สำหรับผู้ชมชอบคิดการวางแผนในที่มืดและถนัดการอ่านใจผู้อื่น ย่อมมีลางสังหรณ์เช่นนี้ จึงเตรียมพร้อมที่จะชดเชยให้กับแผนการที่ตนได้วางเอาไว้ด้วยชีวิต
ฉู่ซิ่นดื่มยานั้นลงไปแล้วเริ่มรู้สึกเวียนศีรษะ
ยามนี้จิตใจเขาเคว้งคว้างนัก ในใจมีเพียงความรู้สึกไม่สงบและหวาดกลัวอยู่ลึกๆ พยายามที่ฝืนสติเอ่ยถาม
“เจ้าต้องการทำเรื่องอันใดกันแน่?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” ฉู่สวินหยางกล่าว เพียงแต่มองเขาแวบหนึ่ง
ท่าทางของนางทำให้คนอยากจะกัดลิ้นตัวเอง
ทำให้มองฉู่สวินหยางไม่ออก…
หลังจากผ่านความเป็นความตายมาครั้งหนึ่ง แม่นางผู้นี้ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตระหนกตกใจ ซ้ำยังรู้อีกว่าเขาเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการวางแผนทั้งหมดนี้…
ในแววตาของนางไม่มีแม้กระทั่งความเคียดแค้นใดใด
แต่การกระทำของนางที่เด็ดขาดและโหดร้ายทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาในใจ
เขาพยายามฝืนลืมตาเพื่อให้ตัวเองมีสติอีกสักครู่ ต่อให้ตนถูกจับได้แล้วก็ยังต้องพยายามที่จะถ่วงเวลาเพื่ออ่านใจเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้านี้ให้กระจ่าง
แต่ด้วยยาที่ฉู่สวินหยางนำมานั้นมีฤทธิ์รุนแรงนัก ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเขาก็หลับตาลงท่ามกลางความรู้สึกง่วงงุน
มองฉู่ซิ่นที่เอียงตัวล้มลงบนเตียงคราหนึ่ง ริมฝีปากของฉู่สวินหยางโค้งขึ้นอย่างเย็นชา จากนั้นจึงเดินออกไปด้านนอกอย่างไม่แสดงสีหน้าและไร้อารมณ์
เจี่ยงลิ่วรีบตามออกมา ถามว่า “จะจัดการกับรุ่ยชินอ๋องอย่างไรขอรับ?”
คนผู้นี้เป็นเสมือนเผือกร้อนในมือ
แม้ยามนี้ฉู่สวินหยางและพี่ชายแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างเกิดขึ้นจากคนผู้นี้ทำการชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งหมด แต่…
ถ้าหากเป็นไปอย่างที่ฉู่ซิ่นพูดไว้อย่างเมื่อสักครู่เล่า…
พวกเขาไม่มีหลักฐาน
รอให้ชัดเจนกระจ่างแจ้งในใจมากกว่านี้ แต่หากไม่มีหลักฐาน ต่อให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตจนถึงฮ่องเต้ ก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่ถูกลากลงไปร่วมเคราะห์กรรมครั้งนี้ได้
“เขา?” ย่างก้าวของฉู่สวินหยางหยุดชะงักลง แล้วหันกลับไปมองแสงไฟด้านหลังที่ส่องออกมาจากในเรือน พูดเรียบเรื่อยว่า “ส่งเขากลับเมืองหลวง”
“หา?” เจี่ยงลิ่วตะลึงงัน ตั้งตัวไม่ทันเล็กน้อย
“ตอนนี้เขาเป็นเพียงคนที่ไร้ประโยชน์คนหนึ่ง ให้เขาอยู่ที่นี่ แล้วยังต้องให้เปิ่นกงและพี่ชายมาปรนนิบัติเขาอีกหรือ?” ฉู่สวินหยางกล่าว น้ำเสียงเย็นเยียบ ทว่ากลับจับไม่ได้ถึงความรู้สึกใดใดในน้ำเสียงนั้น นางเพียงสั่งการราวกับเป็นหน้าที่การงานปกติ เปรียบเทียบกับในยามปกติที่มักจะหัวเราะ โมโห ดุด่า สีหน้าท่าทางต่างๆ ของฉู่สวินหยางในตอนนี้ราวกับเป็นคนละคน
คราแรกที่เห็นนางในลักษณะเช่นนี้ เกรงว่าแม้เจี่ยงลิ่วที่เข้าใจในตัวนางอย่างยิ่ง แม้จะรู้ว่านี่ไม่ใช่ท่าทีในยามปกติของนาง ก็ยังรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก แต่เมื่อเห็นนางตัดสินใจเด็ดขาด เหี้ยมโหด สั่งการอย่างสงบนิ่ง ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอีกแล้วหรือไม่คิดต่อต้านแต่อย่างใด
เจี่ยงลิ่วตะลึงงันอยู่บ้าง ฉู่สวินหยางกลับไม่ได้ใส่ใจ เปลี่ยนหัวข้อสนทนาและถาม “บ่าวรับใช้ในเรือนหลังนี้เล่า?”
“ล้วนถูกควบคุมตัวเอาไว้ทั้งหมดและกักขังตัวเอาไว้ที่เรือนด้านข้างขอรับ” เจี่ยงลิ่วตอบ
ฉู่สวินหยางเดินย้อนกลับมา เดินได้สองก้าวและชะงัก จากนั้นจึงสั่งการว่า “ไปจัดการทั้งหมดให้เรียบร้อยเถอะ”
“ขอรับ” เจี่ยงลิ่วพยักหน้ารับคำ
ฉู่สวินหยางครุ่นคิดอึดใจหนึ่งแล้วถามว่า “สวีเหลียงเล่า?”
“ถูกจับกุมเอาไว้แล้วเช่นกันขอรับ” เจี่ยงลิ่วร้องฮึเสียงเย็นด้วยแววตาถากถาง “โชคดีที่ท่านหญิงและคังจวิ้นอ๋องส่งข่าวทันที พวกเราจึงได้ป้องกันพวกเขาเอาไว้ได้ทันท่วงที หาไม่แล้ว…ที่พวกเราเสียเวลาไปมากมาย ก็คงไม่แคล้วถูกเจ้าคนลวงโลกผู้นั้นหลอกลวง”
ฉู่สวินหยางส่งเสียงพรืดหนึ่งออกมาไม่แสดงความเห็น ไม่ตอบอันใด ยกแขนเสื้อขึ้นมองดูพระจันทร์ที่อยู่ไกลแสนไกลอย่างไร้ขอบเขตนั่น
สวีเหลียงเป็นพ่อบ้านของจวนรุ่ยชินอ๋อง เป็นข้ารับใช้ข้างกายที่ติดตามฉู่ซิ่นมาเป็นเวลาหลายปี ย่อมต้องซื่อสัตย์และจงรักภักดีต่อฉู่ซิ่นอย่างยิ่ง เรื่องนี้ดูออกได้จากการที่ฉู่ซิ่นมากระทำการเรื่องสำคัญในแคว้นฉู่ก็ยังให้ติดตามมาด้วยราวกับเป็นเงาตามตัวที่ขาดไม่ได้
แต่เมื่อตอนกลางวันที่เห็นฉู่ซิ่นตกอยู่ในมือของนางและฉู่ฉีเฟิงนั้น สวีหยางกลับคิดจะหลบหนีเอาตัวรอดไปเพียงคนเดียวในเวลาที่คับขันที่สุด
จุดนี้ คิดอย่างไรก็ไม่ถูกต้องสำหรับข้ารับใช้ที่จงรักภักดีต่อนายเช่นเขา
ดังนั้นฉู่ฉีเฟิงจึงได้สั่งการให้ปล่อยคนโดยเจตนา ให้เขาหลบหนีแต่สุดท้ายก็ติดตามเขามาจนถึงที่นี่
“พูดขึ้นมาแล้วก็ลำบากพวกเขาที่ต้องวางแผนการมากมายถึงขั้นนี้” หลังจากที่นิ่งเงียบไม่พูดอันใดอยู่เนิ่นนาน จากนั้นฉู่สวินหยางจึงค่อยๆ รวบรวมความคิดจากเหตุการณ์ในตอนกลางวัน “คิดดูแล้วไม่ผิด เมื่อมีความคิดทะเยอทะยานเช่นนี้ วางแผนการไว้ครอบคลุมทุกอย่าง หากไม่ใช่ว่าทุกๆ จุดสำคัญนั้นมีการรองรับการเปลี่ยนแปลงเอาไว้แต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอุปสรรคขึ้นในจุดใดเพียงจุดเดียว ย่อมเพียงพอที่จะทำให้พวกเขาต้องเสียแรงเปล่าในทันที เขาจะหลบซ่อนอยู่นี่โดยที่ไม่มีความประหลาดใจแม้แต่น้อย”
‘รุ่ยชินอ๋อง’ ในแคว้นฉู่ท่านนั้น ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าต้องยาพิษ รวมไปถึงองครักษ์ที่เฝ้ารักษาเมืองและขุนนาง มักจะมีผู้คนมาสอบถามสถานการณ์ของเรือนอื่นเสมอ เพื่อให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น คนผู้นั้นจึงจำเป็นต้องนอนหลับ
ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการปิดบังอำพรางสายตาผู้คน ผู้ที่ทำการบงการอยู่เบื้องหลังจึงต้องอยู่อีกสถานที่หนึ่ง
เมื่อคิดว่าสองพี่น้องเกือบจะต้องตายอยู่ที่นี่ทั้งคู่ เจี่ยงลิ่วแทบจะสะอึกสะอื้นออกมา
แต่เขากลับจนปัญญาที่จะแสดงความรู้สึกของตนในยามนี้ออกมา จึงได้แต่ทำหน้าเคร่งขรึม
“คนที่อยู่ที่นี่จัดการให้เรียบร้อยทั้งหมด แล้วจึงไปนำตัวข้ารับใช้ในเรือนอื่นออกมา ถ่ายทอดคำสั่งของเปิ่นกง นำกำลังพลสามพันนายคุ้มกันรุ่ยชินอ๋องกลับเมืองหลวง” ฉู่สวินหยางไม่อยากจะสนใจเขาเช่นกัน นางเดินไปข้างหน้าไม่หยุดพร้อมกับสั่งการไปด้วย “และให้กราบทูลฝ่าบาทว่า ใต้เท้าเหยียนหลิงได้ทำการตรวจอาการให้เขาแล้ว พิษชนิดนี้ยังหายารักษาไม่ได้ แต่ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพนัก ร่างกายของท่านอ๋องยังแข็งแรงดียิ่ง เพียงแต่ต้องดูแลเอาใจใส่อย่างละเอียด เขาจะได้อยู่จนถึงแก่กรรมด้วยโรคชราเป็นแน่”
เจี่ยงลิ่วฟังแล้วรู้สึกงงงวยอยู่บ้าง
ฉู่สวินหยางกลับไม่เอ่ยอันใดอีก เพียงแต่มีรอยยิ้มเย้ยหยันอยู่บนริมฝีปาก
นางไม่ได้หาวิธีการจัดฉู่ซิ่นไม่ได้ และใช่ว่าจะวิธีการที่เหมาะสมมารายงานต่อฝ่าบาทหลังจากเขาตายลงไม่ได้ เพียงแต่…
ชีวิตของคนผู้นี้ไม่มีความหมายอีกแล้ว
ในทางกลับกัน เขายังมีชีวิตอยู่จะดียิ่งกว่า
และต้องเป็นการมีชีวิตอยู่เหมือนคนตายเช่นนี้…ต้องอยู่ต่อไปเช่นนี้
เพราะขอเพียงรุ่ยชินอ๋องไม่ตายหนึ่งวัน ตำแหน่งโหวนี้ก็จะต้องอยู่บนศีรษะของเขา
ต่อให้เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ย่อมต้องยินดีเมื่อเห็นเช่นนี้…
เพราะหากเป็นเช่นนี้ จวนรุ่ยชินอ๋องก็จะตกอยู่ในกำมือของเขา
ภาพลักษณ์ของรุ่ยชินอ๋องที่ปฏิบัติต่อฝ่าบาทนั้นคือความซื่อสัตย์จงรักภักดี แต่ตำแหน่งของเขาปรากฏอยู่ที่นั่น ความหวาดระแวงในใจของฮ่องเต้นั้นหนักหนาสาหัสยิ่ง ด้วยเหตุที่เมื่อครั้งนั้นเพื่อให้เขาได้ขึ้นครองราชย์ ฉู่ซิ่นได้เสียสละมากมายทำให้เขาต้องมอบตำแหน่งและเกียรติยศให้กับน้องชายผู้นี้ ทว่าในขณะเดียวกัน…
—————————