จิ่งเหิงปัวกะพริบตา…ข้อมูลโคตรแน่น!

 

 

ลูกชายจะแต่งงานกับแม่เลี้ยง? แม่เลี้ยงขอให้คนรักเก่าช่วย? คนรักเก่าอ้างว่านางเป็นคู่หมั้น ตอนนี้รอให้นางซึ่งเป็นคู่หมั้นคนนี้เห็นด้วยก่อน?

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

 

 

“คือว่า…” นางชี้อินอู๋ซิน กล่าวว่า “จั้นซินไม่ใช่…ของท่านหรือ? หน้าไม่อายขนาดนี้เลยหรือ?”

 

 

ลูกชายในนามก็เป็นลูกชาย จั้นซินแต่งงานกับแม่เลี้ยงจะอธิบายกับขุนนางและราษฎรว่าอย่างไร

 

 

“ทุกท่านเข้าไปแล้วค่อยคุยกันได้หรือไม่” เรื่องเช่นนี้ถูกผู้ไร้ความกังวลหลายคนนี้ถามไปถามมาขนาดนี้ บนใบหน้าสงบนิ่งประหนึ่งบ่อน้ำของอินอู๋ซินยังอดจะมีความอึดอัดกับความโกรธเคืองเฉียดผ่านไม่ได้

 

 

“เช่นนั้นเข้าไปคุยกัน เสร็จแล้วข้ายังต้องต่อสู้ กล้าอยู่ข้างกายสตรีที่ข้าถูกใจ ให้เจ้าอยู่รอดอีกสักหน่อย” เผยซูคล้ายมีเจตนาร้ายต่ออิงไป๋เป็นพิเศษ มองเขาปราดเดียว หันหลังเข้าไปก่อนแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวหันหน้ามองอิงไป๋ อิงไป๋กำลังจ้องมองเงาด้านหลังของเผยซูเช่นกัน สายตาเหน็บหนาวถึงกระดูก เห็นนางมองผ่านมา เขาประสานสายตากับนาง ยิ้มแย้มพลางชูกระบอกสุรา

 

 

แค่พริบตาเดียวจิ่งเหิงปัวคล้ายรู้สึกถึงไอสังหาร ทำให้นางเกิดภาพลวงตาว่าหนึ่งในสองคนนี้กำลังลงมือ แต่ท่าทางราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นของอิงไป๋ ทำให้นางคิดว่าตัวเองเครียดเกินไปหรือเปล่า

 

 

คนแถวหนึ่งเข้าไปนั่งแยกเป็นแขกและเจ้าบ้าน อินอู๋ซินกลัวว่าปากเสียตรงไปตรงมาของเผยซูนั้นจะเอ่ยวาจารับไม่ได้กระไรออกมาอีกครั้ง ตนเองชิงเล่าเรื่องราวก่อนเสียเลย

 

 

แท้จริงแล้วนางเป็นลูกศิษย์สายแขนงคนหนึ่งของสำนักลับนอกแดนมนุษย์ ทางสำนักแสนเชี่ยวชาญศาสตร์ฝูจี[1]กับศาสตร์ชะลอวัย อาศัยสิ่งแรกนางกลายเป็นผู้ถวายงานแห่งพระราชวังเผ่าจั๋นอวี่ ภายหลังกลายเป็นพระชายาของผู้นำเผ่าคนก่อน ส่วนสิ่งหลังทำให้นางอ่อนวัยไม่แก่ชรา ฉะนั้นจึงได้รับความโปรดปราน

 

 

จิ่งเหิงปัวอดจะขัดจังหวะไม่ได้ว่า “ละลาบละล้วงสักหน่อย ท่านอายุเท่าใดแล้ว”

 

 

“สี่สิบแปด” อินอู๋ซินเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือย

 

 

แววตาของจิ่งเหิงปัวสว่างวูบ รู้สึกว่าต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้หญิงคนนี้ สมัยโบราณไม่มีทักษะเสริมสวยกับเครื่องสําอางอำพรางอายุเทียบเท่าสมัยใหม่ขนาดนั้น โดยทั่วไปคนโบราณดูเหมือนแก่กว่าอายุจริง ผู้หญิงใกล้ห้าสิบดูเหมือนยังยี่สิบอย่างอินอู๋ซินนี้หายากโดยแท้

 

 

“ทว่าข้าแทบอยากให้ตนเองกลายเป็นยายเฒ่า ดีกว่าถูกเดรัจฉานตัวนั้นก่อกวน!” ทว่าอินอู๋ซินมีสีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก

 

 

เอ่ยกันว่ามีสุขย่อมมีทุกข์ได้ อินอู๋ซินชะลอวัยไม่แก่ชรา บุคลิกลักษณะยังเหนือกว่าพระชายานางอื่นของจั้นซิน แต่ก่อนจั้นซินยังไม่มีความคิดไม่สมควรกระไร พระชายาวังในของเขาล้นหลาม ไม่คุ้มที่จะกระทำความผิดใหญ่หลวงเพื่อพระมารดาบุญธรรมในนาม ทว่าด้วยอายุเริ่มมากขึ้น ร่างกายเขาค่อยๆ ถดถอย เดิมทีมีโอรสธิดาไม่มาก โดดเด่นน้อยคน จั้นเจวี๋ยบุตรชายคนเล็กของชายาเอกที่แสนรักใคร่ เมื่อปีก่อนสิ้นชีพที่หุบเขาไร้นามในต้าเยียน ด้วยเหตุนี้เขายังทะเลาะกับเหยียลี่ว์ฉีอย่างรุนแรง หลังสูญเสียบุตรชายคนเล็ก เขายิ่งพยายามมีบุตร หวังสืบต่อวงศ์ตระกูล ทว่าเรี่ยวแรงยิ่งไม่เป็นใจ คราวนี้มีคนเสนอความเห็นแด่เขา เอ่ยว่าสำนักเทียนหนี่ว์ของอินอู๋ซิน ศาสตร์ชะลอวัยแห่งสำนักนี้เป็นศาสตร์อัศจรรย์ล้ำเลิศ ฝึกฝนเนิ่นนานเข้า ภายในร่างกายเกิดหลินจือวิเศษ สามารถเติมเต็มพละกำลังของบุรุษ ร่วมรักกับสตรีเยี่ยงนี้ ช่วยฟื้นฟูความแข็งแกร่งของบุรุษเพศ ซ้ำยังได้บุตรชายในคราวเดียว

 

 

จั้นซินสะกิดใจโดยพลัน ก่อกวนหยั่งเชิงอินอู๋ซินทุกวิถีทาง ด้วยเหตุนี้อินอู๋ซินย้ายเข้าตำหนักเย็นแห่งหนึ่งในวังตั้งใจเก็บเนื้อเก็บตัว นางมีวิธีการเฉพาะตัวอยู่บ้าง หลบซ่อนการก่อกวนหลายต่อหลายครั้งของจั้นซินมาได้ ด้วยความจนปัญญา จั้นซินส่งคนมาเจรจากับนางเสียเลย เอ่ยว่าจะส่งนางออกไปเปลี่ยนฐานะก่อน จากนั้นค่อยสมรสเข้าวังอย่างสง่าผ่าเผย มอบตำแหน่งสูงศักดิ์ทรงเกียรติให้นาง เจรจามาถึงขั้นนี้ หากไม่ยินยอมย่อมต้องผิดใจกับจั้นซินแน่แท้ ก่อนหน้าอินอู๋ซินยังรักษาตนไว้ได้ ด้วยเพราะจั้นซินยังเพ้อเจ้อว่านางจะยินยอมพร้อมใจ เช่นนี้หลังอยู่ร่วมกันแล้วเล่ากันว่าจะได้ผลดีที่สุด หากนางยังต่อต้าน เขาคงต้องใช้กำลัง ท่ามกลางวังหลวงลึกล้ำ สตรีอ่อนแอเช่นนางจะรอดพ้นได้อย่างไร?

 

 

ด้วยความจนปัญญา อินอู๋ซินจึงคิดตามหาผู้แข็งแกร่งนอกวังมาช่วยเหลือ โกหกว่ามอบหลินจือวิเศษในร่างกายให้บุรุษผู้นี้แล้ว ขอร้องให้เขาช่วยพานางออกจากวัง แน่นอนว่าบุรุษผู้นี้จักต้องเผชิญหน้ากับเพลิงโทสะของจั้นซิน ฉะนั้นเขาจะต้องเก่งวรยุทธ์ขั้นสูงสุด

 

 

เวลาเช่นนี้จะไปหาบุรุษเช่นนี้มาจากที่ใด? มองเห็นเส้นตายของจั้นซินเหลือเพียงสามวัน อินอู๋ซินร้อนรนยิ่งนัก ทว่ายามนี้ ได้ยินเรื่องราวจำพวกแผ่นป้ายขอสมรสกับงานประลองเลือกคู่ อีกทั้งอักษร ‘ซู’ นั้น นางค่อนข้างรู้จักเผยซู รู้สึกว่าเรื่องนี้คล้ายเผยซูเป็นคนกระทำ แม้ในใจรู้สึกว่าเหลวไหล แต่ยังหวังลองสักตั้ง ผลลัพธ์ทำให้นางทั้งดีใจทั้งแปลกใจ

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังนางเอ่ยด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง มองเผยซูที่ยืนกอดอกด้วยสีหน้าหงุดหงิดแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าเจ้าคนนี้คงไม่ดีใจแม้แต่น้อยแน่นอน ใช้นิ้วมือคิดยังรู้ว่านี่เป็นเรื่องยุ่งยาก เขาน่าจะติดค้างไมตรีจิตของอินอู๋ซินอยู่ไม่น้อย ซ้ำยังปฏิเสธไม่ได้เพราะความหยิ่งผยอง ฉะนั้นจึงลากนางเข้ามาข้องเกี่ยว หวังให้นางช่วยเขาปฏิเสธสินะ?

 

 

กล่าวเช่นนี้แล้ว วาจา ‘ข้าถูกลักพาตัวไป ช่วยด้วย’ นั้นนับเป็นความจริง…ข้าถูกศีลธรรมลักพาตัวไป รีบมาช่วยชีวิตข้า!

 

 

นางกะพริบตา คิดว่ายังต้องช่วยอะไรล่ะ นี่ไม่ใช่เรื่องที่โคตรดีเหรอ? แสดงเป็นคู่รักกับผู้หญิงอย่างอินอู๋ซิน ซ้ำยังได้ก่อเรื่องด้วย เป็นเรื่องที่ขุนพลน้อยแซ่เผยชอบที่สุดไม่ใช่เหรอ?

 

 

“นี่ เจ้าอย่าขายข้าเชียวนะ” เผยซูมองปราดเดียวเห็นความคิดชั่วร้ายของนาง ชี้หน้านางเอ่ยว่า “มิฉะนั้นอย่าหวังให้ข้าช่วยเจ้า”

 

 

เขาคงหมายถึงเรื่องเรือวิเศษ จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะๆ กล่าวว่า “เจ้าไม่ช่วยเรื่องนี้ ย่อมช่วยข้ากระทำเรื่องนั้นไม่ได้ เหตุผลนี้เจ้าไม่เข้าใจหรือ?”

 

 

เผยซูไม่เอ่ยวาจาแล้ว สีหน้ากลัดกลุ้ม

 

 

ไม่จัดการเรื่องนี้ให้อินอู๋ซิน จะหาวิธีขโมยพิมพ์เขียวเรือวิเศษได้อย่างไร? ด้วยฐานะของอินอู๋ซิน เป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางจะรู้เรื่องพิมพ์เขียว ซ้ำยังจะใช้สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยนแน่นอน

 

 

“ข้ามีข้อสงสัย” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีถามอินอู๋ซินว่า “ในเมื่อจั้นซินหวังได้ท่านแน่วแน่ เหตุใดไม่ได้จับตาดูความเคลื่อนไหวของท่าน ซ้ำยังให้ท่านพาเผยซูเข้ามา เขาไม่กลัวถูกผู้อื่นชิงตัดหน้าหรือ?”

 

 

เดิมทีอินอู๋ซินไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ยามนี้เห็นบุรุษที่มองแล้วรู้เลยว่าเป็นยอดฝีมือสองคนอาศัยนางเป็นผู้นำอย่างชัดเจน ท่าทางจึงดีขึ้นนิดหน่อย มองนางปราดเดียว หน้าแดงเล็กน้อย เอ่ยว่า “เจ้ามานี่สิ”

 

 

จิ่งเหิงปัวเข้าไปใกล้อย่างประหลาดใจ อินอู๋ซินผลักนางหันหลัง จูงมือของนางสัมผัสท้องส่วนล่างตนเองเพียงครั้ง กระซิบว่า “เขาไม่สนใจไยดีหรอกว่ายามนี้ข้าพาผู้ใดเข้าวัง เขาสงสัยมาตลอดว่าข้าคบชู้สู่ชาย จงใจให้โอกาสข้าพาชายชู้เข้าวัง เขาจะได้จัดการพร้อมกัน เขา…เขากักขังข้าไว้…” วาจาสุดท้ายแผ่วเบาไม่ได้ยินเสียง

 

 

นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวสัมผัสความแข็งแกร่งเย็นเยียบ ทั้งคล้ายแผ่นเหล็กทั้งคล้ายสายโซ่ นางชะงัก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเริ่มรู้สึกตัว อดจะเบิกตากว้างไม่ได้

 

 

คงไม่ใช่เข็มขัดพรหมจรรย์หรอกมั้ง!

 

 

ไม่นึกว่าจะได้เจอสิ่งของที่เล่ากันว่าทรมานเพศหญิงแบบนี้ที่นี่!

 

 

จักรวาลน้อยของจิ่งเหิงปัวลุกโชนด้วยเปลวเพลิงดัง ฟึ่บ …นางโคตรเกลียดทุกการกระทำเหยียบย่ำและกักขังที่ระบอบปิตาธิปไตยกระทำต่อเพศหญิง!

 

 

ท่ามกลางกลุ่มสี่คนของสถาบันวิจัย นางที่แสนเปิดเผยแสนรักอิสระกับไท่สื่อหลันที่แสนเย็นชาแสนหยิ่งผยองเป็นผู้พิทักษ์ที่แสนจงรักภักดีของระบอบมาตาธิปไตย นางดีกว่าท่าทาง ‘เหยียบย่ำผู้ชายทั่วหล้าก้มหน้ามองเพศผู้ทั่วโลก’ ของไท่สื่อหลันเล็กน้อย แต่ทนต่อพฤติกรรมน่ารังเกียจและเหยียดหยามแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด

 

 

แทบจะในขณะนั้น นางตัดสินใจขายเผยซูแล้ว!

 

 

“ไม่ต้องเอ่ยวาจา!” นางจูงมือของอินอู๋ซินไว้ กล่าวด้วยพลังท่วมท้นว่า “จั้นซินไม่แตกต่างจากเดรัจฉาน! สมควรสิ้นชีพยิ่งนัก! ด้วยนิสัยกล้าหาญจิตใจอ่อนโยนแต่แรกเริ่ม เผยซูต้องยอมช่วยท่านแน่แท้!”

 

 

“หา?” เผยซูเบิกตากว้าง

 

 

นิสัยกล้าหาญจิตใจอ่อนโยน? ผู้ใดเอ่ยไว้?

 

 

สตรีสมควรตายนางนี้ ไม่รู้หรือว่าเขาแสนชิงชังวาจาน่ารังเกียจเช่นนี้?

 

 

มุมปากอิงไป๋คล้ายผุดเผยรอยยิ้มจางๆ ก่อนจะดื่มสุราอึกหนึ่ง

 

 

อินอู๋ซินไม่มีสีหน้าปีติยินดี สตรีนางนี้เฉื่อยเนือยยิ่งนัก สิ่งนี้อาจเป็นเงื่อนไขพลังภายในของสำนักพวกนาง จิตใจสะอาดผ่องใส ดีใจโศกเศร้าน้อยครั้ง ถึงจะรักษารูปร่างหน้าตาได้ยาวนานยิ่งขึ้น

 

 

นางชักมือกลับไป เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ไม่มีเรื่องดีที่ร่วงจากฟ้า มีเพียงการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เอ่ยมาเถิด พวกเจ้าต้องการสิ่งใด?”

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิๆ กล่าวอย่างองอาจผึ่งผายว่า “เจ้าคนไร้อางอาย สมควรสิ้นชีพอยู่แล้ว! ช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้นเอง…”

 

 

อินอู๋ซินมีสีหน้าสงบนิ่งไร้อารมณ์ เอ่ยว่า “หากพวกเจ้าไม่ต้องการสิ่งใดเลยเช่นนั้นจริง ข้าคงไม่กล้าเชื่อใจแล้ว”

 

 

“โอ้ ข้าต้องการพิมพ์เขียวเรือวิเศษกับช่างฝีมือดีที่สุดเท่าที่หาได้จากจั๋นอวี่ของพวกเจ้า” จิ่งเหิงปัวตอบอย่างรวดเร็ว

 

 

“พิมพ์เขียวเรือวิเศษถูกเก็บไว้ในตำหนักบรรทมของจั้นซิน หากหวังครอบครอง คงต้องวางแผนการละเอียดรอบคอบ” อินอู๋ซินเอ่ยว่า “ส่วนช่างฝีมือดีที่สุด…ข้านั่นเอง”

 

 

“หา?”

 

 

“ผู้ถวายงานวังจั๋นอวี่ เดิมทีมีปรมาจารย์ช่างฝีมือเรือวิเศษเป็นหลัก ข้าเป็นผู้ถวายงานนานหลายปีขนาดนั้น เบื่อหน่ายวังหลวง เรียนรู้วิชากับพวกเขาทุกคนมานานแล้ว พลังภายในของสำนักข้าทำให้จิตใจสะอาดผ่องใส สมาธิรวมเป็นหนึ่ง มุ่งมั่นเรียนรู้วิชาเกิดความสำเร็จได้ง่ายดายยิ่งนัก สุดท้ายฝีมือหลอมรวมเป็นหนึ่ง เก่งกว่าอาจารย์แล้ว เพียงแต่หลายปีมานี้ ผู้อื่นไม่รู้เท่านั้น”

 

 

สำหรับจิ่งเหิงปัวเรื่องนี้น่ายินดีเหนือความคาดหมาย เกิดนึกขึ้นได้ว่านางเอ่ยถึงสำนักหลายครั้ง อดจะถามไม่ได้ว่า “สำนักของเจ้าคล้ายลึกลับยิ่งนัก ใช่นิกายสวรรค์จิ่วฉงหรือไม่?”

 

 

เผยซูหันหน้าโดยพลัน

 

 

มือที่ยกกระบอกสุราของอิงไป๋ชะงัก

 

 

อินอู๋ซินเบิกตากว้างเล็กน้อย เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “เจ้ารู้จักนิกายสวรรค์จิ่วฉงด้วย?” จากนั้นส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่ พวกเราจะคู่ควรได้อย่างไร? ทว่าเอ่ยมาแล้ว สำนักข้ากับนิกายสวรรค์จิ่วฉงมีต้นกำเนิดร่วมกันเพียงเล็กน้อย บรรพบุรุษสำนักพวกเรา เดิมทีเป็นข้ารับใช้จุดไฟผู้หนึ่งของนิกายสวรรค์จิ่วฉง ต่อมาด้วยเพราะสร้างความดีความชอบในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจึงกลายเป็นลูกศิษย์ในนาม ทว่าไม่ผ่านการทดสอบลูกศิษย์ในนามในปีต่อไป ถูกขับไล่ออกจากนิกายสวรรค์ ภายหลังจึงก่อตั้งสำนักเทียนหนี่ว์ของข้า”

 

 

นางเอ่ยถึงเรื่องนี้ คล้ายไม่รู้สึกอับอายที่ปรมาจารย์ของตนเองเป็นลูกศิษย์ถูกทิ้งระดับต่ำต้อยของนิกายแม้แต่น้อย สีหน้ายังค่อนข้างภูมิใจด้วยเพราะได้เชื่อมโยงความสัมพันธ์เล็กน้อยกับนิกายสวรรค์จิ่วฉง

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบตกใจกล่าวไม่ออก ข้ารับใช้จุดไฟคนหนึ่งของนิกายสวรรค์ เรียนวิชาระยะสั้นจากนิกายสวรรค์ ออกมาก่อตั้งสำนักได้ด้วยตัวเอง ซ้ำยังตั้งตระหง่านไม่สั่นคลอนตั้งหลายปี ลูกหลานรุ่นหลังกลายเป็นผู้ถวายงานวังหลวง พลังภายในของสำนักถูกผู้คนชื่นชม ถ้าเป็นลูกศิษย์สายตรงหรือผู้อาวุโสเจ้าสำนักของนิกายสวรรค์จิ่วฉง น่าจะเลิศล้ำแค่ไหนกัน?

 

 

 

 

 

 

[1] ศาสตร์ฝูจี ศาสตร์พยากรณ์แขนงหนึ่ง คล้ายพิธีกรรมเข้าทรงที่มีอุปกรณ์ประกอบ กระทำพิธีโดยคนทรงขีดเขียนอักษรถ่ายทอดโองการเทพเจ้า