอกหิน

 

 

เมื่อสายลมพัดผ่านฤดูใบไม้ผลิก็มาเยือน ม่านบังตาหยุดลง ชายคนหนึ่งในชุดสีดำ ท่าทางเหมือนสายลมที่พัดผ่านต้นสนค่อยๆ ย่ำย่างออกมา

 

 

ดวงตาหงส์ของเขาเหลือบขึ้นเล็กน้อย ดูบริสุทธิ์และสดใส รวมถึงความฉลาดปลาดเปรื่องและท่าทางที่ทำให้คนใจอ่อน แสงวิญญาณที่รายล้อมอยู่รอบกาย ทำให้คนมองรู้สึกราวกับเทพเทวา พร้อมจะกลับไปกับสายลมได้ทุกเมื่อ

 

 

เขาก้าวออกมายาวๆ แสงวิญญาณรอบกายค่อยๆ กลับเข้าไปในร่าง ตู้รั่วรีบเดินเข้าไปหาเยี่ยเทียนหยวน

 

 

“เจินจวิน ท่านอาจารย์นางเป็นเช่นไรบ้าง”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนที่กลับมามีท่าทางเยือกเย็นราวน้ำแข็ง ใช้นิ้วมือเรียวยาวไล้แก้มของมั่วชิงเฉิน เขาเอ่ยเรียบๆ “นางแข็งแรงดี เพียงแต่ตอนนี้เวลายังไม่เหมาะจะฟื้นขึ้นมา”

 

 

แม้ว่าจะพูดเช่นนี้ ทว่าคิ้วลับขมวดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

 

 

หลายวันมานี้เขาเฝ้ามั่วชิงเฉินอยู่ตลอด ทั้งยังใช้จิตสัมผัสตรวจดูภายในกายของนางด้วย

 

 

ลูกปากว้าเทพมารกลับไปมีขนาดเท่าเล็บมือ อยู่ในตันเถียนของนางอย่างเงียบๆ ตันเถียนของนางไม่ได้รับความเสียหายใดๆ มากนัก แม้ว่าชีพจรของนางจะได้รับผลกระทบไม่น้อย ทว่าในตอนที่ทั้งสองผสานพลังเข้าด้วยกันก็กลับมาหายเป็นปกติแล้ว แต่ดวงจิตดั้งเดิมของนางยังไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้น แม้ว่าเขาจะทดลองสัมผัสด้วยจิตสัมผัสหลายครั้งแล้วก็ตาม

 

 

หากพูดถึงส่วนที่ผิดปกติ ก็คงจะเป็นตันเถียนของนางที่มีรัศมีอัญมณีสีขาวเพิ่มขึ้นมา แต่เขาก็หาคำตอบไม่ได้ว่ามีอะไรแตกต่างไป

 

 

ตู้รั่วฉลาดปราดเปรื่อง หลังจากกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานสติปัญญาของเขาก็สูงขึ้น เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนหยวนก็รับรู้ได้ว่าสถานการณ์ของมั่วชิงเฉินในตอนนี้ไม่ง่ายเช่นนั้น เพียงแต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดยังแก้ไม่ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานอย่างเขาจะเข้าใจได้ เขาไม่ได้พูดอะไรมากนัก นั่งลงเงียบๆ ที่อีกข้างของมั่วชิงเฉิน หลับตาลง และเริ่มบำเพ็ญเพียร

 

 

ทั้งสองคนไม่มีใครเสนอเรื่องการลงเขาออกมา

 

 

มั่วชิงเฉินหลับไปครั้งนี้ หลับนานถึงสามปี

 

 

สามปีนี้สำหรับเยี่ยเทียนและตู้รั่วนั้นช่างเชื่องช้าและยาวนานเหลือเกิน

 

 

คนหนึ่งเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดขั้นต้น อีกคนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานขั้นต้น ทางที่ดีสามปีนี้เหมาะจะทำให้ระดับพลังยุทธ์มั่นคง ทว่าสามปีก็ผ่านไปในพริบตา

 

 

เพียงแต่มั่วชิงเฉินที่หลับใหลมาตลอด ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นเมื่อใด แต่ละวันที่ผ่านไปยิ่งยากจะทำใจ

 

 

จนกระทั่งมั่วชิงเฉินลืมตาขึ้นมา ก็เห็นทั้งสองคนตกตะลึงอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็รีบเข้ามาช่วยประคอง นางจึงต้องเอ่ยปากบอก “ถ้าพวกเจ้าเข้ามาใกล้ข้าอีกหน่อยก็จะชนเข้ากับจมูกของข้าแล้ว”

 

 

ทั้งสองคนเหมือนเพิ่งตื่นจากห้วงฝัน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนดวงตาเป็นประกาย เขารีบกุมมือของมั่วชิงเฉินเอาไว้ “ชิงเฉิน เจ้าฟื้นแล้ว มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่”

 

 

ตู้รั่วลอบลดมือลง สีหน้ากลับไปยินดีเหมือนเดิม “อาจารย์ ท่านฟื้นแล้ว”

 

 

มั่วชิงเฉินมองทั้งสองคน จากนั้นยิ้มบางๆ “ใช่ ข้าฟื้นแล้ว ข้าหลับไปนานแค่ไหน”

 

 

“สามปี” เยี่ยเทียนหยวนตอบ

 

 

มั่วชิงเฉินเบิกตากว้าง “อะไรนะ นานขนาดนั้นเลยหรือ”

 

 

นางรีบลุกขึ้นนั่ง หลับตาและตรวจสอบภายในกายของนาง

 

 

สำหรับเยี่ยเทียนหยวนแล้ว เขาเพียงแค่ค้นพบว่าตันเถียนภายในกายของมั่วชิงเฉินมีเพียงรัศมีดั่งอัญมณีชั้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ทว่าเมื่อนางตรวจสอบก็พบว่ามีอะไรแปลกไปทันที

 

 

ตันเถียนของนางเปล่งประกาย ส่องสว่างราวกับดวงจันทร์ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคือสิ่งใด ความทนทานเองก็ดูเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นมาก

 

 

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนหากใช้ระเบิดสะท้านฟ้าหนึ่งร้อยลูก ก็สามารถระเบิดตันเถียนของนางจนเป็นจุลได้

 

 

ทว่าถ้าเป็นตันเถียนของนางในตอนนี้ก็คงจะสะเทือนแค่เล็กน้อยเท่านั้น

 

 

การเปลี่ยนแปลงของตันเถียน ปกติแล้วจะสะท้อนออกมาที่พลังวิญญาณ

 

 

คิดแล้วมั่วชิงเฉินก็เริ่มขยับแก่นทองคำ แก่นทองคำค่อยๆ ขยับ พลังวิญญาณสายแล้วสายเล่าปรากฏออกมา

 

 

ฝ่ามือค่อยๆ รวบรวมลูกวิญญาณเอาไว้ จากนั้นยื่นมือและโยนมันออกไป

 

 

เสียงปังดังขึ้น หน้าผาสั่นสะเทือน เศษหินกลิ้งลงมา

 

 

การโจมตีครั้งนี้ มั่วชิงเฉินใช้พลังวิญญาณไปเพียงเล็กน้อย จิตสัมผัสไม่ได้หายไปจากตันเถียนของนาง แต่กลับพบว่าชั่วพริบตาเดียวพลังวิญญาณที่หายไปก็ถูกเติมเต็ม

 

 

เป็นไปได้อย่างไร

 

 

ในใจบังเกิดความสงสัย มั่วชิงเฉินเคลื่อนลมปราณ ลูกวิญญาณที่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณถูกโยนออกไปอีกครั้ง

 

 

พลังวิญญาณที่หายไปก็ถูกเติมเต็มในชั่วพริบตาอีก

 

 

นางรู้สึกตื่นเต้น ยอมลุกขึ้น “เทียนหยวน ลองสู้กับข้าสักครา”

 

 

นางอยากจะรู้ว่าพลังวิญญาณในกายของนางจะหมดเมื่อไหร่ ไม่มีอะไรจะเปลืองพลังวิญญาณได้มากกว่าการต่อสู้

 

 

เยี่ยเทียนหยวนไม่รู้เหตุผล แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เห็นนางถือธนูเขียวซ่อนเร้นเอาไว้ มุมปากมีรอยยิ้มตื่นเต้น ธนูวิญญาณจำนวนมากก็ถูกยิงออกมา

 

 

สาวน้อยผู้นี้อยากลงมือกับข้ามานานแล้วใช่หรือไม่

 

 

เยี่ยเทียนหยวนประเมินสถานการณ์ ปลายเท้าลอยอยู่กลางอากาศ ห่วงสีทองเกิดเป็นภาพลวงตาจำนวนมากที่ล้อมธนูวิญญาณเอาไว้

 

 

ในการต่อสู่ภายใต้สภาวะปกติ ทุกครั้งที่ผู้บำเพ็ญเพียรต่อสู้ก็จะสูญเสียพลังวิญญาณภายในไปหนึ่งส่วน เช่นเดียวกับเคล็ดวิชาพิเศษบาง อย่างเช่นคลื่นมรกตเทใจของมั่วชิงเฉิน ด้วยความอยากใช้พลังวิญญาณทั้งหมดจึงลงมืออย่างรวดเร็ว

 

 

ทว่าตอนนี้ ทุกครั้งที่ลงมือมั่วชิงเฉินจะระดมใช้พลังวิญญาณเกือบแปดส่วน แม้ว่าจะเทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดไม่ได้ ทว่าสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้น่ากลัวมาก

 

 

เค่อต่อมา มั่วชิงเฉินร่อนลงบนพื้น มองเยี่ยเทียนหยวนพลางหอบหายใจ และยิ้มออกมา

 

 

นางรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตันเถียน

 

 

ลูกปากว้าเทพมารไม่ต่างกับเมื่อก่อน แสดงว่ามันสมดุลแล้ว และยังมีปราณวิญญาณเซียนเพิ่มขึ้นอีก คงจะเป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้ที่ทำให้ตันเถียนของนางแกร่งขึ้น

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกครั้งที่สูญเสียพลังวิญญาณ มันที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเข้ากับตันเถียน ก็จะเปลี่ยนปราณวิญญาณเซียนที่มีอยู่ให้กลายเป็นพลังวิญญาณที่ผู้บำเพ็ญเพียรใช้ได้

 

 

แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าพลังวิญญาณภายในกายของมั่วชิงเฉินจะไม่มีขีดจำกัด เมื่อสูญเสียพลังวิญญาณของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นปลายไปประมาณห้าเท่า ตันเถียนของนางก็จะไม่เติมเต็มพลังวิญญาณอีกและจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูสักพัก

 

 

แต่นี่ก็หมายความว่านางกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำกว่าก่อกำเนิดคนแรกที่ไม่มีจุดอ่อน!

 

 

ในเมื่อโชคตาเป็นเช่นนี้ มั่วชิงเฉินเองก็รู้สึกดีใจและรู้สึกโชคดีที่พลังนั้นคือปราณวิญญาณเซียน ถ้าหากเป็นปราณวิญญาณมารเช่นนั้นคงไม่ต้องพูดถึงการบำเพ็ญเพียรเลย เกรงว่าถึงตอนนั้นแม้แต่ผียังคงต้องกลัวนาง

 

 

หลังจากถอนหายใจอย่างโล่งอก มั่งชิงเฉินก็ออกปาก “เทียนหยวน ตู้รั่ว พวกเราลงจากเขากันเถิด”