บทที่ 202 – มีช่วงเวลาที่ต้องเลี่ยงการต่อสู้ ต่อให้ไร้ซึ่งกฎก็ตาม (2)
“สูงประมาณ 170 ซม.”
ซอลจีฮูได้พูดต่อด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“ใบหน้าปิดไว้ด้วยผ้าคลุมสีดำ สวมใส่ชุดสีดำไร้ลวดลายทั้งบนและล่าง ร่างกายดูผอมบาง แล้วก็อะไรอีกนะ… โอ้ ใช่! ตัดสินจากผมและส่วนโค้งเธอคนนี้เป็นผู้หยิง”
ซอลจีฮูได้พูดถึงสิ่งที่เขาเห็นผ่านนิมิตออกไป แต่ว่าเขาได้ทำเหมือนกับว่าเขาได้ยินมาจากจิ้งจอกสาว
“แล้วก็ยังมี…”
ซอลจีฮูยังเห็นประกายความประหลาดใจบนใบหน้าของพาโลวิซี่อีกด้วย
“มีรอยสักรูปงูสีม่วงขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ที่คอ”
ดวงตาพาโลวิซี่ได้เบิกกว้างเล็กน้อย ซอลจีฮูได้เท้าคาง และถามออกไป
“นายรู้จักเธอใช่ไหม?”
เขาไม่อาจจะข้ามข้อสรุปใดๆไปได้…
‘มันไม่เป็นไร’
แต่ว่าเขาก็สามารถสร้างข้ออ้างดีได้อยู่เสมอ โดยพื้นฐานแล้วสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ก็คือการสอบสวน
นิมิตที่ซอลจีฮูเห็นก็คือ ชายสี่คนตรงหน้าของเขากำลังนอนเป็นศพอยู่ในตรอกแห่งนี้ และไม่มีใครสักคนที่แสดงให้เห็นนิมิตที่ต่างออกไป นั่นมันหมายความว่าทั้งสี่คนได้เจอเข้ากับชะตากรรมเดียวกัน
สิ่งที่ควรจะจำไว้ก็คือทั้งสี่คนถูกหญิงสาวลึกลับที่เขาเพิ่งจะอธิบายออกไปสังหาร เธอเป็นคนที่รอบคอบมากจนถึงขนาดปกปิดใบหน้าเอาไว้ แต่ว่าภาพที่พาโลวิซี่ที่หน้าอกเป็นรูจ้องไปที่เธอจนเขาตายยังคงชัดเจนอยู่ในใจของซอลจีฮู
พาโลวิซี่ดูจะตัวสั่นขึ้นด้วยความแค้นและอยุติธรรมเช่นกัน
“ดะ… ได้ยังไงกัน…”
เขารู้จักเธอ
ซอลจีฮูได้คิดที่จะเอาคิมฮันนาห์มาอ้างอีกครั้ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา ในบางครั้งความเงียบก็มีผลมากยิ่งกว่าคำพูดใดๆ
ความเงียบได้คงอยู่สั้นๆก่อนซอลจีฮูจะพูดออกมา
“นายบอกว่านายบอกเราทุกอย่างแล้ว นี่นายกำลังโกหกงั้นหรอ?”
“พวกเราบอกทุกอย่างไปแล้ว!”
ชายที่กำลังคุกเข่าอยู่ด้านหลังสุดได้ตะโกนออกมา ตัดสินจากใบหน้าของเขา เขาดูจะเป็นน้องเล็กสุดของพี่น้องอเล็กเซ่ จากหน้าต่างสถานะเขาอายุเพียง 20 เท่านั้นเอง
พาโลวิซี่ได้รีบเหลือบมองมาที่เขา แต่ว่าเขาก็ดูเหมือนกับตัดสินใจไปแล้ว
“เหตุผลที่เขาไม่ได้พูดถึงผู้หญิงคนนั้นก็เพราะว่าเราไม่มั่นใจว่าเธอเกี่ยวข้องกับงานที่เขาได้รับมา”
“ผู้หญิงคนนั้น?”
“ใช่แล้ว เราได้เจอกับเธอในตอนเราได้รับภารกิจแรก แต่ว่านั่นก็แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ใบหน้าของเธอถูกปิดบังเอาไว้ เพราะงั้นเราจึงมองไม่เห็น แต่ว่าเขายังคงจำรอยสักงูสีม่วงที่คอด้านซ้ายของเธอได้อย่างชัดเจน”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาด้วยท่าทางที่บอกให้เขาพูดต่อ
“หลังจากนั้นเธอก็ได้มอบงานให้เราด้วยการส่งลูกน้องของเธอมา”
“แล้วเรื่องนี้ล่ะ?”
“นายก็รู้… พวกเราไม่มั่นใจจริงๆ”
ชายคนนี้ได้ระวังตัวมากยิ่งขึ้น
“เมื่อก่อนพวกเราสามารถจะบอกคนที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนั้นได้ด้วยเสื้อผ้าหรือเครื่องหมายที่คอ แต่ว่าลูกค้าในคราวนี้ต่างออกไป คนๆนี้ได้ปกปิดตัวตนเอาไว้ด้วยผ้าโผกหัวกับชุดคลุม แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย”
ซอลจีฮูได้มองขึ้นมาก่อนจะหยักหน้าอยู่หลายครั้ง
“คนๆนั้นน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับหญิงสาวรอยสักงูแน่”
ไม่เช่นนั้นแล้วเธอก็คงจะไม่ปรากฏขึ้นในนิมิตของเขา
“ดูจากความละเอียดอ่อนของพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้้ทำการบ้านค้นประวัติของฉันมาเป็นอย่างดี พวกเขาอาจจะคิดว่า ‘ถ้าได้ผลก็ดี ถ้าไม่ได้ผลก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน’…”
ซอลจีฮูได้พูดช่วงท้ายเบาๆก่อนที่จะมองไปที่ทั้งสี่คน
“ฉันก็ไม่มั่นใจหรอกนะ แต่ว่ามันก็มีโอกาสสูง แล้วก็… พวกเขาน่าจะใกล้ฆ่าพวกนายแล้ว เหมือนกับการฆ่าสุนัขล่าเนื้อนั่นแหละ”
ใกล้แล้ว? ชายทั้งสี่คนได้มองตากันเองอย่างสับสนในตอนที่ได้ยินน้ำเสียงมั่นใจของซอลจีฮู
“ช่างน่าเจ็บปวดซะจริง ต่อให้พวกนายตายที่นี่ ไอ้สารเลวพวกนั้นก็จะเอาพวกนายมาใช้ประโยชน์ แล้วก็ตีพิมพ์ข่าวออกไป…”
ซอลจีฮูได้หักนิ้วพร้อมทั้งพึมพำขึ้นด้วยความรำคาญใจ
พาโลวิซี่รู้ได้ทันทีว่าซอลจีฮูกำลังพูดถึงเรื่องพวกเขา แต่ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเขาพูดความจริงหรือเปล่า
แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่พวกเขามั่นใจก็คือซอลจีฮูรู้มากยิ่งกว่าที่พวกเขารู้ และมันมีความเป็นไปได้สูงที่สิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริง
ไม่เพียงแค่ชายตรงหน้าจะรู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันเท่านั้น แต่เขาก็ยังอธิบายถึงลักษณะของผู้หญิงคนนั้นอย่างชัดเจน
เพราะแบบนี้ทำให้พาโลวิซี่อดไม่ได้ที่จะกังวลขึ้นมา
นั่นคืออีกไม่นานพวกเขาจะตาย
“ใช่แล้ว มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้ข่าวกับพวกเขา เอาเถอะ พวกนายออกไปได้แล้ว”
ซอลจีฮูได้ไล่พวกเขาออกไปเหมือนกับเป็นคนใจกว้าง
“นักบวชก็น่าจะใกล้มาแล้ว ทำไมไม่อยู่รักษาก่อนล่ะ”
เขาปล่อยให้เรามีชีวิต? แถมยังรักษาเราอีกด้วย?
ดวงตาของชายทั้งสี่คนได้เบิกกว้างขึ้น มันไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีความสุขเลยสักนิด มันเหมือนกับว่าฝ่ายตรงข้ามไม่อยากจะลดตัวลงมาแตะกับบางอย่างที่คล้ายกองขี้มากกว่าการปล่อยพวกเขาไปวะอีก
“อ่า พูดกันตรงๆเลยนะ พวกนายทั้งสี่คนจะมีชีวิตรอดออกไปจากคาเพเดี่ยม นี่คือความสัมพันธ์ของเรา ต่อให้หลังจากนั้นพวกนายจะโชคดีรอดไปได้ แต่ว่าอย่าได้ไปเที่ยวปล่อยข่าวมือผิดๆนะ หากว่าพวกนายทำล่ะก็…”
ประกายเฉียบคมได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซอลจีฮูพร้อมๆกับเสียงพึมพำอันน่ากลัวของเขา
ในเวลาเดียวกันความสงสัยในใจของชายคนนี้ก็กลายเป็นชัดเจนขึ้น ทุกๆคำที่ออกมาจากปากของซอลจีฮูเป็นการบอกใบ้ถึงการตายของพวกเขา
ซอลจีฮูได้รีบโบกมือไล่พวกเขาออกไป แต่ว่าชายทั้งสี่คนไม่ได้ขยับเลยสักนิด
พวกเขาทั้งสี่คนรู้สึกว่าอยู่ในสถานการณ์ที่น่าตลก เพราะว่าตอนนี้พวกเขากำลังคิดว่าสถานที่ที่ในตอนแรกเป็นหลุมศพของพวกเขาได้กลายมาเป็นที่ที่จะทำให้พวกเขารอด…
“เอ่อ…”
ชายคนหนึ่งได้รวบรวมความกล้าและเริ่มพูดออกมา เขาเป็นคนที่เด็กที่สุดในพี่น้องทั้งสี่คน
“นายบอกว่าเราจะตายในเร็วๆนี้… นั่นมันหมายความว่ายังไงกัน…?”
ซอลจีฮูที่กำลังจุดไฟบุหรี่ได้กระพริบตาออกมา
“โอ้ ก็ลองคิดดูสิ”
เขาได้พูดเหมือนกับขี้เกียจจะอธิบาย แต่ว่ามันไม่มีทางเลือก
“พวกนายได้หมดคุณค่าไปนับตั้งแต่ที่เราได้เผยบทความโต้แย้งไปในข่าวก่อนหน้านี้แล้ว ความเห็นของสาธารณะจะไม่ได้แปรเปลี่ยนไปง่ายๆอีกแล้ว”
ซอลจีฮูได้เสริมต่อว่า “พวกนายไม่เห็นด้วยหรอ?” และชายทั้งสี่คนก็หยักหน้าออกมา
“ยังไงก็ตามทุกๆคนก็รู้ว่าพวกนายทั้งสี่คนเป็นแค่หางแถว และชัดเจนว่าในตอนนี้คาเพเดี่ยมก็จะทำเต็มที่เพื่อหาตัวการ และคนเหล่านั้นก็จะพยายามเต็มที่ไม่ให้ถูกจับได้”
หลังจากอธิบายอย่างยาวเหยียด ซอลจีฮูก็ได้ใช้ปลายนิ้วเคาะขี้บุหรี่ออกไป
“เมื่อคำนึงถึงความรอบคอบของพวกเขาแล้ว ฉันก็สงสัยจะเลยว่าพวกเขาจะปล่อยให้พวกนายได้เดินอย่างสบายอารมณ์ไหมหากว่าเราปล่อยพวกนายไป อย่างน้อยที่สุด… นี่ก็คือสิ่งที่ฉันเดิมพันได้เลย”
ดวงตาของชายคนนี้ได้เบิกกว้างขึ้นมา
“พะ พวกเราก็แค่ทำตามที่บอกเท่านั้นเอง!”
และเขาก็ตะโกนต่อออกมาอีก
“อย่าพูดถึงองค์กรพวกเขาเลย กระทั่งใบหน้าของสมาชิกคนหนึ่งของพวกเขาเราก็ยังไม่รู้จักเลย! เรา เราก็แค่-“
“ฉันรู้”
ซอลจีฮูได้ยืนยันออกมาอย่างใจเย็น
“ถ้างั้นก็ลองคิดแบบนี้นะ- ‘อ่า พวกเราไม่รู้จักใบหน้าหรือกระทั่งองค์กรของพวกเขา พวกเราได้ทำตามสิ่งที่ถูกบอกมา พวกเขาจะไม่ฆ่าพวกเราก็เพราะว่าพวกเราไม่รู้อะไรเลย ใช่ไหมล่ะ?’”
ม่านตาของพาโลวิซี่ได้สั่นไหวขึ้นมา
“แต่ว่าลองคิดนะ พวกเขาสามารถจะฆ่าพวกนาย หั่นศพพวกนาย จากนั้นก็สร้างเรื่องขึ้นมาว่า ‘คาเพเดี่ยมต้องทำกันถึงขนาดนี้เลยหรอ?’”
ยิ่งซอลจีฮูพูดไปเท่าไหร่ ใบหน้าของพวกเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้นเท่านั้น
“พวกนายจะคิดอะไรก็ตามใจเลย แต่ให้ฉันแนะนำสักหน่อยนะ นับจากนี้ก็อย่าอยู่รวมกันแค่สี่คน แล้วก็ไปหาองค์กรพึ่งพึง แต่… ฉันก็ไม่รู้นะว่าราชวงศ์ฮารามาร์ค ซิซิเลีย ซันเหอ สมาคมนักฆ่า หรือองค์กรขนาดใหญ่อื่นจะเต็มใจรับพวกนายหรือเปล่า”
ซอลจีฮูได้ล่ะสายตาของพวกเขาราวกับหมดธุระแล้ว ยังไงก็ตามชายทั้งสี่คนก็ยังคงไม่ขยับอยู่ดี
“…อะไรล่ะ?”
ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา
“อยากจะรอดงั้นหรอ?”
พี่น้องได้จ้องมองกันและกันด้วยความกังวล จากนั้นก็หันมามองซอลจีฮู
“น่าเสียดายนะที่คำตอบของฉันก็ยังเป็นเหมือนเดิม มันมีอยู่สองวิธีที่พวกนายจะรอด แต่ว่าทั้งสองวิธีนั้นไม่ได้ทำให้ฉันสนใจเลย”
ในตอนนั้นเองพาโลวิซี่ที่นอนแผ่อยู่กับพื้นก็ครางลั่นออกมา เขาได้ขมวดคิ้วและเหงื่อโทรมกาย เขาพยายามที่จะลุกขึ้นมาคุกเข่าอย่างยากลำบาก กระดูกแขนที่ถูกหักของเขาก็ยังคงห้อยอยู่ เขาได้ขอร้องออกมา
“อ้ายโอ้ด อ้วยเอาอ้วย…”
คำพูดของเขาได้ชัดเจนขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
“ช่วยนาย? ทำไมไม่หนีกับไปที่โลกซะล่ะ?”
“โอกไอ่ไอ้ออดอัยอีกแอ้ว”
พาโลวิซี่ได้ส่ายหัวอย่างหนัก
“เอาอ้อโอด เอาจะอับไอ้อาย ไอ้โอดอ้วยเอา….!”
ตึง! เขาได้กระแทกหัวลงกับพื้น
“ไอ้โอด! เอาจะอดไอ้อี้อองเอา!”
ได้โปรด เราจะชดใช้หนี้ของเรา
ซอลจีฮูชอบเสียงนี้ พวกเขาไม่ได้อ้อนวอนให้คำมั่นสัญญาว่าจะภักดี แต่ว่าพวกเขาบอกว่าจะทดแทนบุญคุณที่เทียบเท่ากันหากว่าเขาช่วยชีวิตคนพวกนี้
นี่เป็นสิ่งที่สอดคล้องกันกับหลักการของซอลจีฮู และในความจริงแล้วเขาก็กำลังรอมันอยู่เช่นกัน
“หืม ฉันไม่รู้นะ…”
แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้มอบโอกาสให้ในทันที มันไม่ใช่ว่ามันยากที่จะพูด แต่ว่าเหล่าพี่น้องไม่ควรที่จะถูกให้อภัยง่ายๆ
คนแบบพวกเขา พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจมันจริงๆเว้นก็แต่ว่าพวกเขาจะได้เจอกับมันด้วยตัวเอง
“ฉันได้ยินที่นายพูดนะ แต่ว่าฉันไม่เห็นจะรู้สึกถึงความจริงใจจากนายเลย”
พาโลวิซี่ได้ผงะไป เขาได้ยกร่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน”
ซอลจีฮูได้เรียกมาแชล จิโอเนียด้วยรอยยิ้ม หลังจากที่นักธนูเหล็กกล้าเดินเข้ามา ซอลจีฮูก็ได้กระซิบบางอย่างกับเขา
“ได้ โอเค เข้าใจแล้ว”
มาแชล จิโอเนียได้หยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่จะหันไปมองชายทั้งสี่คน เขาได้พึมพำออกมาในทันทีที่คำอธิบายจบลง
“มันอาจจะยากหน่อยสำหรับตัวผม”
“ไหวไหม?”
“มีความเป็นไปได้สูงที่ศัตรูจะคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม และคนประเภทนี้มักจะใช้คนที่ทำหน้าที่สอดแนมและโจมตีคนล่ะคนกัน”
มาแชล จิโอเนียได้คิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“หากว่ามีผู้ช่วย ผมคิดว่าผมทำได้”
“ใครล่ะ?”
“คนอย่างคุณฟีโซรา… ภายในฮารามาร์คนี้มีไม่กี่คนที่แกร่งกว่าเธอ”
“ฉันก็ไม่ว่าอะไรนะ แต่นายคิดว่านายจะโน้มน้าวเธอได้หรอ?”
มาแชล จิโอเนียได้ลังเลขึ้นเล็กน้อย
“อ่า… ไม่ใช่ว่าเธอยืมอุปกรณ์จากหัวหน้าอยู่หรอ? หากว่าหัวหน้าบอกกับเธอว่าจะขยายระยะเวลายืมขึ้น ผมมั่นใจว่าต่อให้เธอจะบ่น แต่เธอก็จะยอมทำแน่นอน”
เมื่อเห็นนักธนูผมสีเทาขี้เถ้าจับธนูของเขาแน่น ซอลจีฮูก็ยิ้มบางออกมา
“เอาเถอะนะ หากว่านายทำสำเร็จ ฉันก็จะฝากธนูไว้กับนายนานๆเลย”
ดวงตามาแชล จิโอเนียได้เป็นประกายขึ้นมาในทันที
“ผมจะทำให้มันสำเร็จให้ได้! สำหรับคุณฟีโซรา ผมจะไปคุณกับเธอก่อนคืนนี้เอง”
“ขอบคุณมาก!”
จากนั้นมาแชล จิโอเนียก็ได้ออกจากสำนักงานไป โดยบอกว่าเขาจำเป็นต้องซื้อของสำหรับภารกิจ
“เอาล่ะ ฉันจะให้เครื่องมือช่วยเหลือพวกนาย”
ซอลจีฮูได้ค่อยๆล้วงมือลงไปในกระเป๋า เขาได้โยนวัตถุทรงกลมออกมา จากนั้นลูกกลมๆก็ได้กลิ้งอยู่ที่เข่าของพาโลวิซี่
“นายสามารถจะใช้คริสตัลสื่อสารติดต่อมาหาฉันได้”
“…”
“ฉันควรจะลองทำนายอนาคตไหมนะ?”
ซอลจีฮูได้พูดเล่นออกมาอย่างตั้งใจ
“คุณพาโลวิซี่ อีกไม่นานนายกับพี่น้องจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่จะต้องเลือก”
ไม่ว่าจะเปลี่ยนแปลงโชคชะตา หรือยอมรับในชะตากรรม
“หากว่านายอยากจะมีชีวิตต่อ… นายก็น่าจะรู้ว่าต้องเลือกอะไร”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างชัดเจนก่อนจะหันหน้าไป
“ก็เท่านี้แหละ หลังจากนั้นคราวหน้าที่เราเจอกันค่อยคุยกันต่อ”
เขากำลังไล่ทั้งสี่คนออกไปอย่างชัดเจน ซอลจีฮูไม่แม้กระทั่งจะมองทั้งสี่คนด้วยซ้ำไป มันราวกับไม่ว่าพี่น้องจะเอาคริสตัลสื่อสารไปหรือไม่มันก็ไม่ได้สำคัญเลย
พาโลวิซี่ได้จ้องลงไปบนลูกแก้วตรงหน้าอย่างช้าๆ
ไม่นานนัก…
พรึบ พาโลวิซี่ได้ก้มหัวลงก่อนที่จะใช้มือที่เปื้อนเลือดจับคริสตัลเอาไว้แน่น
ราวกับว่ามันคือชีวิตใหม่
***
ภายใต้คำอนุญาตจากซอลจีฮูทำให้ทั้งสี่คนได้ออกไปจากคาเพเดี่ยมหลังจากทำการรักษาอย่างปลอดภัย
“อ่า- ฉันไม่เข้าใจนายเลยจริงๆ”
และไม่แปลกใจเลยที่โชฮงที่ไม่ได้รู้รายละเอียดจะโมโหขึ้นมา
“เชี้ย แค่ให้พวกเขารอดไปก็น่าทึ่งมากอยู่แล้วนะ แต่นี่อะไร? นายยังรักษาพวกเขาอีกด้วย? ดูนี่สิ เรามีนักบุญแล้วล่ะ!”
“ซอล ฉันก็ไม่อยากจะยุ่งกับอำนาจของนายในฐานะหัวหน้านะ แต่ว่าฉันก็ไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้ นี่มันไม่ใช่เลย ฉันไม่เข้าใจ”
ฮิวโก้ก็ยังเคร่งขรึมขึ้นมาอย่าผิดปกติ และสนับสนุนในโชฮง แม้กระทั่งฟีโซราก็ยังแค่นเสียงออกมาราวกับซอลจีฮูทำลายความสุขของเธอ
“ทุกคนเงียบ!”
จางมัลดงได้คำรามออกมาเมื่อทนมองดูการทะเลาะต่อไปไม่ไหว แต่ว่าโชฮงก็ยังคงตะโกนกลับไป
“เงียบ? ทำไมเราต้องเงียบด้วยล่ะ? ตาแก่ก็เห็นนี่! ไอ้เวรนี่มันเพิ่งจะ-!”
“ไอ้เวรนี่?”
จางมัลดงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ฉันรู้นะว่านี่เป็นทีมเล็กๆ แต่ว่าในตอนที่ฉันไม่อยู่มันคงจะเน่าเฟะไปแล้วสินะ!”
“ฉะ ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น! ตาแก่ก็ลบองดูที่เขาทำสิ! มันไม่เห็นเข้าใจเลย!?”
โชฮงได้ทุบหน้าอกของเธอราวกับว่าสถานการณ์นี้มันทำให้เธออึดอัดจนจะตาย แต่ว่าซอลจีฮูก็ยังคงหัวเราะและสูบบุหรี่อย่างมีความสุขโดยไม่ได้สนใจเธอเลย
โชฮงได้กัดฟันแน่นอย่างโมโห และทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขาราวกับจะกินเขา
“เฮ้ นายคิดยังไงถึงได้ปล่อยพวกมันไปกัน?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่พอเห็นพวกเขาขอโทษอย่างสำนึกผิดแล้วฉันรู้สึกไม่ดีที่ต้องฆ่าพวกเขา เธอก็รู้นี่ว่านั่นมันทำให้ฉันไม่สบายใจ”
ใบหน้าของโชฮงได้กลายเป็นสีแดงด้วยความโกรธจากคำอธิบายผ่านๆของซอลจีฮู
“พระเจ้า นี่นายบ้าไปแล้ว พวกเรามีสิทธิ์ชัดๆ ต่อให้ฆ่าพวกเขาไปก็ไม่มีใครมาว่าพวกเรา นายคิดว่าผู้คนจะคิดว่านายใจดีเพราะปล่อยพวกเขาไปงั้นหรอ? เฮ้ จิโอพูดอะไรหน่อยสิ! เดี๋ยวนะ ไอ้เวรนั่นก็หายไปไหนแล้วเหมือนกัน?”
“ฟังนะพวก นี่มันจะทำให้ผู้คนคิดว่านายเป็นไก่อ่อนนะ นายลองคิดดูสิ? แม้กระทั่งศัตรูก็จะมองดูเรื่องนี้และเยาะเย้ยว่านายมันไร้ความสามารถ”
“นั่นก็ไม่ได้แย่นะ”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างใจเย็น โชฮงได้ขมวดคิ้วขึ้นมา
“นะ นายพูดว่าอะไรนะ”
“ฉันชอบที่พวกเขาคิดแบบนั้น”
หลังจากตอบกลับอย่างสงบแล้ว ซอลจีฮูก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาก็แค่หลับตายิ้มออกมา
ในตอนนั้นเองทั้งห้องก็ได้ตกสู่ความเงียบ
“…”
“…”
เมื่อความเงียบได้เข้าปกคลุมจนทำให้สำนักงานดูน่ากลัว…
“?”
ซอลจีฮูได้ลืมตาขึ้นและมองไปรอบๆ
ทุกๆคนกำลังจ้องมาที่เขา
เสายตาของพวกเขากำลังบอกว่าเขาทำตัวแปลกๆ เหมือนกับในตอนที่เขาปฏิเสธที่จะกลับไปที่โลกหลังจากออกมาจากวิหาร
“อะไรล่ะ? ทำไมงั้นหรอ?”
เมื่อซอลจีฮูได้แสดงสีหน้าสับสนออกมา โชฮงก็ค่อยๆหลับตาลง และพูดขึ้นอีกครั้ง
“เฮ้ นายเพิ่งจะ…”
“ฉันไปก่อนนะ”
ในตอนนั้นเองแอ็กเนสก็ลุกขึ้นจากโซฟา
“ผมจะไปส่งนะครับ”
ตามปกติแล้วเธอจะบอกว่าไม่เป็นไรหรือเขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น แต่ว่าคราวนี้เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในตอนที่เขาได้เดินออกไปที่ประตู เขาก็ได้ยินเสียงฟีโซราตะโกนออกมา
“ดูสิ-! ฉันบอกแล้วว่าหมอนี่มีสองบุคลิก!”
‘เธอเป็นบ้าอะไรกันล่ะเนี้ย!’
ซอลจีฮูได้ปิดประตูลงในขณะที่บ่นออกมาในใจ จากนั้นขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรกับแอ็กเนส-
“หุบปาก”
น้ำเสียงเย็นชาได้ดังออกมา
ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เธอโกรธเพราะเขาปล่อยพี่น้องอเล็กซี่ที่เธอพยายามจับมาไปงั้นหรอ?
เป็นธรรมดาที่นี่จะเป็นความคิดแรกที่เขาคิดได้ แต่ว่าแอ็กเนสก็เพิ่งจะเริ่มพูดเท่านั้น
“ก้มหัวลงเล็กน้อย แล้วก็คลายม่านตาออกมาด้วย พยายามอย่าแสดงสีหน้าออกมาให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้”
แรงกดดันแปลกๆเบื้องหลังคำพูดได้ทำให้ซอลจีฮูต้องทำตามคำพูดของเธอ จากนั้นแอ็กเนสก็หันกลับมามองซอลจีฮูด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ค่อยดีขึ้นหน่อย”
“?”
“นับจากนี้ในตอนที่นายกำลังพูดเรื่องที่บอกคนอื่นไม่ได้ก็ใส่หน้ากากนี้ไว้นะ”
นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
“ถ้าเป็นไปได้ก็คลายไหล่ออก แล้วก็จัดเสื้อให้ตรงด้วย”
เมื่อซอลจีฮูเอียงหัวออกมา แอ็กเนสก็ปัดฝุ่นจากไหล่เขา และจัดเสื้อให้เขา
“…ในพาราไดซ์ พลังการต่อสู้ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกนะ ใบหน้า การแสดงออกมา สายตา ท่าทาง รูปลักษณ์ และกระทั่งเสียงหายใจ… คนบางคนจะสามารถสังเคราะห์ข้อมูลที่เล็กที่สุดเพื่อคาดเดาถึงความตั้งใจของผู้อื่นได้ นี่เป็นความสามารถที่ได้รับการยอมรับจากเทพทั้งเ๗ด และบางคนก็ได้เลื่อนมาเป็นแรงค์เกอร์ระดับสูงเพราะเรื่องแบบนี้ด้วย จิ้งจอกก็เป็นหนึ่งในตัวอย่าง”
จากนั้นแอ็กเนสก็ประสานมือเอาไว้ที่กระโปร่งเหมือนอย่างเคย
“หากว่ามีเวลาก็ไปเรียนการแสดงหน่อยนะ ฉันมั่นใจว่ามันจะช่วยได้มาก”
“…”
“ยังไงก้ตามสงครามมันยังจบไปได้ไม่นาน แต่นายกลับจะเริ่มมันขึ้นมาอีกแล้ว…”
เธอได้หันหลังไปด้วยรอยยิ้ม
“ช่างน่าอาย เหยี่ยวสงครามแบบนายเหมาะจะอยู่ในซิซิเลียมากกว่า”
แอ็กเนสได้เดินออกไป
“มันจะเป็นสงครามที่ยาวนาน หากว่าเรามีศัตรูคนเดียวกัน ซิซิเลียก็ยินดีเสมอที่จะร่วมมือกัน โชคดีนะ!”
เธอได้เดินลงบันไดไปอย่างนิ่งๆหลังจากทิ้งท้ายคำเหล่านี้ไว้
“…”
ซอลจีฮูได้มองตามแผ่นหลังของแอ็กเนสออกไปก่อนที่จะค่อยๆลูบใบหน้าเขาเบาๆ
***
หลังจากแอ็กเนสกลับไปแล้ว ซอลจีฮูก็ได้ขอคุยกับจางมัลดงเป็นการส่วนตัว จางมัลดงได้หัวเราะขึ้นโดยพูดว่า “คุยส่วนตัวงั้นหรอ?” แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธออกมา
“แล้วนายอยากจะคุยอะไรกับฉันล่ะ?”
วอลจีฮูรอให้จางมัลดงนั่งก่อนที่จะเริ่มเข้าเรื่อง
“ผมวางแผนที่จะสร้างองค์กร”
จางมัลดงได้ชะงักไปก่อนจะตอบกลับมาราวกับเขาเคยคิดไว้แล้ว
“นั่นก็ไม่ได้แย่นะ แล้ว? ฉันสงสัยว่าทำไมนายถึงทำหน้าจริงจังในการพูดเรื่องนี้ล่ะ”
“ผมคิดจะออกไปจากฮารามาร์ค”
“…อะไรนะ? แล้วไปที่ไหนล่ะ?”
“อีวา”
อีวา นั่นมัน- น่าตกใจ
จางมัลดงได้หอบหายใจหนัก เขารับรู้ถึงแผนของซอลจีฮูได้ในทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘อีวา’
มันชัดเจนว่าทำไมซอลจีฮูถึงอยากจะย้ายฐานปฏิบัติการณ์ เขากำลังเล็งเป้าหมายไปที่อะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การสร้างองค์กร ในแง่นั้นแล้วอีวาเป็นที่ที่ดีที่สุด
จริงๆแล้วอีวาเป็นสถานที่เดียวที่เหมาะ
เมืองทั้งเจ็ดที่อยู่ภายใต้อำนาจของเจ็ดอาณาจักรต่างก็มีองค์กรที่เป็นตัวแทนอยู่แล้ว แต่ว่าสถานการณ์ภายในอีวาค่อนข้างจะต่างกับเมืองอื่นอยู่เล็กน้อย
“หืม…”
จางมัลดงได้เงียบอยู่นาน เขาพอจะรู้ว่าความคิดนี้มาจากไหน นี่เป็นสิ่งที่ควรจะเป็นเป้าหมายของซอลจีฮูอยู่แล้ว และจริงๆแล้วเขาก็รอได้ยินคำนี้มานานแล้ว
ปัญหาก็คือเวลา
“เพราะเหตุการณ์ล่าสุดงั้นหรอ?”
“จะพูดว่าไม่ใช่ก็ไม่ได้ครับ”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาอย่างใจเย็น
“แต่ว่าผมได้ตัดสินใจออกมาหลังจากที่ได้อ่านบันทึกที่อาจารย์ให้ผมมา”
คิ้วของจางมัลดงได้กระดิกขึ้นมา
“เหตุการณ์นี้ พี่สาวยูฮุยถูกโจมตี แล้วก็บันทึกอาจารย์เอียนที่ถูกเขียนไว้… ผมคิดว่าสามสิ่งนี้ค่อนข้างเกี่ยวข้องกัน ถึงผมจะไม่มั่นใจ แต่ว่าความรู้สึกว้าวุ่นนี้ก็ยังคงไม่หายไป”
“ฉันเห็นด้วย”
จางมัลดงได้หยักหน้าออกมา จากนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“จีฮู”
“ครับ”
“ศัตรูคือมอนสเตอร์”
“…”
“พลังของพวกเราต่างกันมาก และพวกเขาก็ต้องเป็นศัตรูที่มีเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าเจ็ดกองทัพเพราะพวกเขาก็เป็นมนุษย์ การต่อสู้นี้อาจจะส่งผลไปถึงชีวิตของนายบนโลกด้วยนะ”
“ผมรู้”
ซอลจีฮูได้ตอบกลับมาด้วยแววตาที่สุขุมลึก
“แต่ว่ามีสิ่งที่ต้องทำก่อน”
จางมัลดงได้ควงไม้เท้าของเขา ดูเหมือนว่าซอลจีฮูจะไม่ได้ด่วนตัดสินใจเลย และเขาก็ดูเหมือนจะมั่นใจแปลกๆด้วยเช่นกัน
เขาดูเหมือนจะกำลังถามว่า ‘งั้นเราควรจะทำอะไร?’ พูดออกมาให้เป็นคำพูดคือเขาทำเหมือนกับเป็นนักผจญภัยที่ออกไปเสี่ยงโชค
“ถ้าแบบนั้นฉันมีเงื่อนไขอยู่สามอย่าง”
จางมัลดงได้เริ่มสงสัยว่าความมั่นใจนี้มาจากไหน
“แนไม่คิดว่าการออกไปทันทีจะดีนะ นอกเหนือจากการขยายอิทธิพลออกไปแล้ว เราก็จะเป็นต้องมีเวลาให้จัดระเบียบที่ที่ปลอดภัยให้เราเองก่อน”
“แน่นอนครับ!”
“พวกเราก็ต้องการเงินด้วยเหมือนกัน จำนวนมากด้วย พวกเราจำเป็นต้องมีเงินทุนที่มากพอที่จะเริ่มสร้างองค์กรขึ้น”
“ผมจะลองดูครับ”
“แล้วก็อย่างสุดท้าย มันอาจจะยากนะ แต่ว่าฉันอยากจะให้นายหาองค์กรอื่นที่จะไปกับเราได้ มันไม่ใช่แค่คาเพเดี่ยม เราจำเป็นต้องมีองค์กรที่เราเชื่อใจ และพึ่งพาได้ในกรณีที่เกิดสถานการณ์อย่างตอนล่าสุดขึ้นอีก-“
“ผมมีแล้วหนึ่งองค์กรครับ”
ในตอนนี้เองจางมัลดงก็ไม่อาจจะตกใจไปมากกว่านี้ได้อีก
“มีแล้วงั้นหรอ?”
“ครับ ผมได้ตัดสินใจร่วมมือกับซันเหอ ฮ่าวอวิ่นได้มาหาผมที่วังและยื่นข้อเสนอออกมา”
ซันเหอ!
นี่ได้ทำให้ทุกๆอย่างเปลี่ยนไปแล้ว ซันเหอนั้นกระหายในชาวโลกที่ทรงพลัง และคาเพเดี่ยมก็จะเป็นต้องมีองค์กรที่ทรงอิทธิพลหนุนหลัง ทั้งสองกลุ่มจะต้องเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบแน่นอน
จางมัลดงได้หัวเราะขึ้นมา
“ถ้านั่นมันจริง… ถ้างั้นก็เหลืออีกสิ่งหนึ่งที่ต้องทำ”
“อีกหนึ่งอย่างหรอครับ?”
“จะอะไรอีกล่ะ? นายไม่คิดว่าเราควรจะเปลี่ยนชื่องั้นหรอ?”
จางมัลดงได้ยิ้มออกมา
“เป้าหมายของนายไม่ได้สอดคล้องกับ ‘ใช้ชีวิตในปัจจุบัน’ อีกแล้ว ในเมื่อนี่เป็นองค์กรของนาย นายก็ควรจะคิดชื่อของมัน”
“ชื่อ…”
ซอลจีฮูได้หยักหน้าออกมาด้วยความคิดที่ว่ามันก็ไม่ได้แย่อะไร
“ยังไงก็ตามฉันเข้าใจถึงเป้าหมายของนาย มันดูเหมือนว่านายจะได้ตัดสินใจไปแล้ว และฉันก็ไม่เห็นว่ามีเหตุผลอะไรต้องไปหยุดนายด้วย”
จางมัลดงได้ลุกขึ้นมา
“ซันเหอ… คาเพเดี่ยมกับซันเหอ…”
จางมัลดงได้พึมพำกับตัวเองเบาๆพร้อมเดินไปที่ประตู ก่อนที่จู่ๆจะหยุดลง
“ฉันขอถามหน่อยนะ”
จากนั้นเขาก็ถามออกมาราวกับเขามีเรื่องสงสัยขึ้นมา
“เมื่อนายมีอิทธิพลและพลังที่มากพอ…. เมื่อนายรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ถ้างั้นนายคิดจะทำยังไงล่ะ?”
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาที แต่ก็มีประกายแสงสีทองพวยพุ่งออกมาจากนัยน์ตาของซอลจีฮู
เขาได้ค่อยๆรวบมือเข้าด้วยกัน จากนั้นก็ก้มหน้าลง
เขาได้สาบานกับงานเลี้ยง
เพื่อที่จะไม่ค้นหาสีทองคำ
แต่ว่าจะกลายเป็นบัญญัติทองคำด้วยตัวเอง
ความหมายก็คือซอลจีฮูได้กลายเป็นกฎแห่งทองคำ และกฎแห่งทองคำก็คือซอลจีฮู
ซอลจีฮูได้ก้มหน้าลงบนมือที่ประสานกันและพูดเสียงต่ำออกมา
“…ผมจะแสดงให้พวกมันได้รู้”
เครื่องยนต์ที่เย็นลงไปหลังสงคราม…
“นี่คือผม ซอลจีฮู”
…ได้เริ่มร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง