ในวันที่ตำหนักหมิงซิ่งมีหิมะตกเป็นรอบที่สามของปี มหาเทพไปเจ๋อที่งานยุ่งจนหมุนไปมาราวกับลูกข่างก็รู้สึกว่าเขาจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
เส้นชีวิตที่วุ่นวายในตำหนักฉางเซิงยังจัดการไม่เรียบร้อย การตรวจสอบเหล่าเทพพื้นดินวารีภูเขาของโลกเบื้องล่างก็ยังกำลังจัดการอยู่ และยังต้องไปคอยเฝ้าดูทะเลหลีเฮิ่น ต้องกวาดล้างปีศาจที่โลกเบื้องล่าง…เรื่องแต่ละเรื่องประดังประเดเข้ามา ต่อให้มีหลายเรื่องที่เขาไม่จำเป็นต้องทำด้วยตนเอง แต่อย่างไรเขาก็เป็นผู้ควบคุมดูแลตำหนักหมื่นเทพ หากว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาจะอยู่อย่างขี้เกียจในตำหนักหมิงซิ่งอย่างไรก็ได้ แต่เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาก็จะกลายเป็นคนที่ยุ่งกว่าใคร
กว่าครึ่งเดือนที่เขาไม่ได้ดื่มกินอะไร ในที่สุดมหาเทพไป๋เจ๋อก็ทนไม่ได้ ส่งจดหมายเรียกรวมเหล่าศิษย์ให้มาที่ตำหนักหมิงซิ่ง
จื่อซีมองตำหนักหมิงซิ่งที่ห่างไปนานเกือบหนึ่งเดือน ในใจพลันรู้สึกคิดถึงขึ้นมา นางคิดถึงนิสัยประหลาดและเอาแต่ใจของอาจารย์ แต่ก่อนเขามักจะให้ปล่อยให้ศิษย์หยุดครั้งละหลายเดือนอยู่บ่อยครั้ง แต่ว่าไม่เคยมีครั้งไหนที่นางคิดอยากจะให้วันเวลากลับไปเป็นอย่างเดิมเหมือนตอนนี้เลย ถึงแม้ว่าวันเวลาเหล่านั้นจะน่าเบื่อมากก็ตามที
ด้านหลังมีเสียงรถลงจอดที่พื้น นางหันกลับไปมองก็เห็นเสวียนอี่นั่งอยู่บนเก้าอี้สานตัวนุ่มลอยมาช้าๆ นางคายเม็ดบ๊วยด้วยท่าทางสง่าแล้วกล่าวทักทายนาง “ศิษย์พี่หญิง”
องค์หญิงน้อยคนนี้ ทุกครั้งที่เจอกันนางไม่เคยสวมชุดซ้ำกันเลย วันนี้นางสวมกระโปรงลายห้าสี ไม่มีผ้าคลุมไหล่ เอวรัดไว้ด้วยเข็มขัดเส้นหนาสีดำสนิททำให้เอวของนางยิ่งดูเล็กคอดราวกับกิ่งหลิว
นางมาถึงก็ใจดีแบ่งบ๊วยเคลือบน้ำตาลให้นางกว่าครึ่งห่อ ช่างเป็นปีศาจน้อยที่เห็นแก่กินจริงๆ
จื่อซีทั้งฉิวทั้งขัน “ทั้งวันไม่ยอมกินข้าวปลาเอาแต่กินของพวกนี้”
เสวียนอี่คล้องแขนนางเอาไว้แล้วเข้าไปในตำหนักหมิงซิ่งพร้อมกัน นางกล่าวออกมาเสียงหวาน “อาจารย์พูดว่ามีการบ้านให้ทำ เขาจะต้องให้พวกเราวิ่งไปนู่นมานี่แทนเขาแน่ ศิษย์พี่หญิง อีกสักครู่พวกเราไปปฏิเสธพร้อมกัน”
จื่อซียิ้มแล้วกล่าว “บันทึกสิ่งที่พบเห็นสามพันตัวอักษรเจ้าเขียนเสร็จแล้วหรือ”
แย่แล้ว นางลืมบันทึกสิ่งที่พบเห็นสามพันตัวอักษรนั้นไปสนิทเลย เสวียนอี่รีบกอดแขนนางเอาไว้ “ศิษย์พี่หญิงคนดี อีกประเดี๋ยวท่านให้ข้ายืมของท่านลอกหน่อย”
จื่อซีจงใจล้อเล่นกับนาง “จะยืมลอกก็ได้อยู่ แต่ว่าการบ้านครั้งนี้เจ้าทำแทนข้าแล้วกัน”
เสวียนอี่รีบยกเอาอาการบาดเจ็บของตัวเองขึ้นมาอ้างอย่างหน้าไม่อายทันที “ขาข้าไม่สะดวก ทำแทนไม่ได้ เอาอย่างนี้ ข้าทำน้ำมันทาเล็บมาให้ศิษย์พี่หญิงอีกสักหลายกระปุกดีไหม”
พูดแล้วนางก็มองพิจารณาจื่อซีขึ้นๆ ลงๆ แล้วขมวดคิ้วแน่น “ทำไมศิษย์พี่หญิงไม่ยอมแต่งตัว ท่านต้องแต่งตัวถึงจะสวย”
นางมันแต่สนใจกับ ‘ความสง่างามที่เรียบง่าย’ อะไรนั่น จึงมักจะสวมแต่ชุดกระโปรงเรียบง่าย บนศีรษะก็ประดับไว้เพียงปิ่นหยกหนึ่งอันเท่านั้น สีเล็บอะไรยิ่งไม่มีให้เห็น ขนาดกำไล ต่างหู ผ้าคาดเอวยังไม่ใช้ ครั้งที่แล้วที่ไปจวนจูเซวียนอวี้หยางกับวังเทพบูรพานางแต่งตัวไปอย่างงดงาม แต่ว่าพอวันนี้ นางกลับเปลี่ยนกลับไปเป็น ‘ความสง่างามที่เรียบง่าย’ อย่างเดิมอีกแล้ว
จื่อซีแค่ยิ้มบางๆ
ระหว่างพูดกัน พวกนางก็มาถึงตำหนักเหอเต๋อ ด้านหน้าตำหนักมีศิษย์มาถึงจำนวนมากแล้ว ไม่ได้เจอกันมาเกือบครึ่งเดือน ทุกคนต่างก็กำลังพูดคุยกันอย่างครึกครื้น พอเห็นจื่อซีทุกคนก็ทักทายนางอย่างมีมารยาท และพูดกันถึงเรื่องบันทึกสิ่งพบเห็นสามพันตัวอักษรอีกเล็กน้อย
จื่อซีกำลังคุยอย่างออกรสออกชาติ พลันได้ยินเสียงนุ่มนวลอ่อนหวานเจือรอยยิ้มดังขึ้นว่า “คารวะ ศิษย์พี่หญิงจื่อซี”
นางชะงักไปแล้วหมุนตัวกลับมาอย่างเป็นธรรมชาติ ก็เห็นเซ่าอี๋ยืนอยู่ตรงหน้านาง นางพยักหน้าแล้วกล่าวเสียงเรียบ “คารวะศิษย์น้องเซ่าอี๋”
วันนั้นนางเมามายที่วังเทพบูรพาไปรอบหนึ่ง นางก็รู้สึกว่าตัวเองคิดได้แล้ว ไม่ว่าจะกับฝูชางหรือเซ่าอี๋ ก็ล้วนแต่เป็นความหลงใหลจอมปลอมทั้งนั้น นางเอาความคิดนางใส่ไปในตัวของพวกเขา แต่พอนางพบเขาพวกเขาไม่ได้เป็นอย่างที่นางคิดไว้ นางก็โง่งมไป เพราะฉะนั้นปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวของพวกเขาแต่ว่าอยู่ที่ตัวนาง เป็นนางเองที่ยังไม่โตและจริงใจพอ จึงมักทำให้ตัวเองคลั่งไคล้หลงใหลไปกับเงาที่ตนสร้างขึ้น
ในเมื่อตัวตนที่แท้จริงของเซ่าอี๋คือคนประเภทที่จื่อซีเกลียดที่สุด ก็ให้รักษาระยะห่างไว้อย่างแต่ก่อนดีกว่า ส่วนใจที่เต้นรัวอย่างบ้าคลั่งดวงนั้นก็อย่าไปสนใจ คงมีสักวันที่มันจะกลับมาสงบได้ดังเดิม
เสวียนอี่หามุมมืดของตำหนัก แล้วเอาบันทึกสิ่งพบเห็นของจื่อซีออกมาแยกส่วนแล้วจับต่อๆ กันใหม่ ศิษย์พี่หญิงคนนี้ของนางจริงจังเกินไปจริงๆ อาจารย์ให้เขียนบันทึกแค่สามพันตัว นางกลับเขียนมาถึงหกพันตัว สามพันตัวบรรยายบรรยากาศ อีกสามพันตัวบรรยายของล้ำค่า ขนาดนางลอกเฉยๆ ยังปวดหัวเลย
เพิ่งจะลอกไปได้ส่วนเดียว ก็มีเสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ดังขึ้นเหนือศีรษะนางว่า “เขียนอะไร”
เสวียนอี่เงยหน้าขึ้น ฝูชางที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบครึ่งเดือนกำลังยืนอยู่ตรงหน้านาง และก้มหน้ามองหนังสือที่วางเรียงที่ตักนาง เขากลับไปใส่ชุดสีขาวเหมือนเดิม กลับไปเป็นเทพบริสุทธิ์สูงสง่าไร้สิ่งปนเปื้อนที่น่ารังเกียจนั่นอีกครั้ง คิดว่าเพราะเห็นนางกำลังลอกบันทึกสิ่งพบเห็นอยู่ แววตาของเขาจึงสั่นไหวและปรากฏรอยยิ้มออกมา
“ศิษย์พี่ฝูชาง” นางยื่นมือไปทางเขา “เอาบันทึกสิ่งพบเห็นของท่านมาให้ข้าดูหน่อย”
ฝูชางคิดไม่ถึงว่าไม่ได้เจอกันมาครึ่งเดือน ประโยคแรกที่นางพูดกับเขาคือขอเอาการบ้านเขาไปลอก เขาเอาบันทึกส่งให้นาง และมองนางจรดพู่กันเขียนอย่างว่องไว
ตัวหนังสือของเขาเป็นระเบียบงดงามและสะอาด พอเทียบดูแล้ว ตัวหนังสือของนางโย้ไปเย้มาราวกับตัวเฉ่าซู [1] ฝูชางมองอยู่ครู่หนึ่งแล้วใช้นิ้วชี้ไปตรงส่วนที่น้ำหมึกเปรอะเปื้อนจนมองไม่ชัดพลางถามว่า “นี่คือตัวอะไร”
เสวียนอี่มองไปที่เขาราวกับกำลังมองคนไม่รู้หนังสือ “ตัวนี้ท่านยังไม่รู้จักอีกหรือ นี่คือ…เอ่อ…นี่คือ…”
ไม่ดีแล้ว ขนาดนางเองยังไม่รู้ นางกล่าวออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่า “นี่คืออักษรเก๋อ ในคำว่าโหลวเก๋อ [2] ”
ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “ด้านหน้าเขียนถึงลูกธนูของโฮ่วอี้ แล้วอักษรเก๋อนี่จะมาจากไหน”
“ก็มาอย่างนี้แหละ” เสวียนอี่โบกมือ “ออกไป อย่ามาวุ่นวาย”
เขาไม่เพียงไม่ยอมไป กลับยังย่อตัวลงแล้วชี้ไปอีกจุดพร้อมถามต่ออีกว่า “นี่คือตัวอะไร”
เสวียนอี่ขมวดคิ้วมองเขา “ข้ายังจะลอกบันทึกสิ่งพบเห็นอย่างสงบสุขได้ไหม”
ฝูชางยกมุมปากขึ้นอย่างรังเกียจ “ตัวอักษรเจ้านี่คงต้องฝึกดีๆ แล้ว”
เสวียนอี่ไม่สนใจเขา และยังคงเขียนอักษรโย้เย้ของนางต่อไปพร้อมกล่าวว่า “รอให้ข้าแก่เท่าท่าน ตัวอักษรที่ข้าเขียนออกมาก็สวยเองนั่นแหละ”
แก่รึ ฝูชางกำลังคิดจะเอาหนังสือของนางมา ก็ได้ยินเสียงคารวะของศิษย์ทั้งหลายดังมาจากตำหนักเหอเต๋อ มหาเทพไป๋เจ๋อมาถึงแล้ว
เสวียนอี่หดตัวหลบๆ ซ่อนๆ ด้านหลังสุด และก้มหน้าก้มตาลอกตัวอักษรอีกพันตัวสุดท้าย เสียงของมหาเทพไป๋เจ๋อฟังดูไร้เรี่ยวแรง “เรื่องทะเลหลีเฮิ่นทลายทำลายกฎเกณฑ์ของแดนเทพไปมาก ช่วงนี้เปิ่นจั้วยังมีงานที่ต้องยุ่งวุ่นวายไปอีกระยะหนึ่ง ไม่สามารถมาบรรยายวิชาได้ หนังสือที่ครั้งที่แล้วให้ไปอย่าลืมไปท่องจำมา อีกอย่างเปิ่นจั่วยังมีการบ้านที่จะให้อีก…”
เขาดีดนิ้วครั้งหนึ่ง โต๊ะด้านหน้าของเหล่าศิษย์ทั้งหลายก็มีกระดาษสีขาวยาวแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น บนนั้นมีตัวอักษรเขียนยุบยับเต็มไปหมด อย่างน้อยต้องถึงสิบห้าบรรทัดแน่ มองคร่าวๆ มีแต่พวกของโบราณประหลาดๆ ประเภทพวกลูกตา ฟันและเล็บทั้งนั้น
“ของทั้งสิบห้าอย่างนี้ ศิษย์ตำหนักหมิงซิ่งทั้งสิบสองคน ทุกคนต้องเอากลับมาให้ได้สองอย่างถึงจะถือว่าทำการบ้านเสร็จ อีกครึ่งปีกลับมาฟังบรรยายตามปกติ หากว่าใครทำไม่สำเร็จ ก็ให้ไปคัดหนังสือที่เปิ่นจั้วให้ไปก่อนหน้านี้มาหนึ่งร้อยครั้ง”
ศิษย์ทั้งหลายร้อนรนกันขึ้นมาทันที อาจารย์หน้าไม่อายนี่! กลับเอาอารมณ์โมโหที่ตัวเองยุ่งมาลงกับพวกเขาที่เป็นเพียงคนรุ่นหลังไม่รู้เรื่องรู้ราวอย่างนี้ได้! การบ้านอะไร! พูดว่าเป็นการบ้านทุกครั้ง ทุกครั้งหากไม่ใช่ว่าไปหาของที่เขาทำหาย ก็ต้องไปช่วยเขาเก็บสะสมของเล่นของเขา!
จื่อซีผุดลุกขึ้น แล้วกล่าวออกมาว่า “อาจารย์ ไปรวบรวมของพวกนี้ไม่มีทางเป็นการบ้านไปได้แน่!”
กู่ถิงเองก็ไม่เห็นด้วย “ทะเลหลีเฮิ่นตกลงไปแล้ว ความชอบของอาจารย์ก็ควรจะเพลาๆ ลงบ้าง”
หากไม่ใช่เพราะเขาโยนมือของฝางเฟิงซื่อเข้าไปในทะเลหลีเฮิ่น จะเกิดเรื่องอย่างนี้หรือได้หรือ
มหาเทพไป๋เจ๋อมีสีหน้าไร้เดียงสา “จะไม่ใช่การบ้านได้อย่างไร หรือว่าการมาเรียนกับอาจารย์คือการนั่งท่องแต่ตำรา แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล พวกเจ้าไปมาสักกี่ที่กัน อีกหน่อยพอายุได้ห้าหมื่นปีต้องไปรับตำแหน่ง ไปที่ไหนยังต้องคอยถามทาง ศิษย์ที่เปิ่นจั้วสั่งสอนไม่ใช่จะเป็นแค่ท่องตำรา แต่ต้องได้ทั้งบู๊ทั้งบุ๋น รู้ดาราศาสตร์รู้ภูมิศาสตร์ต่างหาก”
ข้างๆ คูๆ! นี่มันเถียงข้างๆ คูๆ ชัดๆ! แม้แต่ไท่เหยายังทนไม่ไหวแล้ว! “อาจารย์…ข้าเองก็มาที่นี่ได้หนึ่งหมื่นปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นอาจารย์สอนวิชาอะไรเลย” ตั้งแต่แรกจนตอนนี้มีแต่ท่องตำรา เป็นทั้งบู๊ทั้งบุ๋นอะไรกัน ช่างกล้าพูดจริงๆ
มหาเทพไป๋เจ๋อถอนหายใจ “เดิมคิดว่าพวกเจ้ายังอายุน้อย พวกการฝึกฝนวิชาเวทหรือหมัดมวยรอไปสักสี่หมื่นปีก่อนก็ยังไม่สาย และผู้ใหญ่ในตระกูลของพวกเจ้าเองก็มีวิชาประจำตระกูลกันอยู่แล้ว จึงไม่ต้องให้เปิ่นจั้วถ่ายทอดวิชาให้ แต่ถ้าเป็นอย่างนี้ รอให้เปิ่นจั้วจัดการเรื่องยุ่งช่วงนี้เสร็จ ก็จะให้อย่างที่พวกเจ้าต้องการ”
เขายังอยากจะพูดอีก แต่กลับเห็นว่านอกตำหนักเหอเต๋อมีเทพีรับใช้ตัวน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา “มหาเทพ ตำหนักเหวินหวาส่งเทพขุนนางมาเร่งอีกแล้ว!”
สีหน้าของมหาเทพไป๋เจ๋อเขียวคล้ำ แล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าไปทำการบ้านให้เสร็จ” แล้วก็รีบร้อนออกไปจากตำหนักเหอเต๋อทันที
ในที่สุดเสวียนอี่ก็ลอกบันทึกสิ่งพบเห็นสามพันตัวเสร็จ แต่พอนางเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าอาจารย์ไปแล้ว เขายังจะเก็บบันทึกไหม กว่านางจะลอกบันทึกเสร็จ!
ทางฝั่งศิษย์ทั้งหลายก็ได้แต่ต้องไปทำการบ้านที่ไม่น่าทำนี้ อาจารย์งานยุ่ง พวกเขาก็ไม่อยากจะพูดจาไม่ดีลับหลังเขา จึงได้แต่แยกย้ายกันไป พวกเขามองรายการของบนกระดาษสีขาวอยู่หลายรอบ กู่ถิงพลันชี้ไปที่หนึ่งในนั้น “เกสรสามอันของดอกโบตั๋นเริงระบำข้าเอามาได้”
ศิษย์อีกคนเองก็กล่าวว่า “ลูกตาทารกเก้าคน ที่บ้านข้ามี”
ศิษย์ทั้งหลายต่างวงกลมของที่บ้านตัวเองมีไว้ ส่วนของที่เหลืออยู่กลับยากที่จะหามาได้ ทุกคนคุยกันเสียงดังอยู่นาน ต่างคนก็รับเอาของที่ต่างกันไป เหลือเพียงแค่สามสี่อย่างที่ไม่สามารถทำได้ ถึงได้พากันออกไปจากตำหนักเหอเต๋ออย่างมีโทสะ
ฝูชางเดินไปตามทางเดินเส้นเล็กที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เดินไปไม่กี่ก้าวก็อดที่จะหันกลับมามองไม่ได้ เสวียนอี่ตามมาด้านหลังเขาไม่ช้าไม่เร็วราวกับหาง เขาไปทางตะวันออกนางก็ไปทางตะวันออก เขาไปทางตะวันตกนางก็ไปทางตะวันตก เขาจนใจ จื่อซีและกู่ถิงที่เมื่อครู่นี้ยังมาด้วยกันเลี่ยงออกไปนานแล้ว เขาจึงได้แต่ต้องหยุดเท้าแล้วหันกลับไปถาม “เจ้าทำอะไร”
เสวียนอี่โบกกระดาษสีขาวในมือ “ทำการบ้าน”
ฝูชางกล่าวเสียงเรียบ “เมื่อครู่ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าข้ามีดีงูวารีดำกับขนหางปักษาคราม”
“นั่นมันท่านที่มี ไม่ใช่ข้ามี”
ฝูชางถอนหายใจ ทำไมคุยกับนางถึงได้เหนื่อยอย่างนี้นะ เขาเข้าไปใกล้แล้วย่อตัวลงพร้อมกล่าวเสียงเบา “ขาเจ้ายังไม่หายดี กลับไปที่เขาจงซานดีๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องการบ้าน”
เสวียนอี่ก้มหน้าลงแล้วแกะดอกไม้สลักบนเก้าอี้ “กว่าอาจารย์จะกลับมาบรรยายยังต้องรออีกครึ่งปี”
ฝูชางพูดไม่ออก เพราะองค์ชายน้อยไปแล้ว อารมณ์ของนางยังไม่ปกติถึงได้กลายเป็นมาตามติดเขา หรือเป็นเพราะว่า…
เขาลุกขึ้นแล้วค่อยๆ เดินไปช้าๆ พลางกล่าวเสียงแข็งว่า “กลับเขาจงซาน”
นางนิ่งเงียบไม่ตอบ แต่กลับยังทำตัวเป็นหางคอยติดตามเขาต่อ
ฝูชางพลันรู้สึกว่าตัวเขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของฉีหนานขึ้นมาแล้ว เขารีบหยุดเท้าลงแล้วหันกลับไปจ้องนางอย่างเยือกเย็น เสวียนอี่ลอยเข้าไปคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้พลางส่ายไปมาเบาๆ องค์หญิงมังกรที่มักจะมีท่าทีไร้เหตุผลและดื้อดึงอย่างนาง พอเก็บเขี้ยวเล็บลงไปแล้วเผยด้านที่นุ่มนวลว่าง่ายออกมากลับทำให้เขากลับไม่รู้ว่าจะจัดการนางอย่างไร
“…ห้ามเป็นตัวถ่วง”
ฝูชางจับไปยังพนักเก้าอี้สาน แล้วลากนางออกไปจากตำหนักหมิงซิ่งโดนไม่หันกลับมามอง
—
[1] เฉ่าซู รูปแบบอักษรจีนชนิดหนึ่ง เขียนด้วยลายมือหวัด
[2] โหลวเก๋อ แปลว่า ตึก อาคาร