ตอนที่ 165.4 ส่งสาส์น กับ ช่วยเหลือ (4)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เด็กสาวหดตัวเข้ามุมไป ร่างกายอ่อนเปลี้ย ดูเหมือนสิ้นหวังยิ่งนัก “พี่ชายทั้งสอง ขอร้องเถิด ปล่อยข้าไปได้หรือไม่…” 

 

 

คนเราเมื่อถึงคราวใกล้ตาย จะไม่กลัวได้อย่างไร อีกยังเป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบกว่าปี โจรป่าสองคนเห็นว่าสาวน้อยตรงหน้านั้นหวาดกลัวจนแทบเสียสติไป ก็หัวเราะกันขึ้นมาแล้วพูดเหยียดหยาม “ปล่อยเจ้าหรือ หากเจ้าเป็นสาวงาม ให้พวกข้าสองพี่น้องได้สนุกกันเสียหน่อย ไม่แน่ว่าพวกข้าสองคนยังพอจะโน้มน้าวท่านซานอิงได้บ้าง เจ้าไม่มีอะไรเลย มีประโยชน์อะไรบ้าง!” 

 

 

สาวน้อยยืดตัว พูดสะอึกสะอื้น “พี่ชายทั้งสอง บนข้อมือซ้ายของข้ามีสร้อยเส้นหนึ่ง เป็นรางวัลที่เจ้านายให้ข้าตอนสร้างผลงานที่ขัดขวางไม่ให้ทหารตระกูลเฉินเข้าเมืองในครั้งนั้น ถึงแม้จะไม่ใช่ของมีราคาอะไร แต่ก็มีราคามากกว่าเครื่องประดับตามท้องตลาด พวกท่านเอาไปเถิด…” 

 

 

โจรป่าก็คือโจรป่า จี้ปล้นของผู้อื่นเป็นนิสัย กับคนที่ใกล้จะตายแล้วนั้น เมื่อได้ยินว่าบนตัวนางมีของมีค่า จะไม่หวั่นไหวได้อย่างไร 

 

 

สายตาของทั้งสองเผยความโลภ คนหนึ่งเดินเข้าไปแล้วเอื้อมเข้าไปที่ข้อมือซ้ายของนาง เนื่องจากเชือกแก้มัดไม่ได้ จึงกระชากออกมาอย่างแรง เขาวางบนมือแล้วเขย่าชั่งดู เป็นของดีจริงอย่างว่า แล้วใช้แสงจากปากถ้ำส่องดู สร้อยนี้ทำด้วยเงิน เดิมทีไม่ได้มีมูลค่ามากมายนัก แต่แต่ละข้อคั่นด้วยไข่มุกหนึ่งเม็ด สลักเป็นลายดอกบัว ก็พอมีมูลค่าอยู่บ้าง เขาใบหน้ายิ้มแย้มดีใจ ได้ของแล้วจากไป 

 

 

เด็กสาวยังคงพูดเสียงสะอื้นไห้ ตะโกนอย่างอ่อนแรง “พี่ชายทั้งสอง พวกท่านได้ของข้าไป อย่าลืมปล่อยข้าด้วยนะ…” 

 

 

โจรป่าทั้งสองเหลียวหลังไปมองแล้วส่งเสียง หึ! ปล่อยหรือ ปล่อยให้โง่สิ โง่จริงๆ 

 

 

เสียงฝีเท้าค่อยๆ เงียบลง 

 

 

ในถ้ำนั้น ก็กลับคืนสู่ความเงียบสงัด 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเก็บเสียงร้องไห้โดยทันที แล้วโล่งใจไปได้เล็กน้อย คนพวกนี้ถึงแม้จะซ่อนตัวอยู่ แต่ก็ต้องหากินให้อิ่มท้อง จะต้องส่งคนออกไปซื้ออาหารเป็นแน่ 

 

 

รังเก่าของพวกเขาถูกทลายลงแล้ว ไร้เงินทองบนตัวสักแดง 

 

 

วันนี้ที่นำทัพลงเขามา คิดหวังว่าจะต้องชนะ ตอนนี้กลับต้องรีบร้อนหนีออกมา ก็ยิ่งไม่มีทางจะพกอาหารติดตัวมา ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูหนาว ถึงจะอยู่บนเขา สัตว์ทั้งหลายต่างก็หลบซ่อนตัวอยู่ในรัง อีกยังไม่มีของป่าหรือผลไม้อะไรประทังความหิวได้เช่นกัน 

 

 

หากได้เครื่องประดับไป จะต้องลงเขาไปแลกของแน่นอน 

 

 

หวังว่าเครื่องประดับนี้จะมีคนของทางการเห็นเข้า แล้วจะทำให้พวกเขารู้ว่าตนอยู่ที่ใด 

 

 

ขณะคิดไป นางก็สูดหายใจเข้าลึก ก้อนหินที่กำอยู่ในมือก็ไถลลงมาอยู่ที่ปลายนิ้ว แล้วก็เริ่มถูกับเชือกอีกครั้ง 

 

 

ผ่านไปสองวัน บรรยากาศในที่พักชั่วคราว เหมือนกับเดินอยู่บนเส้นด้าย หวาดผวาทุกย่างก้าว 

 

 

ผู้ตรวจราชการเหลียงทำตามคำบัญชาของฉินอ๋อง ปิดทางเล็กป่าทึบที่หลี่ว์ปาหนีไปวันนั้น ไม่ให้ใครเหยียบ แล้วตามหาตามรอยกีบเท้าที่หลี่ว์ปาขี่ม้าไป ลดขอบเขตการตามหาได้มากนัก 

 

 

แต่รอยกีบม้าวิ่งไปถึงแถวหุบเขาห่างไกลของตะวันออกของเมืองแล้วก็หายไป 

 

 

ที่นั่นผู้คนเบาบาง น่าจะเป็นที่ซ่อนของหลี่ว์ปา 

 

 

ล่างหุบเขานั้นเป็นบ้านเรือนของชาวไร่ชาวนา กระจัดกระจายไปทั่วเป็นวงกว้าง ทหารทางการใต้บังคับบัญชาของผู้ตรวจราชการเหลียง ทหารตระกูลเฉิน และทหารขององค์ชายแบ่งเป็นสามกลุ่ม จับคู่กันสองกลุ่ม ตามหาทีละบ้านทั้งวันทั้งคืนไม่หยุดหย่อนตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ 

 

 

แสงสว่างหายไป ความมืดมิดมาเยือน 

 

 

แสงไฟทั้งในและนอกแต่ละห้องในที่พักชั่วคราวสว่างขึ้นตามกัน 

 

 

ในห้องโถงหลัก บ่าวรับใช้เห็นว่าตั้งแต่ที่กลับมาจากการทลายรังในเมื่อวานแล้ว ท่านอ๋องสองวันนี้ไม่กินไม่ดื่ม กลางวันนำทัพออกค้นหาในตัวเมือง เมื่อกลับมาในที่พัก หากไม่ประชุมลับกับใต้เท้าซือ ก็เทียบดูแผนที่อย่างละเอียด พวกบ่าวยกอาหารเย็นที่อุ่นในห้องครัวเสร็จแล้วเข้ามาให้เป็นครั้งที่สาม 

 

 

เพิ่งจะวางลง ท่านอ๋องก็ผลักไปด้านข้าง แล้วก้มหน้าศึกษาแผนที่ตะวันออกของเมืองอย่างละเอียดใต้แสงไฟ 

 

 

ซือเหยาอันรอผู้ตรวจราชการเหลียงกลับมารายงานผลการค้นหาในวันนี้อยู่หน้าประตู เหลียวหลังมามอง ชายหนุ่มภายใต้แสงไฟก้มตัวลง ขอบตาดำคล้ำ เพียงเวลาไม่ถึงสองวันก็ดูซูบผอมลงมาก จึงถอนหายใจ แล้วหว่านล้อม “องค์ชายสามพักสักหน่อยเถิดขอรับ หากไม่สบายไปจะทำอย่างไรเล่าขอรับ” 

 

 

จะหยุดได้อย่างไร เขาไม่ขยับเลยสักนิด บนใบหน้าก็ไร้ซึ่งสีหน้าอารมณ์ 

 

 

กว่าจะยอมเงยหน้าขึ้นมา เหลือบมองดูข้างนอกเห็นความมืดมิดมาเยือน เขาก็ขมวดคิ้ว ฟ้ามืดแล้ว 

 

 

เวลานี้เอง มีคนเดินเข้ามาอย่างรีบร้อนจากด้านนอก เป็นผู้บัญชาการนายหนึ่งในที่พักชั่วคราว ได้รับหน้าที่การดำเนินการกฎอัยการศึกทั้งหมดตั้งแต่เมื่อวาน ตรวจตราผู้ต้องสงสัยตามท้องถนน 

 

 

เวลานี้ ผู้บัญชาการนายนั้นเข้ามาอย่างรีบร้อน คำนับเรียบร้อยแล้ว ก็ล้วงของสิ่งหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อแล้วส่งให้ กล่าวเสียงแผ่วเบา “ท่านอ๋อง วันนี้เวลาโพล้เพล้ ขณะที่ข้าน้อยนำขบวนลาดตระเวนในตลาด เดินผ่านหมู่บ้านทางตะวันออก มีนายพรานคนหนึ่งมอบสิ่งนี้ให้พวกเรา บอกว่าวันนี้ตอนกลางวันมีคนมาหาที่บ้าน ใช้สิ่งนี้แลกกับเนื้อวัวเนื้อแพะอย่างละยี่สิบจิน นายพรานเห็นว่าคนผู้นั้นหน้าตาดุร้าย ไม่เหมือนพลเมืองดี และยังเห็นว่าสร้อยเส้นนี้ถูกกระชากมา อีกยังเลอะเปรอะเปื้อน ไม่เหมือนเป็นเจ้าของสร้อย กลัวจะเป็นของกลาง จึงได้มารายงานกับพวกเราหลังจากเกิดเรื่อง ข้าน้อยให้คนมาวาดภาพรูปลักษณ์คนผู้นั้นตามที่นายพรานบอก แล้วนำกลับมาตรวจสอบ เป็นโจรป่าคนหนึ่งในสมุดรายชื่อที่กำลังตามจับอยู่พอดี ส่วนสร้อยเส้นนี้ ก็เหมือนของรางวัลของพระราชนิเวศน์ยิ่งนัก จึงได้นำกลับมาให้ท่านอ๋องดูขอรับ” 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงรับสร้อยมา ก็ตกตะลึง ซือเหยาอันเห็นจากด้านข้างก็พูดโพล่งออกมา “เป็น เป็นของพระ…แม่นางชิ่งเอ๋อร์นี่ หลังจากเรื่องทหารตระกูลเฉินครั้งนั้น ข้าน้อยให้ป้าอู๋ให้นางไปเป็นรางวัล” 

 

 

นางอยู่กับโจรป่าหรือ 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงลมหายใจชะงักไป หรี่ตาเล็กน้อย สร้อยเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ส่วนที่ต่อกันก็ถูกกระชากขาด สายตาก็มองตามไป ไข่มุกสลักลายดอกบัวเหมือนจริงยิ่งนัก กลีบดอกที่ยื่นออกมาใจกลางดอกไม้ที่เว้าลงไป ทุกที่ทำได้ละเอียดประณีตนัก 

 

 

เลอะเทอะเปรอะเปื้อนจริงๆ 

 

 

ใจกลางดอกไม้ที่เว้าเข้าไปนั้น มีหลายที่ที่มีดินติดอยู่ เนื่องจากรูเล็กยิ่งนัก ถึงจะใช้นิ้วแกะ ก็คงยากจะแกะออกมาหมด โจรป่าคิดจะเอามาแลกของ คิดว่าคงไม่ได้ว่าจะติดทนถึงเพียงนั้น จึงเอาให้นายพรานไปเลย ขุนนางก็นำกลับมาเช่นนี้เลยเช่นกัน 

 

 

“เอากระดาษขาวมา” เขากล่าวเสียงต่ำ 

 

 

ซือเหยาอันนำกระดาษขาวมาแผ่นหนึ่ง เห็นองค์ชายสามยกมือขึ้น ดึงปิ่นลายเหมันต์สามสหายบนมงกุฏที่รวบผมไว้ลงมา ปลายปิ่นนั้นแหลมคมนัก แล้วใช้แกะใจกลางดอกบัวนั้นจนดินหล่นลงมาบนกระดาษขาว สีสันชัดเจน สะดุดตานัก 

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้หยิบขึ้นมา แล้วดูอย่างละเอียดใต้แสงไฟ แล้วเอ่ยปากขึ้นมาทันใด “ในเมืองเยี่ยนหยางมีที่ใดมีดินโคลนแดงบ้าง” 

 

 

ผู้บัญชาการผู้นั้นเป็นขุนนางท้องถิ่น อีกยังเคยศึกษาสภาพภูมิประเทศของพื้นที่เมืองเยี่ยนหยาง ก็ชะงักไปสักครู่ แล้วจึงรีบตอบ “อยู่บนหุบเขาตะวันออกของเมืองขอรับ!” 

 

 

ซือเหยาอันเข้าใจความหมายขององค์ชายสามในทันที ก็รีบถาม “แม่นยำกว่านี้อีกได้หรือไม่” หุบเขาแต่ละลูกทางตะวันออกของเมืองกระจัดกระจายกันไป ป่าเขาถ้ำมีมากมายนัก จะหาคนสักคนก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย 

 

 

ขุนนางท่านนั้นคิดสักครู่แล้วพูดขึ้น “ดินโคลนแดงเช่นนี้มีไม่มากนัก น่าจะอยู่บนเขาทางเหนือ ที่นั่นมีสนสามเหลี่ยมอยู่ ต้องเป็นดินชนิดนี้เท่านั้นต้นสนสามเหลี่ยมจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ขอรับ” 

 

 

เวลานี้เอง ผู้ตรวจราชการเหลียงก็กลับมาแล้ว เพิ่งจะเข้าห้องโถงมายังไม่ทันได้รายงาน ก็เห็นฉินอ๋องปัดมือเอาดินออก แล้วยืดตัวตรง ใส่ชุดเกราะ สวมรองเท้าทหาร แล้วพูดขึ้น “เตรียมกำลังทหาร ไปหุบเขาแถบตะวันออกของเมือง เขาทางเหนือ” 

 

 

ผู้ตรวจราชการเหลียงได้ยินดังนั้น รู้ว่าน่าจะสืบอะไรได้ โจรป่ากลุ่มนั้นน่าจะอยู่บนแถบเขาทางเหนือ ก็ตกใจ “ค้นหาในเขากลางดึกนี้…” ยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นฉินอ๋องเดินออกประตูไป จึงได้แต่น้อมรับคำบัญชา