บทที่ 204 – คำสาบานของโชฮง (2)
คริสตัลสื่อสารได้เรืองแสงออกมาเร็วกว่าที่คิดเอาไว้
ซอลจีฮูคิดว่าอย่างน้อยจะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน แต่ว่าเขากลับได้รับการติดต่อกลับมาในเวลาแค่ไม่กี่วัน
นี่คือการติดต่อมาจากคริสตัลของพาโลวิซี่โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกเลย
ซอลจีฮูได้วางมือลงไปบนคริสตัล และปล่อยมานาเข้าไปข้างใน
-ฉันเอง
ในทันทีที่คริสตัลสว่าง น้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมา
เพราะตอนนี้อยู่ในช่วงกลางดึก คริสตัลจึงปกคลุมไปด้วยความมืด แต่ว่าเขาพอจะบอกได้ว่าฟีโซราเป็นคนที่ส่งเสียงออกมา
การที่ฟีโซราติดต่อมาหาเขาผ่านคริสตัลที่เขามอบให้พาโลวิซี่นั่นหมายความว่า
“คงจะมีการโจมตีเกิดขึ้นสินะ”
-ใช่แล้ว ก็อย่างที่นายคิดไว้นั่นแหละ
ฟีโซราได้หัวเราะออกมา ดูจากที่เธอหัวเราะออกมาแล้ว เธอก็คงจะทำภารกิจสำเร็จโดยไร้ปัญหาใด เมื่อคิดได้แบบนี้น้ำเสียงของซอลจีฮูก็ได้เบาลง
“ฉันดีใจนะที่เธอไม่เป็นไร”
-ทำไมล่ะ? พวกนั้นยังไม่พอให้ได้อุ่นเครื่องเลยด้วยซ้ำ เอาเถอะนะ เจ้าพวกนั้นก็มากพอจะฆ่าเจ้าสี่หน่อนี่แหละ แต่ว่าต่อหน้าฉันแล้วมันไม่มีค่าอะไรเลย
ฟีโซราได้อวดออกมาอย่างภาคภูมิใจ
“แล้วเรื่องคมาแชล จิโอเนียล่ะ?”
-ฉันคิดวว่าฉันได้ยินเขาบอกว่าเขาจะไปจับคนดูต้นทาง… อ่า เดี๋ยวนะ เขากำลังมาแล้ว
สภาพแวดล้อมที่มืดมนที่แสดงผ่านคริสตัลได้ขยับไปอยู่เล็กน้อย
-ครับ หัวหน้า
น้ำเสียงของมาแชล ชีโอเนียสงบมากจนไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาเพิ่งจะผ่านการต่อสู้มา
-รายงานนะครับ ในหน่วยซุ่มโจมตีมีทั้งหมด 16 คน เป็นสายต่อสู้ 12 คน คนดูทาง 4 คน ในจำนวนทั้งหมด 10 คนในสายต่อสู้ได้ถูกฆ่าไป และมี 6 คนที่ถูกจับตัวได้
“ฆ่าไปเยอะอยู่นะ”
มาแชล จิโอเนียได้เดาะลิ้นออกมา
-ไม่มีทางเลือกครับ คุณฟีโซราไม่เพียงไม่ห้ามตัวเองเท่านั้น แต่ยังมีหนึ่งในชายสี่คนได้รับบาดเจ็บทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา…
-ทำไมนายถึงใช้ฉันเป็นข้ออ้างล่ะ?
ฟีโซราได้แย้งออกมาอย่างไม่พอใจ
ซอลจีฮูรีบพูดขึ้นทันที
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
-ไม่จำเป็นหรอกครับ
“หืม? ทำไมล่ะ?
-มีหน้าคนที่ผมจำได้อยู่
มาแชล จิโอเนียได้พูดต่อเบาๆ
-ผมได้สอบปากคำหนึ่งในคนดูต้นทางระหว่างกลับมาแล้ว พวกเขาเป็นนักเลงที่ตระเวนอยู่ตามตรอกฮารามาร์ค พวกเขาได้ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆในแต่ล่ะวันเท่านั้นเอง
“ถ้างั้น…”
-มันเป็นวิธีเดียวกันกับก่อนหน้านี้ พวกเขาได้รับงานนี้มาจากคนที่ปกปิดตัวตนทำให้ต่อให้คนเหล่านี้ล้มเหลวก็ไม่เกิดความเสี่ยงขึ้นมา
-ถ้าฉันจะให้พูดล่ะก็ พวกมันอาจจะแค่ลองเชิงเท่านั้นเอง…
‘พวกเขาคงสงสัยที่พวกเราปล่อยสี่คนนั้นออกไปโดยไม่เป็นอะไรสินะ?’
ซอลจีฮูได้หรี่ตาลง
“พอจะช่วยแสดงใบหน้าหนึ่งในพวกนั้นให้ฉันดูได้ไหม?”
-แน่นอนครับ!
มาแชล จิโอเนียได้ทำตามคำขอของซอลจีฮูที่น่ารำคาญใจอย่างว่าง่าย หลังจากได้เห็นหน้าคนที่ถูกจับด้วยตัวเองแล้ว ซอลจีฮูก็มั่นใจขึ้นมา
‘มันแตกต่าง’
ฉากมันแตกต่างไปจากสิ่งที่เขาได้เห็นในนิมิต และมันไม่ได้ต่างกันแค่อย่างสองอย่างเท่านั้น
ผู้ร้านทั้งหมดเป็นผู้ชาย ในทีมไม่มีผู้หญิงอยู่เลยแม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ก็ยังไม่มีสักคนที่มีรอยสักอสรพิษสีม่วงอยู่ที่คอ
-เราควรจะทำยังไงกับพวกเขาดีล่ะครับ?
“ฆ่าพวกเขาทั้งหมด”
หลังจากพูดแบบนี้แล้ว ซอลจีฮูก็ตกใจกับตัวเองที่ส่งคำสั่งแบบนี้ออกไป เขาได้บอกให้ฆ่าคนอื่นได้ง่ายเกินไปแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็คิดว่าเขาควรจะใช้เชลยทั้งหกคนนี้เหมือนกับที่เคยทำกับพาโลวิซี่ดีไหม
‘…ไม่สิ’
แต่ว่าในทันทีที่เขาถามกับตัวเองว่า ‘จะเกิดอะไรขึ้นบนโลกหากว่าฉันฆ่าพวกเขาในพาราไดซ์?’ เขาก็ตัดสินใจว่ามันเป็นความใจอ่อนที่โง่เง่า และตัดสินใจทำเป็นใจแข็ง
เขาได้ฆ่าคนไปแล้ว และยิ่งกว่านั้นนี่คือโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก
ซอลจีฮูไม่ได้ถอนคำสั่ง และขอพูดกับพาโลวิซี่แทน
-…ครับ
น้ำเสียงต่ำ แต่ว่ามีความสั่นได้ดังออกมาอย่างชัดเจน เสียงของเขาดูเหมือนกับว่าเขายังตกอยู่ในความสับสนอยู่
“ฉันจะไม่พูดมากนะ”
ซอลจีฮูได้ถามออกไปโดยบอกว่าเขาหวังจะให้ตัดสินใจในทันที
“นายมีแผนจะทำอะไร?”
เขาไม่ได้รับคำตอบในทันที
แต่ว่าราวกับเขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างระหว่างที่ซอลจีฮูคุยกับฟีโซราและมาแชลจิโอเนีย ทำให้พาโลวิซี่รีบตอบกลับไป
-อะ… เราต้องทำยังไงต่อล่ะ?
เสียงหอบหายใจหนักๆได้ดังออกมาราวกับเขาเพิ่งจะเริ่มได้กลับมาหายใจอีกครั้ง
ซอลจีฮูที่จดจ่ออยู่กับเสียงที่อยู่ที่ฝากหนึ่งได้เม้มปากขึ้นมา
พาโลวิซี่รู้สึกหวาดกลัว แต่ว่าซอลจีฮูไม่ได้รู้สึกถึงความหวาดระแวงใดๆที่มาจากเขาอีกแล้ว เนื่องจากว่าซอลจีฮูได้พิสูจน์ตัวเองไปราวกับว่าเขารู้ทั้งอดีตและอนาคต พาโลวิซี่จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อใจเขา
“ตอนนี้มันไม่มีอะไรที่นายต้องทำ”
ซอลจีฮูได้พูดขึ้นอีกครั้ง
“ฉันจะเรียกนายทีหลัง แต่ว่าจนกว่าจะถึงตอนนั้น…”
-นายอยากจะให้เขาหาที่ซ่อนกันอยู่เงียบๆ
สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจะทำให้มนุษย์ก้าวข้ามขีดจำกัด พาโลวิซี่เข้าใจถึงสิ่งที่ซอลจีฮูจะบอกได้ในทันทีและพูดต่อทั้งๆที่กัดฟันแน่น
-ฉันรู้จักที่ซ่อนที่มีแค่เราสี่คนที่รู้ เราจะหลบซ่อนที่นั่นไปสักพัก
“ที่ไหน?”
-…เป็นที่โบสถ์อีวา ส่วนตำแหน่งชัดๆมันอธิบายได้ยากหน่อย
พาโลวิซี่ลังเลใจอยู่ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ซ่อนทุกอย่าง ซอลจีฮูได้ยิ้มออกมาโดยที่มองดูคริสตัลอย่างตั้งใจ
“ถ้างั้นก็โอเค ฉันหวังว่านายจะตอบสนองในทันทีที่ฉันติดต่อไปนะ”
หลังจากกล่าวลาแล้ว ซอลจีฮูก็ตัดการต่อต่อไป
รอยยิ้มของเขาได้หายไปในทันทีที่แสงดับลง และเอียงหัวขึ้นมองเพดาน
‘ลองเชิงสินะ…’
ศัตรูไม่ได้โง่ กลับกันเลย พวกเขาเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
จางมัลดง ซอยูฮุย แอ็กเนส
ทั้งสามคนที่เป็นคนที่มีความพิเศษในพาราไดซ์ต่างก็บอกให้เขาระวังศัตรูกลุ่มนี้ให้ดีทั้งนั้น เพราะงั้นพวกเขาคงไม่ได้ทึ่มถึงขนาดที่จะตะครุบเหยื่อที่เขาโยนออกไปในครั้งเดียวแน่
‘ฉันไม่ควรจะประมาทเร่งรีบไป’
มันมีกฎง่ายๆสำหรับนักพนันก็คือพวกเขาจะไม่ลุกจากที่นั่งเมื่อได้รับไพ่ดีๆเข้ามือมา
ในทางกลับกันมันก็มีสถานการณ์ที่เขาจะต้องลุกจากไปในทันทีอยู่
ซอลจีฮูรู้สึกได้ถึงไพ่ในมือของเขา ชายทั้งสี่คนเมื่อครู่นี้
ด้วยประสบการณ์นักพนันอันยาวนานกำลังบอกกับเขาอยู่
หากว่าเขาเล่นต่อไปเพราะเขากำลังจะชนะ เขาก็จะต้องเสียท่าแน่ เพราะงั้นเขาจะต้องรีบเก็บกระดาน
‘ค่อยเป็นค่อยไป’
ไม่ว่าจะวิธีใดเขาก็ทำให้ไพ่ทั้งสี่ของเขารอดชีวิตได้สำเร็จแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือค่อยๆบีบวงลงไปโดยไม่ให้ศัตรูรู้ตัว จากนั้นเมื่อถึงเวลาเชือกที่เขาหว่านออกไปก็จะรัดคอศัตรูเอง
“ฟู่…”
หลังจากจัดการความคิดแล้ว ซอลจีฮูก็ถอนหายใจยาวออกมา เขายังคงเสียใจอยู่บ้าง มันจะต้องมีวิธีที่ดีกว่านี้ในการใช้งานทั้งสี่คน ท้ายที่สุดแล้วเขาต้องการข้อมูลที่มากกว่านี้
หากว่าเขามีผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้คอยช่วย เขาก็คงจะรู้สึกมั่นใจยิ่งกว่านี้
คนที่เชี่ยวชาญในด้านนี้ในความคิดของเขาก็คือคิมฮันนาห์
เขามีความเชื่อมั่นในตัวแมวมองที่ยอดเยี่ยมและเป็นนักต้มตุ๋นที่มีชื่อเสียงที่สุดในพาราไดซ์ว่าหากเธอรู้เรื่อง คิมฮันนาห์ก็คงจะร้องออกมาว่า ‘ไอ้สารเลวตัวไหนกล้ามาแตะต้องคนของฉันกัน?’ ก่อนที่จะแก้ไขทุกๆอย่างแน่
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้ติดต่อไปหาเธอ เขาได้ลองโทรไปขอคำแนะนำจากเธอแล้ว แต่ว่าก็ไม่มีใครรับเลยสักนิด นี่มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะงั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลขึ้นมา
‘หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอนะ…’
แน่นอนเขาก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่เธอได้กลับโลกไป แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่สบายใจ
‘ฉันต้องไปสกีเฮราซาร์ดไหมนะ…?’
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมคิมฮันนาห์ถึงได้ให้ความสำคัญกับการติดต่อกัน ขณะที่เขากำลังจะลองติดต่อไปหาเธออีกครั้งนั้นเอง…
“เฮ้!”
โชฮงได้ส่งเสียงออกมาพร้อมๆกับเปิดประตู เธอคงจะเพิ่งอาบน้ำมาเพราะยังคงมีหยดน้ำตกลงมาจากปลายผมของเธออยู่เลย
“กำลังทำอะไรอยู่งั้นหรอ? นายดูเหมือนกำลังจะติดต่อหาใครอยู่เลย”
“อ่า ฉันเพิ่งจะคิดอะไรอยู่นะ”
“คิดงั้นหรอ? อะไรล่ะ?”
“ฉันรู้สึกเหมือนว่าเราต้องการคนเพิ่ม”
เมื่อเธอได้ยินว่าเขากำลังคิดเรื่องรับคนเข้ามาเพิ่ม โชฮงก็เม้มริมฝีปากหยักหน้าออกมา
“อืมมม… ก็จริงนะ คนที่มีความสามารถจะได้รับการต้อนรับอยู่เสมอ แต่ว่าทำไมล่ะ? นายจะหานักบวชงั้นหรอ?”
“แน่นอนว่าเราต้องหานักบวช แต่ว่าฉันก็ยังอยากจะได้เลขามาช่วยด้วยเหมือนกัน”
“มีใครในใจไว้ล่ะ?”
“ก็มีแล้วล่ะ ถึงจะเป็นแค่ความคิดของฉันคนเดียวก็เถอะนะ”
โชฮงที่ถามเล่นๆออกมาจู่ๆก็กลายเป็นสงสัยขึ้นมา
“โอ้? ใครล่ะ? บอกหน่อยๆ ฉันอยากรู้”
“ก็ได้ พี่ยาวยูฮุยสมบูรณ์แบบที่สุดแล้วที่จะมาเป็นนักบวชให้เรา”
ใบหน้าของโชฮงได้แข็งทื่อไปในทันที
“แล้วก็ฉันกำลังคิดว่าคิมฮันนาห์ก็ดีที่จะมาเป็นเลขาให้เรา”
เธอได้ขมวดคิ้วขึ้นมาราวกับว่า ‘นี่นายไปกินยาลืมเขย่าขวดมางั้นหรอถึงได้พูดไร้สาระอะไรแบบนี้?’
“ทำไมเธอถึงมองฉันแบบนั้นล่ะ?”
“…เฮ้! นายคงไม่ได้เอาจริงใช่ไหม? นายแค่พูดเล่นสินะ?”
“ฉันจริงจัง ทำไมล่ะ? ฉันรับพวกเเธอเข้าทีมไม่ได้งั้นหรอ?”
ซอลจีฮูได้ถามกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง
โชฮงได้จ้องหน้าเขาอยู่สักพักก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา
“ฟุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
ซอลจีฮูได้มองโชฮงที่กำลังกุมท้องหัวเราะอย่างไม่เข้าใจ
“ว้าว… ว้าว…”
หลังจากหัวเราะพอแล้ว โชฮงก็สูดหายใจเข้าลึกพร้อมทั้งเช็ดน้ำตาออกมาจากตา
“อ่า- ฉันไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแล้วนะ”
“ทำไมเธอถึงขำล่ะ?”
“นายก็ลองดูตัวเองสิ? นายรู้ตัวไหมว่านายกำลังเป็นโรคอยู่น่ะ? โรคหลงตัวเองอะ”
“…”
“ฟังนะ ต่อให้เราเป็นทีมที่ดีที่สุดในฮารามาร์ค แต่คนเหล่านั้นต่างก็ถูกรายล้อมไปด้วยแรงค์เกอร์ระดับสูงทั้งนั้นเลยนะ!”
อีกครั้ง
“พรืดดด”
โชฮงแทบไม่อาจจะกลั้นขำเอาไว้อยู่ และตบบ่าซอลจีฮู
“หากว่าเป็นคนอย่างคาซุกิฉันจะไม่ขำเลย แต่ว่าอะไรกัน? บุตรแห่งลูซูเรียสมบูรณ์แบบงั้นหรอ? ยัยจิ้งจอกดีงั้นหรอ? ฉันทำไม่ได้อะ ฟุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
เธอไม่อาจจะกลั้นขำเอาไว้ได้อีกต่อไป และหลุดขำออกมา
“สองคนนั้นต่างก็อยู่ในจุดสูงสุดของเส้นทางตัวเองแล้ว แต่ว่านายกำลังคิดจะดึงตัวพวกเธอมาเข้าทีม ไปหาน้ำเย็นๆมากินให้สติกลับมาดีกว่านะไอ้เวร”
ซอลจีฮูได้โกรธขึ้นมาแล้วเมื่อได้ยินโชฮงบอกให้เขาหยุดฝันซ้ำๆ
“ใครบอกว่าพวกเขาจะไม่มากันล่ะ?”
“โอ้!!?? จริงงั้นหรอ!?? ดูท่าจะฝันหนักเลยนะ”
“จองโชฮง…”
ดวงตาซอลจีฮูได้กลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา
“แล้วถ้าฉันดึงตัวพวกเธอเข้าทีมได้ เธอจะทำยังไงล่ะ?”
“โอ้?”
โชฮงได้แสดงสีหน้าเหมือนกับจะพูดว่า ‘ดูนี่สิ?’ และยิ้มออกมา
“ฮ่าห์! เฮ้ หากว่านายดึงตัวใครมาได้สักคน ถ้างั้นฉันก็จะรับใช้นายในฐานะลูกพี่ไปตลอดชีวิตเลย ไม่สิ ฉันจะเรียกนายว่าลูกพี่ทุกๆครั้งที่เจอเลย”
ซอลจีฮูได้กัดฟันแน่นเมื่อเห็นโชฮงเยาะเย้ยออกมา
“ฉันจะไม่เป็นลูกพี่ แต่จะเป็นพี่ชาย”
“ได้สิ ได้เลย จะลูกพี่ หรือพี่ชายก็แล้วแต่เลยย~ ฉันจะพูดสุภาพสุดเคารพเลยล่ะ เพราะงั้นรีบไปดึงตัวพวกเธอมาได้แล้ว”
ซอลจีฮูได้กัดฟันแน่น
“เธอ อย่าได้ลืมคำที่เพิ่งพูดออกมานะ”
โชฮงได้ยกมือและหยักหน้าออกมา
“ได้สิ ได้~ แม้ว่าตอนนี้ฉันจะรับใช้ไอร่า แต่ว่าในฐานะของอดีตนักบวชแล้ว ฉันขอสาบายด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ของฉันโดยให้อินวิเดียเป็นพยานเลย พอแล้วแล้วใช่ไหมล่ะ? หืมมม?”
คำสาบานด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ มีประกายแสงปรากฏขึ้นบนดวงตาของซอลจีฮู
“…เยี่ยม เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน”
“ว้าว ไอ้นักเลงตัวน้อยนี่ยังไม่หยุดฝันอีกนะ”
โชฮงได้หยิกแก้มซอลจีฮูเบาๆ ก่อนจะหัวเราะและหันหน้าไป เธอได้ไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของเขา และจู่ๆก็ถามออกมาราวกับเพิ่งคิดได้
“เฮ้ สมมติว่านายดึงตัวพวกเธอมาได้ นายคิดจะให้ฉันเรียกนายแบบไหนอีกดีล่ะ?”
ซอลจีฮูที่กำลังพึมพำกับตัวเองได้คาบบุหรี่เอาไว้ก่อนจะเหลือบมามอง
และเขาได้ตอบกลับมา
“สามี”
ใบหน้าของโชฮงได้ถูกปกคลุมเข้าด้วยความตกตะลึง
ซอลจีฮูยิ้มออกมา
“ยังไม่หมดนะ? วันต่อมก็จะเป็น ‘ที่รัก’…”
“อ๊าา ยังจะฝันอีกนะ นายกล้าดียังไงมาให้ท่านจองโชคงคนนี้ทำแบบนั้น… ฮื่ม ทำไมไม่ให้ฉันเรียกนายว่า ‘สามีที่รัก’ ไปเลยล่ะ?”
“โอ้ แล้ว ‘นายท่าน’ เป็นยังไงล่ะ? หรือ…”
ซอลจีฮูได้พูดออกมาอย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะว่าหมอนของเขากำลังลอยเข้ามาใส่เขาแล้ว
“นายนี่ฝันไปหนักแล้วนะ!!”
“เธอรู้ไหมว่าความฝันก็กลายเป็นจริงได้นะ”
ภายในค้ำคืนนี้
“ไว้ค่อยพูดหลังจากดึงตัวพวกเธอมาได้ดีกว่าไหม?”
“ได้เลย!”
เสียงชายหญิงคำรามใส่กันได้ดังออกมาจากห้องสำนักงานของคาเพเดี่ยมอยู่เป็นเวลานาน