ตอนที่ 203

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 203 – คำสาบานของโชฮง (1)

ข่าวเรื่องการออกมาจากห้องพักฟื้นของซอยูฮุยได้กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ว่าวิหารลูซูเรียก็ยังคงนิ่งเฉย เมื่อวานนี้พวกเขาดูเหมือนจะทำเต็มที่ในการหาผู้กระทำผิด แต่แล้วจู่ๆพวกเขาก็เงียบๆไป ราวกับมีน้ำเย็นจัดราดดับกองไฟไปแล้ว

มันค่อนข้างจะน่าสงสัยเพราะว่าเวลามันพอดีกันกับที่มีข่าวถูกปล่อยออกมาจากสมาคมนักฆ่า และใครก็ตามที่พอจะรู้ถึงความเป็นไปของพาราไดซ์อยู่บ้างก็จะรู้ได้เลยว่ามันจะต้องมีแผนการบางอย่างเขามาเกี่ยวข้อง แต่ว่าก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรบุ่มบ่ามออกมา

วิหารลูซูเรียเป็นองค์กรของนักบวชสายรักษา และเป็นสหภาพที่ทรงพลังมากที่สุดรองลงมาจากสมาคมจอมเวทย์ ไม่มีใครอยากที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยง

อิทธิพลของพวกเขามีมากยิ่งกว่าสมาคมนักฆ่าซะอีก มันถึงขนาดที่สมาคมนักฆ่ายังไม่กล้าเขียนข่าวเรื่องที่นักบวชพยายามจะคุมตัวซอลจีฮู

แน่นอนว่าหากไม่มีใครมองอยู่ก็อาจจะมีคนแอบก่นด่าพวกเขา แต่ว่าก็ไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังออกมา

“ฉันไม่เข้าใจพี่สาวคนนั้นเลย”

จางมัลดงได้เหลือบมองโชฮงที่เอาแต่นั่งบ่นอยู่ตลอดเวลา

“ถ้าเธอตื่นมาแล้ว เธอก็น่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วสิ มันไม่ใช่ว่าเธอจะต้องใช้มาตราการจำเป็นบางอย่างแก้ไขสถานการณ์นี้หรอกหรอ? เราไม่ได้รู้จักกันแค่ไม่กี่ว้นนะ”

ช่วงนี้โชฮงได้บ่นออกมาไม่หยุด เธอไม่ชอบแบบนี้ ไม่ชอบแบบนั้น เธอบ่นหนักมากจนทำให้ทุกๆคนหูชา

“อย่างน้อยเธอก็ควรจะพาไอ้คนที่ข่มขู่เขามาขอโทษสิ อ่า แค่คิดเรื่องนี้ก็ทำให้ฉันโมโหขึ้นมาแล้ว”

จางมัลดงได้แค่นเสียงขึ้น

คลาสที่ได้รับการดูแลเหมือนกับเป็นชนชั้นสูงคล้ายกับนักเวทย์จะมาขอโทษงั้นหรอ?

มันไม่มีกฎว่าพวกเขาจะพูดไม่ได้ แม้กระทั่งนักบวชที่เชี่ยวชาญในการักษาก็ยังก้มหัวให้คนอื่นๆได้

แต่ปัญหาคือพวกเขาจะไม่มีวันทำแบบนั้นกับทีมเล็กๆอย่างคาเพเดี่ยม ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์กรขนาดใหญ่ที่มีอิทธิพลอย่างซิซิเลียด้วยซ้ำไป

“อ๊าาาาาาาา—!”

โชฮงที่ทนกลั้นความโกรธเอาไว้ไม่ไหวได้กรีดร้องออกมา

จางมัลดงอยากจะบอกให้เธอเงียบ แต่ว่าเขาก็ห้ามตัวเองเอาไว้ เขารู้ว่าเธอรู้สึกแย่กับมันแค่ไหน

จางมัลดงได้ถอนหายใจก่อนจะพูดออกมา

“อย่าไปโทษเธอเลย เธอไม่ได้ทำอะไรตามต้องการได้หรอกนะ”

“นั่นมันหมายความว่ายังไง? เธอเป็นผู้บริหารแห่งราคะนะ! เธออยู่ในวิหารลูซูเรียไม่ใช่หรอ?”

โชฮงได้ยกนิ้วแย้งออกมา และจางมัลดงก็ได้ส่ายหัวออกมา

“เธอเคยเป็น”

“ไม่ใช่ว่าระหว่างสงครามเธอได้กลับมาแล้วหรอ?”

“พูดให้ถูกคือเธอได้ถอนตัวออกมาแล้ว เธอไม่ได้มีอิทธิพลเหมือนอย่างในยุครุ่งเรืองของเธอแล้ว นับตั้งแต่ที่เธอเกษียณออกไป เธอก็ได้สูญเสียทุกอย่างไปแต่แรกแล้ว…”

เขายังพูดไม่จบว่า ‘มันเป็นเรื่องยากที่จะเอาอำนาจที่เธอทิ้งไปกลับคืนมา’ แต่ว่าโชฮงก็เข้าใจถึงสิ่งที่เขาจะบอก และเกาหัวออกมา

“อ๊าาา~~ ช่างน่าเสียดาบสำหรับคนที่มีชื่อเป็นตำนานจริงๆเลย”

“เอาเถอะ ชื่อของเธอก็ยังมีคุณค่าอยู่ มันไม่ใช่ว่าเธอได้เสียผู้สนับสนุนทั้งหมดไป แต่ว่าความสามารถในฐานะผู้บริหารของเธอถูกผนึก และเธอไม่อาจจะใช้ทักษะในฐานะแรงค์เกอร์ระดับพิเศษได้อีก เพราะงั้นเธอจึงเป็นเป้าหมายที่เหมาะมากสำหรับคนที่กำลังมองหาผลประโยชน์”

“ชิ ช่างวุ่นวายจริงๆเลย”

เมื่อจางมัลดงได้ยิ้มแห้งๆออกมา โชฮงก็กัดริมฝีปากขึ้น

จริงๆแล้วโชฮงก็รู้ถึงสถานการณ์ของซอยูฮุย และกระทั่งเห็นใจเธออยู่ประมาณหนึ่งด้วย ยังไงเธอก็เป็นคนที่เข้ามาในพาราไดซ์ในฐานะตราประทับสีแดง และได้มีประสบการณ์กับแผนชั่วๆต่างๆมากมายกว่าจะมายืนอยู่ในจุดนี้ได้

มีอยู่หลายครั้งที่เธอต้องพูดขอบคุณทั้งๆที่เธอควรจะถูกขอบคุณ และมีอยู่หลายครั้งเช่นกันที่เธอต้องพูดขอโทษทั้งๆที่เธอควรจะเป็นฝ่ายที่ได้ยินคำขอโทษ

สถานการณ์มันก็เป็นเช่นนี้แหละ

“นี่มันโลกบ้าอะไรกันเนี้ย ฉันคิดว่าฉันคงผิดเองที่แกร่งไม่พอสินะ”

โชฮงได้กล้ำกลืนความโกรธก่อนจะมองไปรอบๆตัว และพูดขึ้นมา

“แล้วเขาไปไหนล่ะ?”

จางมัลดงได้กอดอก และมองไปที่หน้าต่างของอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

“เขาบอกว่าเขาจะไปเยี่ยมเพื่อนบ้าน”

ในเวลาเดียวกัน

“เอ๋?”

ซอยูฮุยที่กลับมาบ้านได้มองดูแขกด้วยสีหน้าอึดอัด

“นะ… นายว่ายังไงนะ?”

เมื่อเธอได้ค่อยๆถามไปอีกครั้ง

“ผมจะต้องทำยังไงถึงจะฟื้นฟูความสามารถของพี่สาวกลับมาได้”

ซอลจีฮูได้ย้ำถึงสิ่งที่เขาพูดออกไปอีกครั้งหนึ่งโดยไม่ตกหล่นแม้แต่นิด

ซอยูฮุยได้ค่อยๆหลับตาลง

“เขาบอกนายแล้วสินะ”

เธอได้ขอร้องให้จางมัลดงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ แต่ว่าเธอก็รู้ว่าซอลจีฮูจะไม่มีวันยอมเว้นแต่จะได้รับคำอธิบายดีๆจนทำให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นมา

ซอยูฮุยได้โบกมือออกมาด้วยรอยยิ้มอึดอัดใจ

“เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง ฉันดีใจนะที่นายเป็นห่วง แต่ว่านายไม่ต้องคิดมากหรอก”

จากนั้นเธอก็แสดงความขอโทษออกมา

“ขอโทษนะ เพราะฉัน…”

ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมาเมื่อเห็นว่าซอยูฮุยพูดได้ไม่จบประโยชน์

“ผมคิดว่ามันเป็นเพราะผมที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น”

“ไม่ นายไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”

ซอลจีฮูได้ส่ายหัวออกมาอีกครั้งหนึ่ง

“ผมไม่ได้กำลังพูดเรื่องนักบวชที่บุกเข้ามาในสำนักงานคาเพเดี่ยม ผมกำลังพูดถึงเรื่องที่พี่สาวถูกโจมตี”

ซอยูฮุยได้จ้องไปที่ชายหนุ่มที่พูดถึงความคิดออกมาอย่างชัดเจน ตอนแรกที่ได้ยินเธอตกใจจนพูดไม่ออก และคิดว่าเขาจะเสียใจอย่างหนัก แต่ว่าดูเหมือนเขาจะยังตั้งสติได้อยู่

เขาคงจะลืมมันไปหรือไม่ก็กำลังอดทนกับมัน

หรือบางทีเขาอาจจะมีความคิดอย่างอื่น

แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามมันดูเหมือนเขาจะไม่ยอมถอย

“มันไม่ได้มีปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน…”

“แต่หากคำนึงถึงปัจจัยภายนอกก็ไม่ใช่นะครับ”

ซอยูฮุยได้แอบถอนหายใจออกมากับซอลจีฮูที่ยืนกรานอย่างหนักแน่น เธอบอกได้เลยว่าเขาได้ตัดสินใจมากแล้ว ซอยูฮุยที่รู้ว่าไม่อาจจะเอาชนะซอลจีฮูได้ก็ได้แต่สารภาพออกมา

“โอเค… มันดูเหมือนว่านายจะได้ยินมาแล้ว แต่ว่าฉันจะบอกรายละเอียดให้ฟังแล้วกันนะ ความสามารถส่วนใหญ่ของฉันถูกผนึกไปจากผลสะท้อนจากพิธีกรรมที่ต้องแบบรับ ฉันไม่ค่อยมั่นใจ แต่ว่าตัวฉันในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับนักวชระดับ 1 หรือ 2”

‘นักบวชระดับ 1 หรือ 2?’

ซอลจีฮูได้กลืนน้ำลายลง สภาพของซอยูฮุยในปัจจุบันแย่กว่าที่เขาคิดไว้ซะอีก ในเวลาเดียวกันเขาก็ชื่นชมในตัวเธอที่สามารถจะสงบนิ่งแบบนี้ได้

อาจจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเธอได้ตลอดเวลา แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เห็นแม้กระทั่งความกังวลหรือความไม่พอใจจากเธอได้เลย

“การรักษาฉันมันเป็นเรื่องง่าย ฉันก็แค่ต้องนำเครื่องเซ่นไหว้ให้กับเทพธิดาลูซูเรีย”

ในที่สุดคำตอบที่ซอลจีฮูรออยู่ก็ดังออกมา

“เครื่องเซ่นไหว้?”

ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา เขาคิดว่าจุดตันเถียนของเธอจะตันหรือว่าวงจรมานาของเธอพังไปแล้ว แต่ว่าเครื่องเซ่น? นี่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลยสักนิด

“นักบวชต่างไปจากคลาสๆอื่นในเรื่องความเกี่ยวข้องอันใกล้ชิดกับเทพของพวกเขา”

ซอยูฮุยได้ค่อยๆอธิบายออกมาเหมือนกับคุณครูที่สอนเล็ก และนี่ก็ได้ทำให้ซอลจีฮูนึกถึงนักบวชทุกๆคนที่จะพกแท่นบูชากับเครื่องเซ่น

มาเรียกับอเล็กซ์ก็เหมือนกัน นี่มันคล้ายๆกันกับการเตรียมเวทย์ไว้ล่วงหน้าเหมือนอย่างที่นักเวทย์ทำด้วยเวทย์จดจำ พูดกันไปแล้ว….

‘นักบวชได้ยืมในอำนาจของเทพโดยตรง เพราะงั้นพวกเขาจึงต้องชดใช้กลับไปในทุกๆครั้ง จริงไหมล่ะ?’

ขณะที่ซอลจีฮูกำลังคุ้ยความทรงจำที่เขารู้เกี่ยวกับนักบวช ซอยูฮุยก็ยังคงอธิบายต่อไป

“นอกจากสภาพร่างกายที่ฉันจ่ายไปกับการใช้พิธีกรรมแล้ว ฉันยังได้ยืมพลังและใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ออกไปมากกว่าที่ฉันจะใช้ได้ เพราะแบบนี้ทำให้ความสามารถของฉันถูกผนึก”

“อ่า!”

ซอลจีฮูได้อ้าปากค้างออกมา มันชัดเจนว่าจะกู้คืนความสามารถของซอยูฮุยมาได้ยังไง นั่นก็คือมอบเครื่องเซ่นที่มีค่าเทียบเท่ากันกับพลังที่ซอยูฮุยได้ยืมออกมาในเวลานั้นไป

“ฉันได้รวบรวมเครื่องเซ่นทั้งหมดที่รวมได้แล้ว… แต่ว่ามันก็ฟื้นฟูกลับมาได้ไม่มากเท่าที่คิด”

ซอลจีฮูได้ใช้เวลาครู่หนึ่งกับการจัดการความคิดก่อนที่จะพูดออกมา

“มีเครื่องเซ่นที่เหมาะไหมครับ?”

“อืมม… เทพจะชอบในเครื่องเซ่นที่สื่อถึงตัวเอง… แต่ว่าท่านลูซูเรียไม่ใช่คนจุกจิก เธอชอบก็แค่ชอบในเครื่องเซ่นที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด”

ซอลจีฮูได้ถามออกมา

“ถ้างั้นแล้วเครื่องเซ่นจะต้องมีพลังศักดิ์สิทธิ์มากขนาดไหนถึงจะฟื้นฟูพลังของพี่สาวกลับมาได้จนหมด?”

“อืมม…”

ซอยูฮุยได้กอดอกเอียงหัวออกมา

“หากว่ามีของอย่างของที่ระลึกแห่งมอไร ฉันก็คิดว่าน่าจะฟื้นฟูพลังของฉันกลับมาได้ในทีเดียว…”

ซอลจีฮูได้เบิกตากว้างขึ้นมา

‘ของที่ระลึกแห่งมอไร…’

นี่คือของที่ถูกขายอย่างในเขตพื้นที่เป็นกลางด้วยคะแนนเอาชีวิตรอด ซอลจีฮูยังจำมันได้อย่างชัดเจนเพราะมันคือของที่มีราคาแพงที่สุดที่ขายอยู่ในร้านวีไอพี

ซอยูฮุยที่ได้เห็นใบหน้าของซอลจีฮูได้ยิ้มออกมา

“ไม่เป็นไรหรอก เครื่องเซ่นเป็นแค่วิธีที่เร็วที่สุดในการฟื้นคืนพลังกลับมาเท่านั้นเอง มันไม่ใช่วิธีเดียวซะหน่อย ถึงจะใช้เวลานาน แต่ว่าด้วยการไปภาวนาที่วิหารก็ช่วยได้เหมือนกัน”

ซอลจีฮูได้ตัดสินใจขึ้นเมื่อได้ยินถึงความเห็นนี้จากซอยูฮุย

ด้วยเหตุการณ์นี้ได้ทำให้เขาได้เห็นถึงด้านมืดของพาราไดซ์อย่างชัดเจน และได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง มนุษย์ทุกๆคนได้ไม่อยู่ฝ่ายเดียวกัน มีศัตรูที่หลบซ่อนอยู่ที่ซึ่งไม่ลังเลที่จะหันคมหอกมาที่พวกเดียวกันเองเลยหากเป็นเรื่องของผลประโยชน์

หรือก็คือเขาไม่อาจจะการันตรีได้ว่าจะปลอดภัยหากอยู่เคียงข้างมนุษย์ แม้กระทั่งวิหารลูซูเรียก็ยังถูกบุกได้

เพราะแบบนี้ซอลจีฮูจึงพูดขึ้นมา

“ผมมีคำขอครับพี่สาว”

“หืมม? อะไรงั้นหรอ?”

อะไรทำให้เขาจริงจังขนาดนี้นะ? ซอยูฮุยได้กระพริบตาออกมาด้วยความสงสัย

“พี่สาวบอกว่าจะฟื้นคืนพลังกลับมาได้ด้วยการไปภาวนาที่วิหาร แต่ว่าผมคิดว่านั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนะ”

“…”

“แน่นอนว่าผมรู้ว่าพี่สาวได้มีความคิดในการแก้ปัญหานี้อยู่แล้ว และผมก็มั่นใจว่าพี่สาวมีผู้สนับสนุนอยู่ด้วยเช่นกัน… แต่ว่าผมก็อดคิดไม่ได้ว่าการไปวิหารลูซูเรียมันเหมือนกับการเดินเข้าไปในฐานของศัตรู พี่สาวอาจจะถูกโจมตีอีกครั้งในไม่ช้า”

ซอยูฮุยไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธในความสงสัยของซอลจีฮู ซอลจีฮูได้ใช้ความเงียบของเธอเป็นสัญญาณของการยืนยัน

“ผมจะพูดตรงๆเลยนะครับ ทำไมพี่สาวไม่มาอยู่ทีมคาเพเดี่ยมซักพักล่ะครับ?”

“…เอ๋?”

ซอยูฮุยได้เบิกตากว้างขึ้นมา มันดูเหมือนกับว่าเธอจะคาดไม่ถึงสักนิดเลย

กำแพงเหล็ก ซอลจีฮูรู้ว่าซอยูฮุยถูกเรียกยังไงในพาราไดซ์ เขารีบเสริมขึ้นอีกเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด

“ผมไม่ได้จะกดดันหรือบังคับพี่สาวนะ หากว่าพี่สาวไม่ต้องการ ผมก็จะไม่พูดมันอีก”

“ดะ เดี๋ยวก่อน จริงๆแล้วฉันก็-“

“ผมไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว ผมไม่ได้อยากจะดึงตัวพี่สาว แต่ว่าผมคิดว่าคาเพเดี่ยมน่าจะเป็นที่ที่พี่สาวสามารถจะพักได้ในระหว่างกำลังฟื้นฟูพลังกลับมา”

ซอลจีฮูได้หยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อเบาๆ

“มันก็แค่… ผมติดหนี้บุญคุณพี่สาวมากเกินไป ไม่ว่าจะยังไงผมก็อยากจะชดใช้หนี้บุญคุณ”

ริมฝีปากซอยูฮุยได้เม้มขึ้นมา จากดวงตาที่กระพริบรัวจองเธอมันทำให้ดูเหมือนเธอกำลังเลิ่กลั่ก

ซอลจีฮูได้คิดขึ้นว่า ‘มาช่วยกันหาเครื่องเซ่นกันเถอะ นี่เป็นวิธีที่ปลอดภัยแล้วก็เร็วที่สุดแล้ว’ มีหลายอย่างที่เขาอยากจะพูด แต่ว่าเขาก็ต้องกลืนคำพูดนี้ลงไป

การเผยความรู้สึกออกไปตรงๆมันเหมือนกับเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด นี่คือสิ่งที่เขาได้ทำ

“ผมจะปกป้องพี่สาวเอง”

จากนั้นเอง

ดวงตาที่เลิ่กลั่กของซอยูฮุยก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เธอได้สูดหายใจลึก และลำคอสีขาวหิมะของเธอก็แดงขึ้นมาเหมือนแม่น้ำที่สะท้อนแสงอาทิตย์

ซอยูฮุยได้ไอแห้งๆ และพึมพำออกมา

“…นิสัยชอบทำอะไรกระทันหันยังไม่เปลี่ยนเลยนะ”

หลังจากเงียบอยู่สักพัก ซอยูฮุยก็ค่อยๆสูดหายใจเข้าอย่างสงบ เธอดูเหมือนกับคนที่กำลังพยายามสงบสติอารมณ์อยู่

“ฉันขอใช้เวลาคิดได้ใช่ไหม?”

“แน่นอนสิ!”

ซอลจีฮูได้ตอบกลับไปทันที

เขาก็ไม่ได้หวังว่าจะได้รับคำตอบในทันทีอยู่แล้ว และในมุมมองของเขาท ซอยูฮุยก็ดูยังจะสงสัยอยู่

เขาเป็นคนทำอะไรไม่คิด และหยาบคายไปไหมนะ?

ความตั้งใจของซอลจีฮูชัดเจนมาก แทนที่จะอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยศัตรู เขากำลังบอกให้ซอยูฮุยพึ่งพาเขา และรับการปกป้องให้รอบด้านแทน

คาเพเดี่ยมคือทีมที่ยอดเยี่ยมภายในฮารามาร์ค แต่ว่าก็มีปัญหาอยู่ก็คือการที่ซอยูฮุยเข้าร่วมคาเพเดี่ยมจะส่งผลให้ซอลจีฮูมีศัตรูมากยิ่งขึ้น

แต่ว่าซอลจีฮูก็ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้เพราะเขามัวแต่คิดเรื่องการทดแทนบุญคุณซอยูฮุยตามกฎแห่งทองคำของเขา

ไม่นานนักเสียงของซอลจีฮูก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“งั้นผมไปก่อนนะครับ”

ซอยูฮุยได้รีบลืมตาขึ้นมาอย่างร้อนรน

“หะ หืม? อ่า จะไปแล้วหรอ?”

ซอลจีฮูได้เอียงหัวออกมา เขากลัวว่าข้อเสนอของเขาจะไปทำให้เธออึดอัดใจ แต่ว่าเธอกลับดูยินดีแปลกๆ

“ครับ แล้วก็-“

ซอลจีฮูได้พูดต่อออกมา

“ไม่ต้องห่วงนะครับ เราจะหาคนร้ายเอง”

ซอยูฮุยได้ยิ้มบางออกมา

“อย่ากดดันตัวเองเกินไปนะ พวกเขาไม่ใช่ศัตรูที่จัดการได้ง่ายหรอก”

“ครับผม ผมก็พอจะคิดไว้อยู่แล้วครับ”

หลังจากตอบกลับอย่างสดใส ซอลจีฮูก็โค้งให้ก่อนจะจากไป และไม่นานนัก… ตึง เสียงประตูถูกปิดก็ดังขึ้นมา รอยยิ้มสดใสของซอยูฮุยได้กลายเป็นเคร่งขรึมในทันที

เมื่อเธอระบายลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ออกมา ใบหน้าของเธอก็ค่อยๆแดงระเรื่อขึ้น ซอยูฮุยได้รีบยกมือขึ้นจับแก้มให้มันเย็นลงในทันที

‘ทำยังไงดีล่ะ…’

จากคำพูดที่กระหันทันของชายหนุ่มได้ทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นในใจของเธอ

[ให้ผมปกป้องพี่สาวนะ]

ซอยูฮุยได้หยับตาลงโดยที่ยกมือข้างหนึ่งจับหน้าอกข้างซ้ายเอาไว้ เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของเธอกำลังเต้นแรง

‘ทำไมจู่ๆเขาถึงพูดอะไรแบบนั้น…’

แม้ว่าเธอจะดูเหมือนกำลังอาย…

‘ชิ…’

ซอยูฮุยได้พยายามหยุดตัวเองไม่ให้มุมปากขยับยิ้มออกมา