ตอนที่ 201

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 201 – มีช่วงเวลาที่ต้องเลี่ยงการต่อสู้ ต่อให้ไร้ซึ่งกฎก็ตาม (1)

วันต่อมา

บทความเกี่ยวกับการโต้แย้งได้ถูกปล่อยออกมาจากสมาคมนักฆ่าเหมือนกับที่ฮ่าวอวิ่นได้พูดเอาไว้ สมาคมนักฆ่าได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบาร์โดยที่มีหลักฐานพยานเป็นจำนวนมาก

โดยเฉพาะข่าวนี้ยังถูกส่งออกไปทั่วทุกๆมุมในฮารามาร์คได้ตีแผ่ถึงความจริงที่เน้นย้ำว่าบทความอื่นๆก่อนหน้านี้มีเจตนาที่ตั้งใจจะใส่ร้ายซอลจีฮู

สมาคมนักฆ่าไม่เพียงแต่จะระงับความวุ่นวายเท่านั้น แต่ว่าเขาก็ยังพยายามจะจัดการกับจอมบงการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้อีกด้วย

ในตอนนี้พอเหล่าคนต่างๆได้รับข้อมูลมากยิ่งขึ้น ความเห็นของสาธารณะชนก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายๆ ต่อให้จะมีเรื่องคล้ายๆกันอีกเกิดขึ้น แต่ผู้คนก็จะจดจำเหตุการณ์นี้โดยไม่ยอมเชื่อข่าวลืออีก พวกเขาก็จะพูดแค่ว่า ‘อีกแล้วหรอ?’

จากเหตุการณ์นี้ได้ทำให้เกิดบาเรียล่องหนอยู่รอบตัวซอลจีฮูอยู่พักหนึ่ง

ซอลจีฮูก็ยังได้รับข่าวว่าซอยูฮุยได้ตื่นขึ้นมาในตอนที่เขาออกจากวังอีกด้วย

แน่นอนว่าเขาไม่ได้ลืมที่จะไปแสดงความขอบคุณกับกษัตริย์ฟีไฮและผู้บัญชาการทหารแจน แซงตัส

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเลยก็คือทำไมจู่ๆแจน แซงตัสถึงได้เริ่มร้องเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของเจ้าหญิงเทเรซ่า และพูดถึงเรื่องการแต่งงานระหว่างชาวโลกกับชาวพาราไดซ์…

ฟีไฮยังได้แนะนำให้ซอลจีฮูยืมเกวียนกับรถม้ากับทางราชวงศ์อีกด้วย แต่ยังไงก็ตามเขาได้ปฏิเสธออกไป

เขาอยากที่จะกลับบ้านเงียบๆโดยไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายใดๆ

“ฉันกลับมาแล้ว”

“มาแล้วสินะ?”

สำนักงานคาเพเดี่ยมก็ยังคงเป็นอย่างเคย

จางมัลดงคงจะจัดการบรรยากาศจนเรียบร้อยหมดจดแล้ว เพราะความโกลาหลที่เคยเกิดขึ้นได้สงบไปแล้ว

จางมัลดงที่เห็นซอลจีฮูเข้าไปในห้องในทันทีที่มาถึง ทำให้เขาถอนหายใจออกมา

“ก็ไม่น่าแปลกใจหรอกนะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นด้านนี้ของพาราไดซ์… เขาคงจะทุกข์ใจ”

จางมัลดงได้พูดขึ้นด้วยความเป็นกังวล

สำหรับเขาที่เกือบจะเกษียณออกไปเพราะไม่อาจจะทนต่อด้านนี้ได้แล้ว เขาคงเป็นคนที่เข้าใจซอลจีฮูเป็นอย่างดี

“แต่ว่าเขาดูไม่ค่อยเศร้าเลยนะ”

ฟีโซราได้หยักไหล่ออกมาหลังจากแอบมองเข้าไปในห้องของซอลจีฮู

“จริงหรอ?”

“ใช่สิ เขาเพิ่งจะนั่งดูแผนที่บนโต๊ะเอง”

“แผนที่?”

จางมัลดงได้หรี่ตาลง ฟีโซราได้แสดงความเห็นว่าเธอคิดไม่ออกเลยว่าทำไมเขาถึงได้ดูแผนที่ ก่อนที่เธอจะลงไปนั่งอยู่ข้างๆจางมัลดง

“ปู่ ฉันมีเรื่องที่สงสัยอยู่ ฉันขอถามหน่อยได้ไหม?”

“อะไรทำให้เธอต้องทำหน้าจริงจังแบบนั้นล่ะ? ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ”

“ซอลจีฮูน่ะ หมอนั่นเป็นโรคหลายบุคลิกหรือเปล่า?”

“หืม?”

จางมัลดงได้มองเธอด้วยใบหน้าเรียบๆเหมือนกับถามว่า ‘จู่ๆเธอมาพูดเรื่องไร้สาระอะไรเนี้ย?’

“ฉันหมายถึงแบบนั้นจริงๆนะ”

ฟีโซราได้มองไปทางห้องซอลจีฮูหน้ามุ่ย

เธอไม่รู้ว่าทำไม แต่ว่าภาพที่ซอลจีฮูนั่งหลังตรงจมอยู่กับแผนที่นั้นได้ตราตรึงอยู่ในใจของเธอ

หลังจากค่อยๆคิดหาเหตุผลแล้ว ฟีโซราก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

“พออยู่ในพาราไดซ์แล้ว เขาต่างกับตัวเขาที่อยู่บนโลกไปอย่างสิ้นเชิง”

***

วันที่สอง

ซิซิเลียได้มาที่สำนักงานคาเพเดี่ยม

แอ็กเนสได้พาชายสี่คนที่ยั่วยุพวกเขาในบาร์มา เหมือนอย่างที่ซินเซียเคยพูดเอาไว้

“เชี้ย ในที่สุดวันที่ฉันรอคอยก็มาถึง”

โชฮงได้ถ่มน้ำลายใส่มือ และถูกมือเข้าด้วยกันด้วยรอยแสยะยิ้ม

ฮิวโก้ก็กำลังวอร์มร่างกายอยู่ ส่วนฟีโซรากำลังเดินไปหยิบป็อปคอร์นมา

ซอลจีฮูกับจางมัลดงกำลังนั่งมองแอ็กเนสที่กำลังเดินเข้ามาอยู่บนโซฟา

“พี่สาว! ไอ้เวรพวกนี้มาจากไหน? อ่า อย่าให้เราต้องรอสิ พาพวกมันมาได้แล้ว!”

โชฮงได้ตะโกนออกมาพร้อมกับเหวี่ยงแท่งเหล็กหนามของเธอ แอ็กเนสได้มองไปรอบๆ และมองไปด้านหลังของเธอ

เมื่อเธอทำแบบนี้ สมาชิกของซิซิเลียที่รอเงียบๆอยู่ด้านนอกก็ได้ลากชายสี่คนที่เปลือยเปล่าเข้ามา

ขณะที่พวกเขาถูกบังคับคุกเข่า เลือดสีแดงชาดก็ได้ไหลออกมาเต็มพื้นไปหมด

โชฮงที่กำลังดีใจจู่ๆก็กลายเป็นสับสนก่อนจะเกาใบหน้า

“…พี่สาวแอ็กเนส! นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?”

“?”

“ฉันหมายถึงว่าหากพี่สาวพาพวกนี้ที่อยู่ในสภาพกึ่งตายมา เราจะทำอะไรได้ล่ะ? ตอนสงครามพี่สาวยังระบายออกไปไม่พออีกหรอ?”

“มอนสเตอร์กับมนุษย์ต่างกัน”

“อ่า! นี่มันมากไปหน่อยนะ!”

สภาพของทั้งสี่คนเลวร้ายมากจนพวกเขาไม่อาจจะเปิดตาขึ้นมาได้เลยด้วยซ้ำไป

รอยฟกช้ำสีดำได้ปรากฏอยู่เต็มทั้งใบหน้าและร่างกาย เลือดของพวกเขาก็ยังไหลออกมาจากผิวหนังที่แตกเต็มไปหมดอีกด้วย

ข้อต่อของพวกเขาถูกหัก และแขนขาก็ห้อยออกมาราวกับกระดูกหักไปหมดแล้ว หากมองดีๆจะเห็นหนามยาวๆปักตามใต้เล็บนิ้วมือกับเท้าอีกด้วย

พวกเขาอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชมาก

สภาพของชายสามคนหลังดูดีกว่าคนหน้าสุดอยู่เล็กน้อย

คนที่ยั่วยุพวกเขาตรงๆแทบจะปิดปากไม่ได้ด้วยซ้ำไป หากมองให้ดีก็จะไม่เห็นฟันในปากของเขาเหลืออยู่เลยด้วย แค่เห็นเท่านี้ก็พอจะเดาได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง

“ฉันไม่มีทางเลือก ฉันต้องสอบปากคำพวกเขา”

“…หากฉันแตะพวกเขา มันเหมือนกับพวกเขาจะตายเลยนะ”

“ฉันเหลือแขนเอาไว้ให้แล้ว”

แอ็กเนสได้ยกแขนของชายหนุ่มขึ้นมาพร้อมพูดขึ้น มีเพียงแขนซ้ายเท่านั้นที่ยังอยู่สภาพดีเหมือนที่เธอพูด

“ฟู่ววว พี่สาว จับแขนเอาไว้สักเดี๋ยวนะ”

ขณะที่โชฮงยกแท่งเหล็กหนามขึ้น ภายในดวงตาของทั้งสี่คนก็ได้ปกคลุมไปด้วยความหวาดกลัว

จางมัลดงได้พูดขึ้น

“ฉันก็พอจะได้ยินคราวๆจากคุณซินเซียแล้วนะ แต่ว่าคุณมีอะไรที่เจอเพิ่มอีกไหม?”

“พวกเขาถูกมอบหมายงานจากคนบางคน และคนที่ติดต่อพวกเขานั้นเหมือนกับเป็นแค่คนกลาง”

แอ็กเนสได้ตอบกลับพร้อมจับแขนของชายคนนั้นหลวมๆ

จางมัลดงได้เดาะลิ้นออกมา

“ถ้างั้นพวกเขาก็ตั้งใจจะตัดหางทิ้งไว้แต่แรกแล้ว ถ้างั้นเรื่องสมาคมข้อมูลล่ะ?”

“พวกเราเจอพวกเขาได้เร็วกว่าที่คิด นั่นก็เพราะความร่วมมือจากซันเหอนั่นแหละ แต่ว่า…”

แอ็กเนสได้ดันแว่นของเธอขึ้น

“เราเจอพวกเขาหลังจากพวกเขาหนีไปแล้ว พวกเขาอาจจะอยู่ในบาร์ คอยสังเกตสถานการณ์ และเขียนเนื้อข่าวลงไปก่อนที่จะหลบหนีไปในทันทีที่เห็นสถานการณ์แย่ลงนั่นแหละ”

“ถ้างั้นไอ้ชั่วที่วางแผน ว่าจ้าง แล้วก็เขียนข่าวเป็นคนล่ะคนกันหมดเลยสินะ…”

จางมัลดงได้หัวเราะเสียงต่ำออกมา

“ถ้างั้น-“

ฟ้าววว

“อ๊ากกกกกกก!”

เสียงร้องเหมือนหมูถูกเชือดได้ดังออกมา

โชฮงได้พุ่งออกมาไปเหมือนกับสายลม และฟาดแท่งเหล็กหนามของเธอลงไปบนแขนของชายคนนั้น กระดูกที่แตกได้แทงทะลุผิวหนังออกมาจนทำให้เลือดกระจายไปทั่ว มันกระจายจนถึงขนาดโดนใบหน้าของแอ็กเนสอีกด้วย

“อ๊าาาา- อ๊ากกกกกกกก!”

นี่เขากำลังกรีดร้องหรือร้องไห้กันนะ?

ชายคนนี้ได้ส่งเสียงร้องที่ฟังไม่ออก และดิ้นไปกับพื้น แอ็กเนสได้เลียเลือดออกจากริมฝีปากพร้อมทั้งมองเขาดิ้นไปมาเหมือนกับหนอน

“เชิญใช้คนพวกนี้ได้เต็มที่เลย พวกเขาไม่มีประโยชน์อีกแล้ว เพราะงั้นอย่างน้อยก็น่าจะใช้ระบายความโกรธได้”

“ฟู่”

โชฮงได้ระบายหายใจออกมา และยกแขนขึ้น

เศษชิ้นเนื้อ และกระดูกได้ติดอยู่กับไม้กระบองที่เธอดึงออกมา

โชฮงได้แสยะยิ้มขึ้น

“ดูนี่สิ หลังจากโดนไปแค่ครั้งเดียว เขาก็เหมือนกับจะตายเลย”

“อ๊าาา! ฉันอยากจะเอาเขาไปแขวนเป็นกระสอบทราย แล้วก็อัดจนตายจังเลย ฉันก็อยากจะฝึกเหมือนกันนะ”

ฮิวโก้ได้บ่นออกมาอย่างไม่พอใจ จากนั้นเขาก็พูดขึ้นอีกครั้งพร้อมชี้ไปที่ชายทั้งสี่คน

“ขายพวกเขาออกไปจะไม่ดีกว่าหรอ? พวกเราจะได้เก็บเงินง่ายๆไงล่ะ ฉันรู้จักย่านซ่องดีๆอยู่นะ”

“ไม่ล่ะ แค่ฆ่าพวกมันไปคงจะดีกว่า”

“หรือว่าเราจะสร้างสนามประลองใต้ดินดีล่ะ พวกเราก็แค่ทิ้งพวกเขาให้มีบาดแผลทางใจหนักๆจนทำให้ความทรงจำของพวกเขาไม่ตรงกันขึ้นมา จากนั้นพวกเขาก็จะตายบนโลกไปด้วย”

“แล้วการแทงหอกไปในทุกๆรูบนร่างพวกเขาจะเป็นยังไงล่ะ? หากว่าเราแทงเข้าไปในจุดที่บอบบางของร่างกาย พวกเขาก็จะได้รับประสบการณ์เจ็บปวดจนถึงขีดสุดก่อนตาย”

แม้กระทั่งมาแชล จิโอเนียก็ยังยืนฟังการสนทนาของทั้งคู่ๆเงียบๆ

ทุกๆครั้งที่ความเห็นถูกเสนอออกมา ชายสามคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ก็จะต้องตัวสั่น

พวกเขาไม่ได้กำลังถูกข่มขู่เพราะข้อมูลอีกแล้ว หลังจากที่พวกเขาบอกข้อมูลทุกอย่างออกไป ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากพวกเขาอีกแล้ว

ฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่พูดสิ่งต่างๆออกมาด้วยความต้องการที่จะฆ่าพวกเขาเท่านั้นเอง

พวกเขาสามรถบอกได้เป็นอย่างดีจากการที่ไม่มีใครหยุดหรือพูดออกมาเลยในตอนที่จู่ๆโชฮงก็จัดการกับชายคนแรก

ความตายของพวกเขาได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะมองมุมไหน มันก็ไม่มีทางรอดเลย

“วะ ไว้ชีวิตเราด้วย”

ในตอนนั้นเองชายที่ทนกับความหวาดกลัวไม่ไหวก็ได้คลานเข้ามากอดขาโชฮงไว้

“พวกเราผิดไปแล้ว ได้โปรดยกโทษให้เราสักครั้งหนึ่ง พะ พวกเราโง่ไปแล้วจริงๆ…!”

มันสายเกินไปที่จะอ่อนวอนแล้ว

สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงแค่การเตะอย่างรุนแรงเท่านั้น

“อย่ามาสำออย ไสหัวไปซะ! หยุดรบกวนฉันได้แล้วไอ้พวกปลายแถวไร้ค่า”

ปัง! โชฮงได้เตะชายคนที่เข้ามาขอร้องอย่างรุนแรง และหันไปมองซอลจีฮู

“เฮ้! แล้วเอายังไงล่ะ? ตอนนี้นายอยากจะทำอะไร?”

ซอลจีฮูกำลังจ้องมองอยู่ชายที่กลิ้งอยู่กับพื้น และชายอีกสามคนด้านหลังเขา

นพเนตรของเขากำลังทำงานอยู่

เขาได้เห็นหน้าต่างสถานะ สี และนิมิตของพวกเขาที่ถูกนพเนตรแสดงออกมาอีกด้วย

ซอลจีฮูได้พูดขึ้นอย่างใจเย็น

“โชฮง”

“ว่าไง?”

“ไปพานักบวชจากวิหารมา พาคนที่มีระดับ 4 ขึ้นไปที่ใช้การรักษาแผลขนาดใหญ่ได้”

“หือ? อ่อ!”

โชฮงได้เลิกคิ้วขึ้นมาก่อนจะเข้าใจบางอย่าง

“จริงด้วย! เราจะได้อัดพวกเขาอีกครั้งหลังจากรักษาแล้ว”

เธอได้พูดถึงเรื่องที่เธอคาดไม่ถึงก่อนจะปรบมือขึ้นมา และฉีกยิ้มขึ้น

“รอนี่เดี๋ยวนะ! ฉันจะรีบกลับมา”

“ฉันด้วย ฉันด้วย!”

โชฮงได้หอบหายใจแรงวิ่งออกไป ฮิวโก้ก็ด้วยเช่นกัน

ซอลจีฮูได้พูดต่อราวกับว่าเขากำลังรอให้ทั้งคู่วิ่งออกไปอยู่

“คุณแอ็กเนส ขอโทษนะครับ แต่ว่าผมของเวลากับพวกเขาหรอ?”

“หือ? ได้สิ ไม่ต้องขอโทษอะไรหรอก”

แอ็กเนสได้เอียงหัวอย่างสับสน แต่ว่าเธอก็ยังเดินออกไป

เมื่อเธอออกไปจากห้องกับสมาชิกของเธอแล้ว จางมัลดงกับมาแชล จิโอเนียก็รีบอ่านบรรยากาศ และลุกขึ้นยืนเช่นกัน

“ถ้างั้นฉันจะไปคุยกับคุณแอ็กเนสแล้วกัน จบแล้วก็เรียกนะ”

ซอลจีฮูได้หยักหน้าเงียบๆ แต่เขาก็หันไปมองที่โซฟา

งั่ม งั่ม

ฟีโซราที่กำลังเคี้ยวป็อบคอร์นอยู่ได้ชะงักไป หลังจากเช็ดปากแล้ว เธอก็ยิ้มออกมา

“ฉันอยู่ต่อไม่ได้หรอ? มันก็นานแล้วนะที่ฉันไม่ได้ดูอะไรน่าสนุก ฉันสัญญาเลยว่าจะอยู่เงียบๆ”

แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังคงจ้องเธอโดยไม่พูดอะไร

ฟีโซราที่กำลังจะเถียงจู่ๆก็รู้สึกหนาวขึ้นมา

เธอเห็นประกายแสงสีฟ้าน่ากลัวปรากฏขึ้นบนดวงตาของชายหนุ่ม มันแค่ครู่เดียว แต่ว่าก็มากพอทำให้เธอขนลุก

ผลก็คือฟีโซราก็ลุกขึ้น และค่อยๆเดินออกไปจากห้องเช่นกัน

และเมื่อทั้งสี่คนได้ถูกทิ้งให้อยู่กับซอลจีฮูเพียงลำพังแล้ว บรรยากาศหนักหน่วงก็กดทับลงมา

มันเป็นแรงกดดันที่ทำให้พวกเขาทั้งสี่คนหายใจไม่ออก ยิ่งกว่านั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสบตา

ใช่แล้ว

มันราวกับว่าพวกเขากำลังอยู่ต่อหน้าปีศาจร้ายที่พร้อมจะกินพวกเขาเข้าไปได้ทุกเมื่อ

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความน่ากลัวเช่นนี้ พวกเขาก็อยากจะย้อนกลับไปอยู่ในตอนที่ยังมีคนมากมายอยู่ในห้อง

อึก

เมื่อชายคนหนึ่งได้กลืนน้ำลายลงไป…

“ทำไมถึงทำมันล่ะ?”

น้ำเสียงนุ่มๆได้ดังออกมา ด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบนี้เป็นเหมือนกับประกายความหวังที่ถูกจุดขึ้นมา ชายคนหนุ่งที่นอนอยู่บนพื้นได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้

“อ่า อ๋ม อ๋อโอด-“

“ฉันไม่ได้มาฟังคำขอโทษ”

“อกโอดใอเอ้าอ้วย ออบอัวอม…”

“ออมอัว? ครอบครัว?”

ซอลจีฮูได้แสยะยิ้ม และเท้าคางขึ้นมา

“อย่าเลย ต่อให้จพูดถึงเรื่องอะไร มันก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เรื่องพวกนั้นมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด”

ชายที่ตาแดงก่ำอย่างชัดเจนได้ตัวสั่นขึ้นมา

ไม่มีอะไรที่เขาพูดจะได้ผลแล้ว หลังจากยืนยันถึงเรื่องนี้ น้ำลายที่อยู่ในปากของเขาก็ไหลออกมา

“ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะ?”

คำถามเดิม

ชายที่ฝืนกลืนน้ำลายลงไปได้พูดออกมาด้วยริมฝีปากที่สั่นเทา

“เอื่อ… เอิน”

ในที่สุดซอลจีฮูก็หยักหน้าออกมา

ชายคนนี้ได้ก้มหัวที่พยายามจะขึ้นลงไป เมื่อถูกซิซิเลียจับได้เขาได้ล่ะทิ้งความหวังทั้งหมดไปแล้ว

“นายน่าจะคิดให้มากกว่านี้สักหน่อยนะ หากว่าเจออะไรก็ทำไปหมด นายจะตายเอาได้”

เขาพูดถูก เขาเคยคิดไหมว่าหากไปยั่วยุซอลจีฮู จะทำให้พวกเขาต้องมาจบชีวิตแบบนี้น่ะ?

ไม่เลย เขาไม่ได้คิดเลย เขาคิดว่ามันจะจบลงด้วยเสียงดังวุ่นวายเหมือนกับบาร์ตามปกติ

ในกรณีที่แย่ที่สุดก็คือ เขาคิดว่าเขาจะถูกซ้อมจนเกือบตายเท่านั้นเอง

มันอาจจะมองได้ว่าเป็นความผิดพลาดหรือความโง่เขลา

ในทันทีที่พวกเขาวาวแผนร้านต่อซอลจีฮู องค์กรใหญ่ในฮารามาร์คก็จะพุ่งออกมาด้วยการนำของราชวงศ์

มันราวกับว่าพวกเขาไปกวนรังผึ้ง

ในทางกลับกันองค์กรที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาได้สนใจเลยด้วยซ้ำว่าพวกเขาขาดการติดต่อไป

พวกเขาไม่ได้รับรู้ถึงความแตกต่างนี้

“อยากจะมีชีวิตอยู่ไหม?”

ชายที่ดวงตามืดมัวได้ลืมตาโพล่งขึ้นมา

จากนั้นมันก็หยุดลง ซอลจีฮูได้บิดคอไปมา

ฝ่ายตรงข้ามคงจะอยากเห็นสีหน้านี้ของเขา แต่ว่าหลังจากได้เห็นการทำร้ายแล้วความกลัวและความสิ้นหวังจะต้องปรากฏขึ้นมา

ยังไงก็ตามต่อให้พวกเขาจะรู้ว่ามันอาจจะเป็นการปั่นหัว แต่ว่าพวกเขาก็อยากจะคว้าเชือกเอาไว้

“ฉันจะบอกทุกๆอย่างที่รู้!”

“ไว้ชีวิตเราด้วย! ให้เรามีชีวิตเถอะน! ฉันจะทำตามทุกๆอย่างที่ขอเลย! ฉันจะ…”

คำขอร้องอันสิ้นหวังได้ดังไปทั่วห้อง

“มีอยู่สองวิธีที่พวกนายจะรอด”

ซอลจีฮูได้ยืนขึ้น และพูดออกมาราวกับเขาจะสัญญา

“พวกนายสามารถจะให้ข้อมูลที่พวกเราต้องการได้”

ซอลจีฮูได้เริ่มเดินไปรอบๆชายที่อยู่บนพื้นอย่างช้าๆ

“แต่ว่านั่นมันเป็นไปไม่ได้ พวกนายแทบจะไม่รู้อะไรเลย เพราะพวกนายมันแค่ปลายแถว”

ม่านตาของชายคนนี้ได้หมุนเป็นวงกลม

“หรือก็ทำอะไรที่มีส่วนช่วยเรา…”

ซอลจีฮูได้หยุดเดิน

“นายชื่ออะไร?”

ทันใดนั้นก็มีคำถามดังออกมา แต่ว่าชายคนนี้ที่จิตใจถูกครอบงำด้วยความกลัวได้ตอบกลับไปโดยสัญชาตญาณ

“อาโออิอิ่”

“พาโลวิซี่”

หลังจากทำความเข้าใจแล้ว ซอลจีฮูก็หันไปมองชายอีกสามคนด้านหลัง

และเขาก็ได้พูดออกมา

“ฉันเห็นมาว่านามสกุลของพวกนายทั้งสี่คนเหมือนกัน พวกนายสี่คนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันงั้นหรอ?”

ในตอนนั้นเองชายทั้งสี่คนก็ตัวแข็งทื่อไป พวกเขาชะงักงันนิ่งไปอย่างสิ้นเชิง

‘ได้ยังไงกัน?’

พวกเขาได้เปิดเผยหน้าต่างสถานะออกไปหลังจากทนการทรมานของซิซิเลียไม่ไหว แต่ว่าพวกเขาแสดงออกไปแค่สังกัดกับอาชีพเท่านั้น ชื่อของพวกเขาไม่ได้ถูกแสดงออกไป

แอ็กเนสก็ไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดพวกนี้ของเหล่าคนที่กำลังจะตาย

คำถามสำคัญก็คือปีศาจตนนี้รู้ความลับที่พวกเขาได้เก็บเอาไว้นับตั้งแต่ที่เข้ามาในพาราไดซ์ได้ยังไงกัน

“เข้ามาจากพื้นที่ที่ 2 ประเทศเดิมอยู่ที่รัสเซีย วันที่เข้ามาคือเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พวกนายทั้งสี่คนมีตราประทับสีแดง”

ข้อมูลมากมายได้ออกมาจากปากซอลจีฮู

พาโลวิซี่ที่ไม่รู้ถึงการมีอยู่ของนพเนตรได้แต่แสดงสีหน้าสับสนออกมา

พวกเขาได้เริ่มมองกันเอง

เมื่อยืนยันได้ว่าคนเหล่านี้กำลังหวั่นไหว ซอลจีฮูได้ค่อยๆกอดอก และนั่งลงไปบนโซฟา

“จะบอกให้นะ ฉันรู้เรื่องพวกนายเกือบทั้งหมดเลยล่ะ ผู้เชิญฉันเข้ามาเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีเครือข่ายข้อมูล ฉันมั่นใจว่าพวกนายคงเคยได้ยินชื่อของจิ้งจอกสาวสินะ?”

มันเป็นการโกหก เขายังไม่ได้คุยกับคิมฮันนาห์เรื่องนี้เลย เขาไม่อาจจะติดต่อเธอได้ในตอนนี้

แต่ว่าความจริงมันก็ไม่ได้สำคัญ สิ่งสำคัญคือฝ่ายตรงข้ามจะเชื่อหรือไม่เท่านั้นเอง

นอกจากนี้ด้วยชื่อเสียของคิมฮันนาห์ในฐานะของคนคดโกงก็มากพอจะทำให้พวกเขาเชื่อ

ยังไงก็ตามจู่ๆก็เกิดภาพที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อทั้งสี่คนได้เรืองแสงสีน้ำเงินออกมา

‘ทางเลือกแห่งโชคชะตา’

นิมิตได้แสดงให้เขาเห็นถึงอนาคตของทั้งสี่คน

ที่นี่ ซอลจีฮูจะต้องเลือก เขาจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของทั้งสี่คน หรือจะปล่อยมันไป

ซอลจีฮูได้ทำการตัดสินใจ

หากว่าพวกเขากำลังจะตายอยู่แล้ว อย่างน้อยเขาก็ควรจะใช้ประโยชน์จากคนพวกนี้

‘การฆ่าเพื่อระบายมันเสียเปล่าไป’

เมื่อหัวใจของพวกเขากำลังสั่นไหว มันก็ถึงเวลาเข้าแทงแล้ว

การพนันด้วยเงินของผู้อื่นมันเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุดเสมอ

ต่อให้เสียก็ไม่เป็นไร แต่ว่าหากว่าชนะ มันก็คือกำไรฟรีๆ

แววตาเจ้าเล่ห์ได้ปรากฏขึ้นมา

เมื่อทบทวนภาพของนิมิตที่ได้เห็นอีกครั้ง ซอลจีฮูก็ได้พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม