บทที่ 71 ริมศิลาสามภพ

บุหลันเคียงรัก

เมฆขาวที่หนาทึบลอยผ่านชายเสื้อผ้าไป ราชสีห์เก้าเศียรใต้ร่างกำลังบินอยู่เหนือพื้น

 

 

พวกเขาจะไปที่ไหนกัน เสวียนอี่ไม่ได้สนใจในเรื่องนี้นัก จริงๆ แล้วจะไปไหนก็ดีทั้งนั้น ช่วงนี้เหมือนนางจะไม่อยากอยู่ในวิมานม่วงของนางเงียบๆ เท่าไหร่นัก พออยู่นานเข้าก็พลันรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมา

 

 

ฝูชางนั่งหลังตรงนิ่งเงียบอยู่ตรงข้ามด้วยสีหน้านิ่งขรึม นางเองก็ไม่ใส่ใจ แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือที่อาจารย์ให้มา พร้อมทั้งเอาบ๊วยเคลือบน้ำตาลที่ยังเหลืออยู่อีกครึ่งถุงออกมากินอย่างสบายใจ

 

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ ท่ามกลางทะเลเมฆที่เงียบสงบนี้พลันมีเสียงสัตว์พาหนะผ่านไปมาไม่ขาดสาย แสงรัศมีเทพส่องสว่าง เสวียนอี่ใช้มือบังแสงไว้ แสงนี้ทำให้นางแสบตาจนไม่อยากอ่านหนังสือต่อ นางใช้แขนเสื้อบังหน้าไว้แล้วถามว่า “นี่คือที่ไหน”

 

 

ฝูชางสั่งให้ราชสีห์เก้าเศียรลดความสูงลงแล้วกล่าวว่า “ข้างศิลาสามภพคือจวนของเทพธิดาทอผ้าจื่อหยวน นางเคยเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์มาก่อน ผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเลือกในรายการการบ้านต้องให้นางช่วยถึงจะพอมีหวัง”

 

 

กระดาษสีขาวที่มหาเทพไป๋เจ๋อทิ้งเอาไว้แผ่นนั้น เขาอ่านซ้ำไปมาหลายรอบแล้ว บางอย่างต้องลงไปฆ่าปีศาจที่โลกเบื้องล่างถึงจะเอามาได้ แน่นอนว่าไม่ต้องไปคิดถึงเลย และยังมีบางอย่างที่มองแล้วก็รู้ทันทีว่าไม่มีทางเอามาได้อย่างเช่น ไข่มุกสีดำบนมงกุฎหยกของจักรพรรดิสวรรค์ ไม่รู้ว่าตอนที่อาจารย์เขียนรายการของเหล่านี้เขาคิดอะไรอยู่

 

 

ส่วนที่เหลืออยู่เหล่านั้น จะพูดว่ายากก็ยากมาก จะพูดว่าง่ายก็ง่ายมากเช่นกัน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับโชค อย่างผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเพลิงนี้ หากว่าเทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนยอมทำให้ เรื่องก็จบ

 

 

ศิลาสามภพตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์บนที่รกร้างทางตะวันตก หลังจากที่ทะเลหลีเฮิ่นกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามไปแล้วนั้น นี่แห่งนี้ก็กลายเป็นที่นิยมแห่งเดียวของคู่รัก ริมน้ำมีคู่รักเทพหลายนั่งกันอยู่มากมาย ริมน้ำของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์มีหมอกลอยอยู่บางๆ ม่านหมอกบางๆ นั้นราวกับผ้าผืนบางขวางกั้นเหล่าเทพจนทำให้มองทุกอย่างได้ไม่ชัดเจน กระทั่งพระอาทิตย์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะยังอบอุ่นลงมามาก

 

 

เสวียนอี่หยุดอยู่ใต้ศิลาสามภพแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองหินที่มีชื่อที่สุดของแดนเทพ มันเป็นเพียงหินที่มีลายแดงๆ เขียวๆ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยเท่านั้น นางยื่นมือออกไปลูบคลำ หยาบและเย็น ไม่เห็นจะมีอะไรอัศจรรย์ตรงไหน

 

 

ข้างศิลาสามภพ รักทั้งชีวิต ท่านแม่พูดไว้ว่า ตอนนั้นนางกับท่านพ่อก็ให้สัญญากันที่ใต้ศิลาสามภพว่าจะแก่เฒ่าไปด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ความรู้สึกเปลี่ยนแปลงง่าย คำสัญญากลายเป็นเพียงอากาศธาตุ ความมากรักทำให้เทพีชุ่ยเหอต้องดับสูญไปด้วยความคับแค้น หินก้อนนี้ก็แค่เรื่องตลกน่าขันอย่างหนึ่งเท่านั้น

 

 

“มาตรงนี้” ฝูชางเดินมาด้านหน้า ไม่เห็นนางเดินตามมาจึงหยุดเท้าลง

 

 

ริมแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยหมอก เสวียนอี่แหวกม่านหมอกแล้วเดินตามหลังเขาไป ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นสูง หมอกบนน้ำสลายไปไม่น้อยแล้ว ภูเขาและลำน้ำไกลลิบราวกับวาดด้วยน้ำหมึก ปรากฏออกมารางๆ ท่ามกลางสายหมอก นางมองทิวทัศน์แปลกตาอย่างชอบใจ เดินไปหยุดไป ฝูชางจึงได้แต่ต้องคว้าเอาเก้าอี้สานมา

 

 

“เดี๋ยวออกมาแล้วค่อยมาดู” เขาพูดออกมา แต่ฝีเท้ากลับผ่อนจังหวะช้าลง

 

 

ใครจะรู้ว่านางกลับถอนหายใจ “ศิลาสามภพริมแม่น้ำมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ก็ไม่ได้สวยงามอะไร ทำไมถึงเป็นที่นิยมได้”

 

 

ฝูชางจับเก้าอี้สานไว้และเดินไปข้างหน้าช้าๆ “จักรพรรดิสวรรค์และจักรพรรดินีสวรรค์ในปัจจุบัน ได้ให้สัญญารักกันที่ริมศิลาสามภพนี้ ทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่รักกันลึกซึ้ง ที่แห่งนี้โด่งดังในเรื่องราวมากกว่าทิวทัศน์”

 

 

เสวียนอี่กล่าวเสียงเรียบ “ที่นี่ไม่ดี อย่ามาให้สัญญารักกันที่นี่”

 

 

ฝูชางพลันหยุดเท้าลง เดิมเขาไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ว่านางพูดออกมาอย่างนี้ เขาจึงอดที่จะคิดมากขึ้นมาไม่ได้ และพลันรู้สึกวางตัวไม่ถูกขึ้นมา ทั้งสงสัยทั้งยินดีในคราวเดียวกัน

 

 

“ทำไมไม่เดินแล้วเล่า” เสวียนอี่กล่าวอย่างงงงัน

 

 

เขารีบก้าวเท้าเดินต่อทันทีแล้วกล่าวเสียงเรียบ “งั้นหรือ ข้าว่าที่นี่ก็พอได้นะ”

 

 

เสวียนอี่ใช้มือเท้าคางอย่างเหม่อลอย “เอาเป็นว่าข้าไม่ชอบที่นี่”

 

 

ฝูชางหรี่ตาลงน้อยๆ แสงอาทิตย์ราวกับสาดส่องลงมาในหัวใจเขา ในกระแสเลือดเขา จนทำให้หูร้อนขึ้นมา ในใจเขาพลันมีคำถามขึ้นมาข้อหนึ่ง ซึ่งมันทั้งน่าขันทั้งไร้สาระจนเอ่ยปากถามไม่ออก ด้วยนิสัยระวังรอบคอบทำให้เขาไม่มีทางพูดออกมาง่ายๆ เขานิ่งเงียบแล้วสาวเท้าเดินไปด้านหน้า ถนนสายนี้กลับดูยาวขึ้นมาในทันที

 

 

ผ่านหมอกของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์มา ตำแหน่งของจวนเทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนจะตั้งอยู่กลางระหว่างหุบเขาสองลูกข้างแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ทุกวันนี้ในบรรดาเทพธิดาทอผ้าจำนวนมาก มีแค่นางเท่านั้นที่คุณวุฒิสูงสุด ฝีมือสูงสุด ปีที่ธิดาแห่งจักรพรรดิสวรรค์เข้าพิธีอภิเษก ชุดแต่งงานก็เป็นนางที่ถักทอขึ้นกับมือ นางถักทออยู่นานสามปี ธิดาจักรพรรดิสวรรค์ชื่นชมมาก จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังเอาออกมาชื่นชมอยู่บ่อยครั้ง

 

 

เมื่อผลักประตูจวนเทพธิดาทอผ้าให้เปิดออก เทพน้อยทั้งสองต่างก็ชะงักไป ทางเดินในจวนสลับซับซ้อน ข้างทางยังปลูกดอกจื่อหยาง[1]ไว้ทั่ว มองผ่านๆ กลับดูคล้ายกับตำหนักหมิงซิ่งมาก เทพีรับใช้ตัวน้อยหน้าตางดงามสองคนนำทางพวกเขามาที่ด้านหลังจวน แล้วจึงวิ่งไป เรือนนี้…ดูแล้วเหมือนกับเรือนฟางซินที่อาจารย์อาศัยอยู่มาก

 

 

เสวียนอี่กำลังกวาดตามองไปรอบด้านอย่างสนใจ พลันเห็นประตูถูกผลักออก เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนเดินก้าวเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่คำพูดที่กล่าวออกมากลับไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย “วันนี้ทั้งสองคนช่างมาได้ผิดจังหวะจริงๆ ข้าไม่มีเวลาต้อนรับ เชิญทั้งสองไปดื่มชาที่ด้านหน้า พอดื่มกลับก็ขอเชิญทั้งสองกลับไปเถอะ”

 

 

ฝูชางประสานมือคารวะอย่างมีมารยาทแล้วกล่าวว่า “ข้าคือฝูชางตระกูลหวาซวี นี่คือเสวียนอี่ตระกูลจู๋อิน วันนี้ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้มา…”

 

 

ยังไม่ทันพูดจบ เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนพลันเปลี่ยนน้ำเสียงกลายเป็นนุ่มนวลมาก “ที่แท้ก็เป็นศิษย์ใหม่ของอาจารย์ พวกเราเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน เชิญทั้งสองเข้ามาได้”

 

 

…ท่าทีของนางจะเปลี่ยนเร็วไปหน่อยแล้ว! เสวียนอี่ลอยตามเข้าไปในเรือนเงียบๆ ได้ยินเสียงนุ่มนวลของเทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนกล่าวออกมาอย่าตื่นเต้นว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทั้งสองคนศิษย์ใหม่ที่เขาเพิ่งจะรับเข้ามาเมื่อปีที่แล้ว หลายปีนี้ข้ามัวแต่ยุ่งอยู่กับการทอภาพทิวทัศน์ให้กับเจ้าแม่ซีหวังหมู่ จึงไม่มีเวลาไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ อาจารย์สบายดีหรือไม่ ทะเลหลีเฮิ่นทลายลงไป เขาคงจะต้องยุ่งมากสินะ พวกเจ้าได้ดูแลเขาบ้างไหม หากว่าเขาผอมลง ไม่แน่ว่าอาจจะนอนไม่ได้ด้วยซ้ำ เฮ้อ พูดแล้วข้าก็ปวดใจจริงๆ!”

 

 

พอเข้ามาถึงในห้องโถง สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือภาพปักรูปเหมือนขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง ลายปักบนภาพก็คือมหาเทพไป๋เจ๋อหน้าอ่อนเยาว์ชุ่มชื่นราวกับเด็กน้อยที่พวกเขาคุ้นเคยดี ในมือของเขาถือส้มสีทองอร่ามเอาไว้กิ่งหนึ่ง เขายิ้มแย้มสดใสจนดวงตาและคิ้วเลิกขึ้น เสวียนอี่กับฝูชางถึงกับนิ่งงันไปทันที

 

 

เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนหน้าแดงแล้วกล่าวเสียงนุ่มว่า “อาจารย์ยังคงน่ารักอย่างนี้หรือไม่”

 

 

เสวียนอี่ถอนหายใจ แล้วกล่าวด้วยท่าทางจริงจังว่า “ใช่แล้ว น่ารักกว่านี้อีก”

 

 

ตอนนี้นางเข้าใจสาเหตุแล้วว่าทำไมเทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนถึงได้มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างนั้น อายุของมหาเทพไป๋เจ๋อมากจนจะมากกว่านี้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่าดูแล้วกลับยังมีหน้าตาราวกับเด็กมนุษย์ตัวน้อยอายุหกปี จนน่าจะไปทำให้เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนผู้นี้เกิดความรู้สึกที่…แปลกประหลาดกับเขาขึ้นมา

 

 

“ข้าอยากจะกลับไปเยี่ยมเยียนเขาที่ตำหนักหมิงซิ่งบ่อยๆ แต่ว่าข้ายุ่งมาก ได้แต่หวังว่าอาจารย์จะไม่ตำหนิข้า” เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนรินชาสองถ้วยแล้วกล่าว “ที่ศิษย์น้องทั้งสองมาที่นี่เพราะได้รับคำสั่งอะไรมาจากอาจารย์ ข้าจะต้องทำทุกอย่างเต็มกำลังความสามารถแน่นอน”

 

 

ฝูชางพูดความประสงค์ที่มา เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนก็แสดงท่าทีลำบากใจออกมา “ผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเลือดต้องใช้ขนของจี๋กวง[2] ในจวนข้าไม่มีเหลือแล้ว ของชิ้นนี้หาได้ยากมาก ตอนนี้มีเพียงแค่คอกม้าของวังสวรรค์เท่านั้นที่มีเลี้ยงจี๋กวงอยู่บ้าง ครั้งที่แล้วขนาดชุดแต่งงานของธิดาจักรพรรดิสวรรค์ยังไม่ได้ใช้ขนของจี๋กวงเลย”

 

 

เอาล่ะ ดูแล้วน่าจะไม่ได้ เสวียนอี่จิบชาไปกว่าครึ่งแก้ว กำลังเตรียมจะกล่าวขอตัว ฝูชางพลันลุกขึ้นยืนกะทันหันแล้วกล่าวเสียงเบา “เทพธิดาทอผ้าโปรดรอสักครู่”

 

 

พูดแล้วเขาก็เดินไปด้านนอก เสวียนอี่ไล่ตามหลังเขาไปแล้วคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้ “ท่านจะไปไหน”

 

 

ฝูชางกล่าว “เจ้ารออยู่ที่นี่ ข้าจะรีบกลับมา”

 

 

เสวียนอี่ยอมปล่อยที่ไหน ดวงตาทั้งสองเป็นประกายแล้วกล่าวเสียงเบา “ท่านจะไปขโมยขนของจี๋กวงหรือ ข้าไปด้วย”

 

 

…องค์หญิงมังกรช่างไม่กลัวแผ่นดินจะไม่วุ่นวายจริงๆ เขาดึงมือนางออกแล้วขมวดคิ้ว “ข้าบอกแล้วว่าอย่าเป็นตัวถ่วง”

 

 

ผลคือ นางโถมตัวเข้ามาทั้งตัว แล้วกอดแขนเขาเอาไว้แน่น “ข้าจะไปด้วย”

 

 

ฝูชางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ องค์หญิงมังกรพลันเปลี่ยนนิสัยจากที่เหมือนกับสัตว์คลุ้มคลั่งกลายมาเป็นตามติดเขาแจ ทั้งยังไม่ฟังเหตุผล ไม่ยอมลงให้ทั้งอ่อนทั้งแข็ง จนทำให้เขาแทบจะตามนางไม่ทันแล้ว เขาขมวดคิ้วแล้วก้มหน้ามองนาง ใบหน้านางแนบอยู่กับแขนเสื้อเขา ดวงตากลมของนางกะพริบปริบๆ มองเขา ในนั้นแววตาราวกับเขียนไว้ว่า “ข้าจะไปด้วย” เอาไว้

 

 

ฝูชางใช้มือดันคางนางออก แล้วฝืนผลักนางไปด้วยท่าทางที่ไม่สง่านัก แล้วใช้ปลายเท้าสะกิดพื้นดินหายวับไปจากจวนเทพธิดาทอผ้าทันที ทิ้งไว้เพียงเสียงดังก้องไปมา “เจ้ารออยู่ที่นี่!”

 

 

เสวียนอี่โมโหมาก แต่ขานางยังไม่หายดีจึงทำอะไรไม่ได้ ไล่ตามก็ตามไม่ทัน จึงได้แต่นิ่งงันอยู่ที่เดิม

 

 

เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนยิ้มตาหยีแล้วคว้านางเอาไว้ แล้วเอาแต่ถามนางถึงแต่เรื่องของมหาเทพไป๋เจ๋อ คำถามที่ถามยังเป็นพวก เขากินข้าวมากน้อยเท่าไหร่ นอนเป็นอย่างไร ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าตามเวลาบ้างไหมจิปาถะเหล่านี้ เสวียนอี่รู้สึกว่าสมองนางจะระเบิดแล้ว จนอดที่จะกล่าวเตือนนางไม่ได้ว่า “เทพธิดาทอผ้า อาจารย์อายุมากแล้ว”

 

 

ตั้งแต่ที่มหาเทพไป๋เจ๋อเกิดจนถึงตอนนี้ ทุกๆ ห้าแสนปีหน้าตาเขาจะแก่ขึ้นมาหนึ่งปี ดูๆ แล้วเหมือนกับเด็กน้อย แต่จริงๆ แล้วเขายังมีอายุมากกว่าจักรพรรดิสวรรค์เสียอีก

 

 

เทพธิดาทอผ้ากุมหน้า “ข้ารู้อยู่แล้ว แต่ว่าเขาดูแล้วยังเด็กอยู่เลย”

 

 

เสวียนอี่ถอนหายใจ ยิ้มให้นางอย่างมีมารยาท แล้วเอากระดาษสีขาวแผ่นยาวที่อาจารย์ให้ออกมาจากแขนเสื้อ ทำทีเป็นก้มหน้าอ่าน เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนเห็นว่าเป็นลายมือของมหาเทพไป๋เจ๋อเข้าก็ไม่อยากเดินไปไหนแล้ว

 

 

“ตัวหนังสือของอาจารย์ยังคงกลมมนน่ารักเหมือนเดิม” นางหน้าแดงอีก

 

 

เสวียนอี่ทำทีเป็นไม่ได้ยิน จู่ๆ ก็ได้ยินนางหัวเราะออกมา” ผ้าต่วนขนนกแขกเต้าสีแดงเลือดต้องใช้เวลาเจ็ดวัน การบ้านของอาจารย์คือให้พวกเจ้าไปหาของสองอย่างในนี้สินะ รอให้เทพน้อยนั่นกลับมาแล้ว พวกเจ้าไปหาของอย่างอื่นกันก่อน อืม ขนหางขององค์หญิงเก้าเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ก็ไม่เลว”

 

 

“แต่ว่านางต้องไม่ยอมแน่” เสวียนอี่รู้สึกว่าเรื่องนี้ยากมาก หากว่านางเป็นองค์หญิงเก้าคนนั้น นางก็ไม่มีทางยินดียอมดึงขนที่หางตัวเองออกมาให้คนอื่นหรอก

 

 

เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนกล่าว “ไม่มีปัญหา เผ่าจิ้งจอกสวรรค์ ไม่ว่าจะชายหญิงก็ล้วนแต่ชื่นชอบความงาม เทพหนุ่มน้อยที่มาด้วยกันกับเจ้าคนนั้น แค่อาศัยใบหน้าของเขา อย่าว่าแต่ขนหางของจิ้งจอกสวรรค์เลย จะขอหางอันหนึ่งมายังไม่ยากเลย”

 

 

เสวียนอี่หลุดยิ้มออกมา

 

 

เดิมคิดว่าฝูชางไปคงกลับมาได้ในหนึ่งชั่วยามแน่ แต่ใครจะรู้ว่า แม้พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว กลับยังไม่เห็นเงาของเขาเลย เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนยุ่งกับการทอภาพทิวทัศน์ บ้างก็ออกมารินชาบ้าง เห็นเสวียนอี่นั่งเหม่ออยู่ข้างประตูก็กล่าวว่า “ด้านนอกคือศิลาสามภพ เจ้ามารออยู่เฉยๆ ทำไม สู้ออกไปดูทิวทัศน์ด้านนอกดีกว่า”

 

 

พูดไปหลายครั้ง แต่ว่านางกลับเหมือนไม่ได้ยิน เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนจึงไม่พูดอีกแล้วทอผ้าต่อไป

 

 

ฟ้าใกล้มืดแล้ว เงาของดอกจื่อหยางในลานทอดยาว เสวียนอี่ใช้ปลายเท้าแตะลงไปบนพื้นเบาๆ ขาของนางเองก็เป็นเงายาว รอบด้านนอกเงียบมาก จนนางรู้สึกราวกับได้กลับไปที่เขาจงซาน ตอนนั้นนางเองก็รอชิงเยี่ยนกลับมาอยู่ที่หน้าประตูเขาอย่างนี้ทุกวัน

 

 

เงาค่อยๆ จางลง แสงอาทิตย์ถูกความมืดยามค่ำคืนเข้าแทนที่ เซียนอี่หมุนข้อมือ เสกหิมะออกมากลุ่มหนึ่ง แต่นางกลับไม่รู้ว่าจะปั้นเป็นรูปอะไรดี จึงได้แต่เอาหิมะมาคลึงไปคลึงมาบนฝ่ามือช้าๆ

 

 

เงารางๆ ที่เท้าพลันมีเงาอีกเงามากลบทับ เสวียนอี่เงยหน้าขึ้นไปมอง เทพชุดขาวที่หายตัวไปนานกลับมาอย่างเงียบๆ แล้ว ผมเขามิได้ยุ่งเหยิงแม้แต่น้อย

 

 

ฝูชางใช้ดวงตาดำสนิทจ้องมองมาที่นาง ไม่นานก็กล่าวเสียงเบาว่า “ทำไมไม่เข้าไปในห้อง”

 

 

ก้อนหิมะตกลงบนพื้น เสวียนอี่คว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้แล้วเงยหน้าพร้อมกล่าวว่า “ท่านกลับมาแล้ว”

 

 

ฝูชางอยากหัวเราะ แต่ว่าความเร่าร้อนที่อกเขาพลันปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง แต่ละครั้งทำให้เขาต้องทรมานมาก เขาหยักหน้า แล้วจับไปที่เก้าอี้สานดึงนางเข้าไปในห้อง นางจับไปที่แขนเสื้อแล้วมองเพ่งดูพลางถามว่า “ขโมยได้แล้วหรือ”

 

 

เทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนวิ่งออกมาจากในห้อง ดวงตากลมมองฝูชางเอาขนจี๋กวงที่งดงามกลุ่มหนึ่งออกมาจากในอก ขนของจี๋กวงเป็นสีขาวครึ่งแดงครึ่ง และยังมีประกายแสงเล็กๆ ราวกับอัญมณีมากมาย เขาตัดมาอย่างเป็นระเบียบ

 

 

“รบกวนเทพธิดาทอผ้าจื่อหยวนแล้ว” เขายื่นขนจี๋กวงให้นาง

 

 

 

 

 

 

 

 

[1]ดอกจื่อหยาง คือ ดอกไฮเดรนเยีย

 

 

[2]จี๋กวง ชื่อสัตว์เทพโบราณของจีน รูปร่างคล้ายม้า เรียกได้อีกชื่อว่าอาชาเทพ เป็นสัญลักษณ์ของความมงคล