ตอนที่ 29 - 4 จัดประลองจับชู้

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

จิ่งเหิงปัวชะงัก ปฏิกิริยาแรกคือยังต้องรีบหนี ปฏิกิริยาที่สองคือ เอ๊ะ อิงไป๋ถูกไล่ออกจากตี้เกอแล้วไม่ใช่เหรอ? ปฏิกิริยาที่สามคือ อ้อ กลิ่นนั้นเป็นกลิ่นเหล้า มิน่าล่ะรู้สึกว่าคุ้นเคย ปฏิกิริยาที่สี่คือ อืม ข้ารีบหนีดีกว่า!

 

 

ไม่รอให้นางครุ่นคิดเสร็จสิ้น อิงไป๋ก็หัวเราะพลางเอ่ยว่า “อย่านะ ฝ่าบาท ข้าไม่สนใจท่าน ข้ามาหาเผยซู”

 

 

จิ่งเหิงปัวหยุดนิ่ง นางไม่รู้สึกว่าอิงไป๋มีเจตนาร้ายจริงแท้ ก่อนหน้านี้ที่แคว้นเซียง การพบกันครั้งนั้นของสองคน แม้อยู่ฝ่ายตรงข้าม แต่ความประทับใจซึ่งกันและกันไม่เลว

 

 

“หยกขาวแกนทองคำ ยากจะได้พบกัน เรื่องนี้นับว่าน่าเสียดาย” อิงไป๋ดื่มสุราอึกหนึ่ง ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาทโปรดช่วยให้ข้าสมหวังก่อน จากนั้นค่อยจัดการข้าคงไม่สาย”

 

 

จิ่งเหิงปัวคิดว่าหยกขาวแกนทองคำโด่งดังคู่กันหลายปี แต่ไม่เคยได้พบกันเลย ตอนนี้อิงไป๋ได้ยินข่าวเผยซู ตามมาหาเผยซูย่อมเป็นเรื่องปกติ

 

 

ส่วนทำไมอิงไป๋รู้ว่าเผยซูกลับมาแล้ว สายลับของอวี้จ้าวหลงฉีมีอยู่ไม่น้อย

 

 

ท่ามกลางความมืดมิดมองเห็นหน้าตาอีกฝ่ายไม่ชัดเจน มองเห็นเพียงว่าเขาหน้าตาคมคาย นัยน์ตาเปล่งประกายระยิบระยับ กระเพื่อมด้วยความมึนเมานิดหน่อย กลิ่นสุราในเกี้ยวอบอวลยิ่งขึ้น คลุกเคล้ากลิ่นหอมสดชื่นของบุรุษ ผสมผสานกลายเป็นกลิ่นที่มีแรงดึงดูดและมีเสน่ห์ชนิดหนึ่ง

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกเสมอว่าอิงไป๋เป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์เหลือเกิน แม้ตอนพบกับอิงไป๋ที่แคว้นเซียง ครั้งแรกเขาอยู่ในพุ่มไม้ ครั้งหลังต่อสู้กับเหยียลี่ว์ฉี นางไม่ได้มองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนเลย แต่ยังรู้สึกว่าความอิสระสง่างามของเขาเกิดขึ้นตามธรรมชาติ เฉกเช่นจี้อีฝาน แม้ท่องเที่ยวหอคณิกาลุ่มหลงเหลาสุรา บุคลิกเสเพลทั่วร่างเช่นกัน แต่แท้จริงแล้วในใจลังเลสับสน มองทะลุปรุโปร่งแท้จริงได้ไม่เท่าคนคนนี้ นัยน์ตาคู่หนึ่งเขียนเรื่องราวโลกมนุษย์ กระบอกสุราใบเดียวแบกยุทธภพ

 

 

กลิ่นสุราบนร่างอิงไป๋รุนแรงเหลือเกิน เขาไปถึงที่ไหน ผู้คนที่นั่นจะถูกกลิ่นสุราที่สั่งสมมานานนั้นรมจนมึนเมา สมองจำได้เพียงนัยน์ตาที่หรี่โค้งเจือรอยยิ้มบ่อยครั้งคู่นั้นของเขา แต่จำไม่ค่อยได้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่

 

 

คนบางคนลักษณะท่าทางโดดเด่นเหลือเกิน กลบกลืนหน้าตาจนสิ้น

 

 

“เจ้าคงไม่ใช่อยากไปสังหารเผยซูกระมัง?” จิ่งเหิงปัวกระซิบถาม นางจำได้ว่าสองคนนี้นับเป็นศัตรูคู่อาฆาต

 

 

“ข้าไม่ใช่สมุหราชองครักษ์อวี้จ้าวแล้ว” อิงไป๋ดื่มสุราอึกหนึ่ง เอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “แน่นอนว่าหากเขาอยากสังหารข้า ข้าย่อมไม่ถือสาต่อสู้กับเขาเช่นกัน”

 

 

ในใจจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ หัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “เช่นนี้เอง เช่นนั้นเห็นแก่ข้าคุ้มกันเจ้า เจ้าช่วยข้ากระทืบเขาสักครั้งพอแล้ว”

 

 

“ได้ตามต้องการ” อิงไป๋พิจารณากระบอกสุรา สีหน้าสบายอารมณ์

 

 

ไม่รู้ทำไม จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ว่าเขาอารมณ์ดีมาก

 

 

เกี้ยวน้อยขยับไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า คล้ายเดินอยู่บนทางแคบ แม้คนแบกเกี้ยวมีฝีมือฝีเท้ามั่นคงอย่างยิ่ง แต่ยังคงโคลงเคลงตลอดเวลา เกี้ยวเล็กแคบ เข่าของสองคนจึงชนกันบ่อยครั้ง ต่างคนต่างรู้สึกได้ถึงความร้อนจากหัวเข่าของกันและกัน ต่างคนต่างขยับถอยอย่างอึดอัด แต่ขยับแล้วจะไปไหนได้? ผ่านไปไม่นานชนเข้าด้วยกันอีกครั้ง เสียงทุ้มแผ่วเบาขณะชนกันทำให้จิ่งเหิงปัวอึดอัดเล็กน้อย ในใจเหม่อลอยนิดหน่อยด้วย ไม่รู้ทำไม เกิดนึกถึงตอนนั้นที่เขามารับนางที่จวนจ้าวซื่อจื๋อ นางมุดเข้าเกี้ยวอบอุ่นของเขา ภายในเกี้ยวกว้างขวางนั้นเขาสติหลุดโดยไม่รู้สาเหตุเป็นครั้งแรก โอบนางไว้พลิกตัวด้วยความมึนงง…

 

 

นางยกมือขึ้นทันที หยิกหน้าตัวเองอย่างแรง…ทำไมต้องนึกถึงเรื่องนี้! ทำไมต้องนึกถึงเรื่องนี้!

 

 

มือของอิงไป๋ที่ดื่มสุราอยู่ฝั่งตรงข้ามชะงักเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ถามว่าอยู่ดีๆ นางเกิดเสียสติอะไรขึ้นมา เพียงแต่ขยับขาหลีกถอยอีกครั้ง ดื่มสุรารวดเร็วยิ่งกว่าเดิมนิดหน่อย

 

 

นางถูกรมกลิ่นจนเวียนศีรษะเล็กน้อย เลิกม่านเกี้ยวมองทิวทัศน์ข้างนอก รอบด้านมืดมิด ตำหนักซับซ้อน ดูท่าทางไม่รุ่งเรืองเลย

 

 

“มีคน!” คนข้างหลังพลันยื่นมือข้างหนึ่งออกมาค้ำริมข้างม่านเกี้ยวไว้ ขณะเดียวกันนางมองเห็นเงาดำเฉียดผ่านข้างบนตำหนัก แววตาปานวิหคดุร้ายหันมามองเกี้ยวปราดหนึ่ง

 

 

นางไม่นึกว่าดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้จะมีคนใช้วิธีนี้ลาดตระเวนเหนือวังหลวงด้วย รู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างเลินเล่อ อดจะแลบลิ้นไม่ได้ ใครจะรู้ว่าขณะนี้เขากำลังชักมือกลับ ปลายลิ้นนางม้วนเพียงครั้ง เลียบนหลังมือเขา

 

 

สองคนต่างชะงัก

 

 

นางเก้อเขินเล็กน้อย รู้สึกไม่สะอาด ซ้ำยังรู้สึกว่าฉากนี้คุ้นเคยจนน่าตกใจ แสงแปลบปลาบกะพริบวูบสู่สมอง ปรากฏห้องมืดมิด คันฉ่อง เรือนร่างก้มโค้งอยู่ข้างหลัง มือข้างหนึ่งค้ำริมคันฉ่องไว้ นางก้มหน้าเลียนิ้วมือนั้นด้วยความโมโห…

 

 

นางสั่นสะท้าน จากนั้นรู้สึกว่าเรือนร่างข้างหลังเป็นท่วงท่าเอื้อมมือค้ำไว้เช่นกัน ใกล้ชิดเหลือเกินเช่นกัน หน้าอกครึ่งหนึ่งแนบอยู่ข้างหลังนาง ความร้อนถาโถมเข้ามา นางรู้สึกถึงลมหายใจไม่คุ้นเคย หลีกถอยเล็กน้อย

 

 

พอนางหลบหลีก เขาจึงคล้ายตื่นจากภวังค์ เรือนร่างหลีกถอยพลางชักมือกลับโดยพลัน คล้ายเก้อเขินเล็กน้อยเช่นกัน ร่ำสุราอีกอึกหนึ่งอย่างเงียบเชียบ

 

 

จิ่งเหิงปัวหันหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แท้จริงแล้วเรื่องนี้ไม่เห็นเป็นไร ถ้าเลียหลังมือของเจ็ดสังหารสักคน ทุกคนคงต้องหยอกล้อหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยกัน ถ้าเลียหลังมือเทียนชี่ เทียนชี่คงต้องกลอกตาใส่นางอย่างสนิทสนม แต่ตอนนี้ เมื่อเลียหลังมืออิงไป๋ที่ยังคงแปลกหน้าอย่างยิ่งคนนี้ นางรู้สึกแค่ว่าอึดอัดอย่างไม่มีเหตุผล ไม่มีแม้แต่ความคิดแกล้งตลกแก้เขิน

 

 

หรือว่าพาหนะเช่นเกี้ยวนี้ทั้งคับแคบทั้งใกล้ชิดเกินไป เพิ่มบรรยากาศคลุมเครือ ทำให้ทำตัวเป็นธรรมชาติไม่ได้ล่ะมั้ง

 

 

นางเอียงศีรษะพิงเกี้ยวฝั่งหนึ่งไว้ เขาหันข้างห่างไกล พิงอีกฝั่งหนึ่งของเกี้ยวไว้ ดูท่าทางเป็นหญิงชายคู่หนึ่งซึ่งยังคงแปลกหน้า พยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกัน

 

 

แสงดาวแสงเดือนเล็ดลอดเข้ามาจากซอกม่าน สาดส่องให้ครึ่งเรือนร่างยามเท้าแก้มของนางสว่างไสว ขนตาโค้งงอน สายตาสุกสกาวสงบนิ่งเยือกเย็น ริมฝีปากอิ่มเอิบดุจดอกทับทิมแรกแย้ม

 

 

แววตาเขาลื่นไหลจากบนริมฝีปากนาง ทอดลงบนหลังมือของตนเอง รอยน้อยนั้นย่อมหายไปแล้ว ทว่าไม่รู้เช่นไร ดูท่าทางผิวกายผืนนั้นแลคล้ายแวววาวเป็นพิเศษ

 

 

ท่ามกลางความมืดมิดอบอวลด้วยลมหายใจแผ่วเบา ซับซ้อน ล่องลอย หลีกเลี่ยง พัวพัน

 

 

เกี้ยวพลันสั่นสะท้าน ร่วงพื้นแล้ว จิ่งเหิงปัวเกือบถอนหายใจยืดยาว

 

 

พอเชิดสายตา มองเห็นตรงหน้าคือลานตำหนักต่ำต้อยแห่งหนึ่ง กระเบื้องเทากำแพงขาว กำแพงเตี้ยล้อมรอบหนึ่งชั้น ลานตำหนักแบบนี้ปรากฏในวังทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใจ นางชะงัก จากนั้นนึกขึ้นได้ว่าอิงไป๋ที่อยู่ในเกี้ยวจะทำอย่างไร? พอเหลียวหลัง อิงไป๋ได้ออกมาจากเกี้ยวแล้ว ท่วงท่าสุขุม

 

 

คนแบกเกี้ยวสองคนนั้นมองดูเขาอย่างตื่นตะลึง นึกไม่ถึงเลยว่าพลันเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งได้เยี่ยงไร

 

 

เดิมทีอิงไป๋สายตาแน่วแน่ ไม่ได้เห็นสองคนนั้นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ทว่าคล้ายพลันนึกกระไรได้ หันหน้ายิ้มให้สองคนนั้น เอ่ยว่า “รบกวนสองท่านแบกเกี้ยวตลอดทาง ลำบากแล้ว”

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกแค่ว่าตอนเขาออกจากเกี้ยวท่วงท่าหยิ่งผยองสูงศักดิ์ แต่ตอนนี้ฟื้นคืนท่าทางสง่างามชาญฉลาด

 

 

สองคนนั้นเปลี่ยนสีหน้า ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง ขณะกำลังจะลงมือ บางคนพลันเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “สุนัขโง่เง่าสองตัว ด้วยฝีมือของพวกเจ้า กล้าลงมือจัดการเขาด้วยหรือ? เละเทะเกะกะซ้ำยังขวางทางข้า หลีกไป!”

 

 

จิ่งเหิงปัวเลิกคิ้ว…น้ำเสียงหยิ่งผยองนี้ ไม่ต้องบอกกล่าว เผยซูมาถึงแล้ว

 

 

ประตูเปิดแล้ว เป็นเผยซูเดินออกมาจริงด้วย ไม่ได้มองผู้ใดทั้งนั้น ปราดแรกจ้องอิงไป๋เขม็ง

 

 

สตรีชุดขาวนางหนึ่งข้างกายเขาโบกมือให้ลูกน้องสองคนนั้น สองคนนั้นมีสีหน้าอาฆาตแค้น ทว่าไม่กล้าขัดขืน ก้มหน้าถอยลงไป

 

 

จิ่งเหิงปัวมองแค่แวบเดียว อดจะชะงักไม่ได้

 

 

สาวงามจริงด้วย

 

 

เล่ากันว่าเป็นมารดาบุญธรรมของจั้นซินผู้นำเผ่าจั๋นอวี่ แต่อ่อนวัยเกินจินตนาการ ท่าทางคล้ายคนอายุแค่ยี่สิบกว่า ผิวขาวจนใกล้โปร่งแสง นัยน์ตาสีอ่อนใต้แสงจันทร์ดุจเครื่องแก้วสีสัน ผมดำทั่วศีรษะยาวถึงหลังเท้าไม่เกล้ามวย พลิ้วสยายตรงแน่วอยู่ข้างหลัง คล้ายทางช้างเผือกมืดมิดทอดยาว ตั้งแต่ปลายผมจรดโคนผมดำขลับเกลี้ยงเกลาชั้นหนึ่ง

 

 

นางเป็นสตรีที่มองแวบเดียวยังรู้สึกว่าบริสุทธิ์ยิ่งนัก บริสุทธิ์จนทำให้ผู้คนรู้สึกว่าอากาศสกปรกเกินไปกลัวนางจะแปดเปื้อน จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเล่ากันว่านวลเนียนขาวผ่อง พิสุทธิ์เปล่งปลั่ง คงเป็นเช่นนี้เอง

 

 

ท่วงท่าเช่นนี้ ไม่นึกเลยว่าเป็นพระมารดาบุญธรรมของกษัตริย์ ท่วมท้นด้วยความอ่อนหวานเหลือเกิน

 

 

“เขาคือผู้ใด” เผยซูต้องการดำรงอยู่เป็นลำดับแรกเสมอ ไม่ทักทายด้วยซ้ำ ชี้อิงไป๋ถามจิ่งเหิงปัวอย่างตรงไปตรงมา

 

 

แววตาเขาระยิบระยับ เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งยามพบเจอคู่ต่อสู้

 

 

“ผู้ที่มากระทืบเจ้า”

 

 

“เช่นนั้นมาสู้กันสักรอบ” เผยซูถลกแขนเสื้อโดยพลัน

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังอยากซัดหมัดดาวหางเพกาซัสให้เขาสักดอก ต่อยให้เขาเห็นชัดว่าที่นี่ที่ไหนแล้วค่อยเอ่ยวาจา สตรีชุดขาวข้างกายเผยซูเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยแล้วว่า “คุณชายเผย เรื่องที่เจ้ารับปากข้า”

 

 

กล่าวแล้วประหลาด เผยซูที่เปลวไฟลุกโชนประหนึ่งจิ้งจอกป่าได้ยินวาจาง่ายดายเช่นนี้ มือที่ถลกแขนเสื้อหยุดลงจริงแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่เคยเห็นเขาเคยเชื่อฟังขนาดนี้เลย แสดงว่าเขากับผู้หญิงคนนี้มีอะไรๆ ซ่อนอยู่แน่นอน

 

 

“เรียกข้ามาทำอะไร?” นางถามเผยซูว่า “ไม่แนะนำสุภาพสตรีท่านนี้สักหน่อยหรือ”

 

 

นางยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้นอย่างสุภาพ แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ยิ้มแย้ม ตาสองชั้นลึกล้ำจ้องมองจิ่งเหิงปัวอย่างลึกซึ้ง จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตัวเองคล้ายกำลังเผชิญหน้ากับบ่อน้ำ มองเห็นแค่น้ำลึกเย็นเยือก รวมทั้งตัวเองที่โดดเดี่ยว

 

 

“อินอู๋ซิน” เผยซูเอ่ยอย่างเรียบง่ายว่า “เดิมเป็นผู้ถวายงานวังจั๋นอวี่ ภายหลังสมรสกับผู้นำเผ่าคนก่อน ยามนั้นเคยไปมาหาสู่กันกับข้าช่วงหนึ่ง นับเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของข้า เรียกเจ้ามา…” เขาเอ่ยอย่างไม่กังวลว่า “จั้นซินต้องการสมรสกับอู๋ซิน อู๋ซินไม่อยากสมรสกับบุตรชาย ขอให้ข้าเป็นโล่กำบัง ข้าเอ่ยว่าเจ้าเป็นคู่หมั้นข้า ด้วยความเคารพ เรื่องนี้ต้องเอ่ยต่อหน้าเจ้าสักหน่อย เช่นนี้ล่ะ เจ้ารู้สึกว่าอย่างไร?” เอ่ยเสร็จสะบัดมือแลคล้ายไม่สนใจ ทว่ามองดูนางด้วยสายตาแพรวพราว