ซูฉิงเดินไปหาหมอ สายตาของเธอจ้องไปที่กล่องยา “พวกคุณมีเข็มไหมคะ?”
“มีครับคุณซู” หมอดูงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ยังหยิบเข็มเงินออกจากกล่องยาและส่งให้ซูฉิง
ซูฉิงฆ่าเชื้อเข็มเงินเล่มนั้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เดินไปข้างยวี๋น่า และพูดเบาๆ ว่า “ยวี๋น่า ตอนนี้อาการบาดเจ็บของอู๋เเทียนเหอสาหัสมาก แต่สามารถรักษาได้ ตราบใดที่เราเชิญอาฉีมารักษา ขาของเขาจะต้องไม่เป็นไร ตอนนี้ฉันจะฝังเข็มให้เขาก่อน ”
เมื่อยวี๋น่าได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาของเธอก็มีประกายสว่างขึ้นในทันใด
นั่นสิ ทำไมเธอถึงคิดไม่ถึงล่ะ?
ก่อนหน้านี้ที่ฮ่อหยุนเฉิงตกลงจากหน้าผาตอนช่วยซูฉิง ขาของเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก แต่อาฉีก็รักษาเขาจนหายดี
เมื่อคิดได้อย่างนี้ ยวี๋น่าก็คว้าแขนของซูฉิงอย่างตื่นเต้น และพูดขอร้องเธอ “ซูฉิงได้โปรดรักษาเทียนเหอด้วยนะ”
“เธอไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะทำให้ดีที่สุด” ซูฉิงพยักหน้า
ยวี๋น่าถอยหลังออกไป ซูฉิงเดินไปที่เปลหาม และก้มตัวลง
บาดแผลที่ขาของอู๋เทียนเหอถูกพันด้วยผ้าพันแผลแล้ว และรอยขีดข่วนและรอยถลอกรอบๆ ก็ได้รับการใส่ยาแล้ว แต่ผิวหนังที่รอบๆ น่องเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินและสีม่วงแล้ว ซึ่งดูน่ากลัวมาก
ซูฉิงหยุดชะงักก่อนจะเริ่มนึกถึงวิธีการฝังเข็มที่อาฉีสอนเธอในตอนแรก เธอหยิบเข็มเงินขึ้นมาและแทงไปที่จุดฝังเข็มบนขาของอู๋เทียนเหออย่างชำนาญ
ยวี๋น่ายืนอยู่ข้างๆ หัวใจของเธอเต้นแรง มือทั้งสองข้างของเธอจับกันแน่น นิ้วโป้งของเธอกดแน่นขนเลือดแทบไม่เดิน
เธอสวดมนต์อ้อนวอนอยู่ในใจ เทียนเหอนายจะต้องหาย!
อาจเป็นเพราะจุดฝังเข็มกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบวกกับความเจ็บปวด อู๋เทียนเหอจึงร้องออกมา คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว “โอ๊ย…”
“เทียนเหอ!” ยวี๋น่าสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของชายที่สลบอยู่ เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก เธอจับมือเขาแน่น พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ “นายฟื้นแล้วใช่ไหม?”
แต่ทว่าอู๋เทียนเหอกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
“ยวี๋น่า เขาไม่ฟื้นเร็วขนาดนั้นหรอก” ซูฉิงขมวดคิ้ว
สมาธิทั้งหมดของซูฉิงถูกรวบรวมอยู่ที่การรักษาขาขวาของอู๋เทียนเหอ เข็มมีทั้งหมด 5 เข็ม ซึ่งทำให้รอยช้ำสีม่วงที่ขาขวาทั้งหมดบวมและแพร่กระจายออกทันที
ยวี๋น่ารู้สึกผิดหวังอยู่พักหนึ่ง มองไปที่ชายที่เธอรักอย่างสุดหัวใจ ตอนนี้ชีวิตเขากำลังอยู่ในช่วงความเป็นความตาย เธออยากจะเข้าไปรับความทุกข์ทรมานนี้แทนอู๋เทียนเหอ
“พี่น่า ไม่ต้องกังวล พี่ต้องเชื่อในทักษะทางการแพทย์ของพี่ฉิง แฟนพี่ต้องไม่เป็นไร” หลินหนานเดินไปที่ด้านข้างของยวี๋น่าเพื่อปลอบเธอ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเมื่อเห็นยวี๋น่าเป็นห่วงอู๋เทียนเหออย่างนี้ หลินหนานก็รู้สึกเจ็บปวดอย่างอธิบายไม่ถูก
ถ้าเธอสนใจเขามากขนาดนี้ก็คงจะดี
20 นาทีผ่านไป รอยสีฟ้าและสีม่วงบนขาขวาของอู๋เทียนเหอก็ค่อยๆ จางลง แต่กลับกลายเป็นรอยบวมสีแดง แพทย์และพยาบาลในรถพยาบาลต่างก็ตกตะลึง แต่ซูฉิงกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว” ซูฉิงเม้มริมฝีปากของเธอ และดึงเข็มเงินทั้งหมดที่อยู่บนร่างกายของอู๋เทียนเหอออกมา “ส่งอู๋เทียนเหอไปที่โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด”
ยวี๋น่าได้สติกลับมาก และจึงถามไปทางคนขับ “ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะถึงโรงพยาบาลคะ?”
“เหลืออีกประมาณสิบห้านาทีครับ”
ถนนบนภูเขาเป็นทางขรุขระเดินทางลำบาก อีกทั้งถนนลูกรังยังไม่ได้ทำความสะอาดเศษซากกิ่งไม้ ทำให้ขับรถไปได้อย่างช้าๆ พวกเขาออกมาจากภูเขาและไปถึงโรงพยาบาลในเมืองใกล้เคียงอย่างยากลำบาก
เนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โรงพยาบาลจึงแออัดไปด้วยผู้คน ผู้บาดเจ็บทุกประเภท เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังอย่างต่อเนื่อง
ซูฉิงรู้สึกหดหู่
แพทย์จัดห้องที่เงียบสงบให้กับอู๋เทียนเหอ และตรวจสอบอาการเขาอย่างระมัดระวัง
ยวี๋น่านั่งอยู่ข้างๆ ฝ่ามือเธอกุมไปที่ขมับ เธอเป็นกังวลมาก
หลังจากแพทย์ตรวจอย่างละเอียดแล้ว ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังเล็กน้อย “ผู้ป่วยถูกฝังอยู่ใต้ซากปรักหักพังนานเกินไป มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะช่วยชีวิตของเขาไว้ได้ ขาของเขาถูกวัตถุหนักกดทับ กล้ามเนื้อและเส้นประสาทของเขาได้รับความเสียหายในระดับที่ต่างกัน
ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน ผมกลัวว่าจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนรถเข็น… และมาตรการทางการแพทย์ในโรงพยาบาลของเรามีจำกัดจริงๆ ดังนั้นจึงทำอะไรไม่ได้…”
ซูฉิงขัดจังหวะหมอ “สถานการณ์ไม่ได้แย่ขนาดนั้น คุณจ่ายยาที่ดีที่สุดแก่เขาก็พอ ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของฉันเอง”
“ได้ครับคุณซู” หมอพยักหน้า
หลังจากที่หมอออกไป ขอบตาของยวี๋น่าก็เป็นสีแดง ในใจเธอกังวลมาก
หลินหนานเม้มริมฝีปากและพยายามปลอบใจเธอ “พี่น่าใจเย็นๆ ก่อนนะ พี่ฉิงได้ทำการปฐมพยาบาลให้อู๋เทียนเหอแล้ว ตอนนี้ขาขวาของเขาก็ดีขึ้นแล้ว เมื่อกี้หมอบอกว่าการรักษาที่ไม่สะดวก เดี๋ยวรอให้หมอฉีมา แฟนพี่ก็จะหายดี”
“เดี๋ยวฉันจะติดต่ออาฉีเดี๋ยวนี้” ซูฉิงพูด หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าเสื้อ แล้วกดหมายเลขของฉียวี่ชู “สวัสดีค่ะ นี่คุณอาฉีหรือเปล่าคะ?”
“ซูฉิงเหรอ?” เมื่อฉียวี่ชูรับโทรศัพท์จากซูฉิงก็ตะลึง “โทหาฉันมีเรื่องอะไรเหรอ?”
ซูฉิงพูด “อาฉี ฉันมีเรื่องอยากจะขอความช่วยเหลือจากอาน่ะค่ะ แฟนของยวี๋น่าได้รับบาดเจ็บสาหัส อามาดูเขาหน่อยได้ไหมคะ?”
ฉียวี่ชูขมวดคิ้ว เขารู้ว่ายวี๋น่าเป็นเพื่อนสนิทของซูฉิง เขาเคยเจอกับยวี๋น่าแล้ว
ก่อนหน้านี้ที่ภูเขาฉางไป๋ ยวี๋น่าก็เสียสละมากมายเพื่อช่วยซูฉิง
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉียวี่ชูก็พยักหน้า “ได้ พวกเธอคุณอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“เมือง Y ค่ะ ” เมื่อเห็นว่าฉียวี่ชูตอบตกลง ซูฉิงก็รู้สึกโล่งใจ
แต่ทว่าทันทีที่เขาได้ยินคำว่าเมือง Y รอยยิ้มบนใบหน้าของฉียวี่ชูก็ชะงักไปทันที และเขาจึงปฏิเสธ “ขอโทษนะ ฉันไม่ค่อยอยากไปที่เมือง Y ฉันเกรงว่าฉันคงไม่สามารถช่วยพวกเธอได้แล้วล่ะ”
ซูฉิงเปิดลำโพง ทำให้ทุกคนได้ยินเสียงของฉียวี่ชู
ยวี๋น่าอารมณ์ขึ้นลงเหมือนรถไฟเหาะในเวลาเพียงไม่กี่นาทีที่ผ่านมา
ในตอนแรกฉียวี่ชูตอบรับว่าจะช่วยอู๋เทียนเหอ เธอจึงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แต่ทำไมฉียวี่ชูจึงปฏิเสธทันทีที่ได้ยินชื่อเมือง Y และแม้แต่เสียงของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย
เมื่อเห็นท่าทางกังวลใจของยวี๋น่า ซูฉิงจึงรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “ถ้าอย่างนั้นอาฉีไปที่เมือง A ได้ไหมคะ? เราจะพาอู๋เทียนเหอไปที่เมือง A เดี๋ยวนี้”
ฉียวี่ชูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตอบตกลงในที่สุด “โอเค ไปเมือง A ก็แล้วกัน ฉันจะรีบไปที่นั่นโดยเร็วที่สุด”
ในที่สุดยวี๋น่าก็รู้สึกโล่งใจ แต่ในวินาทีต่อมาเธอก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย “สุดยอดเลย อาฉีตอบตกลงจะช่วยอู๋เทียนเหอ ขาของเขาจะต้องไม่เป็นไร! แต่ทำไมเขาถึงไม่อยากมาหาเราที่เมือง Y ล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซูฉิงก็งงมากเช่นกัน “แต่เขาตอบตกลงแล้วก็ดีแล้วล่ะ เรื่องที่ไม่อยากมาเมืองY ก็อาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวของอาฉี ฉันก็เลยไม่กล้าถามมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือรักษาขาของเทียนเหอก่อน”
หลังจากอู๋เทียนเหอผ่านการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้วแล้วอาการของเขาก็ดีขึ้น ซูฉิงและยวี๋น่าที่เหนื่อยมาหลายวันก็นอนพิงหัวเตียงและหลับไป
วันรุ่งขึ้น ทันทีที่ซูฉิงลืมตาขึ้น เธอได้ยินหลินหนานพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ว้าว พี่ฉิง พี่ดังในเมือง Y ใหญ่แล้ว
“ดัง?” ซูฉิงรู้สึกงงงวย