ภายในใจของเขาย่อมรู้สึกไม่เป็นสุขนัก
เวลานี้มีโอกาสงามๆ ยื่นมาอยู่ข้างหน้า…
เขาย่อมยื่นมืออีกข้างไปรับมาแน่นอน ถือว่าเป็นการผลักเรือตามน้ำ
จวนรุ่ยชินอ๋อง จวนอ๋องจวนแรกของซีเยว่ ตำแหน่งนี้ไม่มีสั่นคลอน ลาภยศเงินทองที่พระราชทานให้กับพวกเขานั้นล้วนไม่ขาด แต่ทว่า…
ฉู่ซิ่นหมดสติไม่ฟื้น อำนาจในมือของเขาต้องกลับมาอยู่ในมือของฝ่าบาท
แม้ฉู่อี้เจี่ยนจะเป็นซื่อจื่อ แต่ในตำแหน่งนั้น ห่างไกลจากรุ่ยชินอ๋องที่ได้มาอย่างชอบธรรมอย่างไกลโยชน์
ดังนั้น…
ต้องส่งฉู่ซิ่นในสภาพเช่นนี้กลับไป ก็เท่ากับเป็นการยึดอำนาจทั้งหมดจากจวนรุ่ยชินอ๋อง
พูดขึ้นมาแล้ว วิธีการนี้ของฉู่สวินหยางนั้นถือได้ว่าโหดร้ายทารุณอย่างที่สุด
และไม่เพียงเท่านี้…
นางยังต้องกระพือข่าวออกไปหวังให้ฉู่ซิ่นอยู่ต่อไปเช่นนี้อย่างยาวนาน เพื่อยึดครองตำแหน่งรุ่ยชินอ๋องนี้
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าฮ่องเต้ต้องพึ่งพาเหยียนหลิงจวินมากเพียงใด แค่เพียงการจัดการเรื่องนี้ก็ทำให้เขาสมปรารถนา ดังนั้นนางจึงยืมชื่อของเหยียนหลิงจวินมากระพือข่าวออกไป สิบส่วนต้องมีแปดเก้าส่วนที่ฮ่องเต้ต้องมีราชโองการออกมาเป็นแน่
เวลานั้น…
ต่อให้ฉู่อี้เจี่ยนรู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายนั้น กระทั่งจะลงมือเพื่อแย่งชิงอำนาจมาก็ยังทำไม่ได้
เพราะ…โทษของการสังหารบิดาเพื่อช่วงชิงอำนาจนั้น เขามิอาจแบกรับได้ไหว
จวนรุ่ยชินอ๋องที่ว่านั้น จากนี้ไปจะกลายเป็นเพียงเครื่องประดับสูงค่าเท่านั้น
ฉู่สวินหยางครุ่นคิด ทว่าบนสีหน้ากลับไม่ปรากฏความรู้สึก ได้แต่กำชับเจี่ยงลิ่วอีกครั้งว่า “เมื่อถึงเวลานั้นยังคงต้องให้เจ้านำคนคุ้มกันเขากลับเมืองหลวง ระหว่างทางจงระวังให้มาก”
“ท่านหญิง เกรงว่าระหว่างทางพวกเขา…” เจี่ยงลิ่วพูดเสียงต่ำ
“หากข่าวคราวทางเมืองหลวงรวดเร็วพอแล้วล่ะก็ พวกเขาน่าจะรู้ก่อนที่จะกลับถึงเมืองหลวง และทันทีที่ส่งฉู่ซิ่นถึงมือของฝ่าบาท เขาจะปลอดภัย กลัวแต่ว่าจะมีคนรอไม่ไหว ระหว่างทางอาจมีการเคลื่อนไหว” ฉู่สวินหยางกล่าว ออกจากประตูใหญ่แล้วยกมือขึ้นหน้าบันไดยืนอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้จากไปในทันที
สงบสติอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง นางจึงหันไปกล่าวกับเจี่ยงลิ่วว่า “แม้ว่ายามนี้จะเป็นเพียงการคาดเดาของข้า แต่มีบางเรื่องเราต้องเชื่อว่าอาจเกิดขึ้นได้ เจ้าก็ระวังสักหน่อย ไม่ผิดไปจากนี้แน่นอน”
“ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” เจี่ยงลิ่วรับคำอย่างเคร่งขรึม ช่วยนางจูงม้าเข้ามา
ฉู่สวินหยางพลิกกายขึ้นมา กำลังจะหวดแส้ม้าออกไป เจี่ยงลิ่วพลันนึกบางอย่างขึ้นได้ กลับเข้าขวางนางและเอ่ยขึ้นว่า “ท่านหญิง ยังมีคนที่อยู่ในเมือง ผู้นั้น…”
“หึ” ฉู่สวินหยางเชิดจมูกขึ้นพร้อมรอยยิ้มเย็นชา แววตาคมปลาบขึ้นชั่วขณะหนึ่ง เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “ให้ส่งกลับไปพร้อมกัน”
“พร้อมกัน?” เจี่ยงลิ่วตะลึง เมื่อตั้งตัวได้แล้วจึงหายใจดังเฮือก
“ทั้งหมดนั้นยกให้ฉู่อี้เจี่ยน ถึงเวลานั้นหากจะเก็บใครเอาไว้ก็ให้แล้วแต่เขาเถอะ” ฉู่สวินหยางกล่าว ดวงตาหรี่ลง ในแววตาปรากฏแววประหลาดพาดผ่านไปครู่หนึ่ง จากนั้นริมฝีปากโค้งขึ้น ค่อยๆ เอ่ยออกมาอย่างช้าๆ
“เปิ่นกง…ยังต้องแน่ใจอีกเรื่องหนึ่ง”
ประโยคข้างหลังนั้น น้ำเสียงของนางเบาอย่างยิ่ง ส่วนเจี่ยงลิ่วที่กำลังตกตะลึงจึงไม่ได้ยินสิ่งใด
เมื่อเห็นฉู่สวินหยางกำลังจะออกไป เจี่ยงลิ่วจึงรีบพลิกกายขึ้นม้าส่งนางกลับไป
ฉู่สวินหยางยื่นแขนเข้าขวางทางเขา กล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องส่งข้าแล้ว เรื่องนี้รอช้าไม่ได้ เจ้ารีบไปจัดการเสียให้เรียบร้อย แล้วเตรียมการออกเดินทางกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุด”
เจี่ยงลิ่วไตร่ตรองเพียงครู่ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ในแคว้นฉู่ทั้งด้านนอกและด้านในต่างอยู่ในกำมือแล้ว เช่นนั้นก็ไม่มีเรื่องอันใดที่ไม่วางใจ จึงรับคำ
ฉู่สวินหยางกลับไปถึงค่ายทหารนอกเมืองเป็นเวลายามอู่เกิง
ในฤดูร้อน เวลายามอู่เกิงนั้นท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว
เมื่อถามองครักษ์จึงได้รู้ว่าฉู่ฉีเฟิงยังไม่ได้เข้านอนเช่นกัน ฉู่สวินหยางลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายฝีเท้าเปลี่ยนทิศทางตรงไปยังกระโจมของฉู่ฉีเฟิง
เมื่อลอดประตูกระโจมเข้าไป เจี่ยงลิ่วอยู่ที่นั่นด้วย กำลังรายงานเรื่องราวที่อยู่ในมือเขาว่าจัดการไปถึงขั้นใดแล้ว
เห็นฉู่สวินหยางลอดประตูกระโจมเดินเข้าไปหาฉู่ฉีเฟิงโดยท่าทีปกติดังเดิม ไม่มีปฏิกิริยาอันใด พูดเพียงว่า “กลับมาแล้วหรือ?”
“อืม” ฉู่สวินหยางรับคำเสียงเบา ไม่ได้นั่งลง เพียงรับน้ำชาจากมือขององครักษ์แล้วจิบน้ำชาร้อนๆ เล็กน้อย
กลับเป็นเจี่ยงลิ่วที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะหนังสือของฉู่ฉีเฟิงที่ทนไม่ไหว ขมวดคิ้วขึ้นมองนางด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ…ฉู่สวินหยางนั้นออกจากสถานที่ที่ฉู่ซิ่นซ่อนตัวมาเมื่อเวลาไม่ถึงยามสองเกิง กลางคืนทั้งคืนไม่กลับมายังค่ายทหาร เช่นนั้นนางไปที่ใดมา…
ที่จริงไม่ใช่ความลับ
ว่าด้วยเกี่ยวกับเรื่องเหยียนหลิงจวินแล้วนั้น เจี่ยงลิ่วยังคงไม่แน่ใจในท่าทีของฉู่ฉีเฟิง
หากจะบอกว่าเขาไม่ชอบหน้าเหยียนหลิงจวินคงไม่ถูกนัก เพราะเรื่องระหว่างฉู่สวินหยางและเหยียนหลิงจวินนั้นกลับไม่เคยถามไถ่ แต่เปิดกว้างให้อย่างเกินไปอยู่สักหน่อย
การกระทำและท่าทีนั้นดูอย่างไรก็สวนทางกัน
แต่เจี่ยงลิ่วนั้นนับได้ว่าเป็นคนที่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา ตั้งแต่เมื่อครั้งนั้น เขาได้ท้วงขึ้นแล้วฉู่ฉีเฟิงได้กล่าวตักเตือน เขาจึงไม่พูดมากอีกต่อไป
“ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่?” เมื่อฟังการรายงานของเขาจบลง ฉู่ฉีเฟิงถาม “ถ้าหากว่าไม่มีเวลา รีบไปเตรียมตัวเดินทาง อีกสักประเดี๋ยวฟ้าสางแล้วให้ออกเดินทางเถิด”
“ขอรับ ข้าน้อยจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้” เจี่ยงลิ่วคำนับรับคำ
ฉู่ฉีเฟิงหยิบฎีกาที่อยู่เบื้องหน้าของตนยื่นให้กับเจี่ยงลิ่ว กล่าวว่า “เจ้าไปเตรียมการก่อนเถิด เมื่อเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วให้มาที่นี่อีกครั้ง เปิ่นหวางจะเขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่ง เจ้านำไปมอบให้แก่บิดาข้า”
“ขอรับ” เจี่ยงลิ่วรับคำ ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ฉู่สวินหยางเดินอยู่ในกระโจมพร้อมกับดื่มน้ำชาไปครึ่งถ้วยแล้ว
หลังจากเกิดเรื่องขึ้น ท่าทางของนางเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด สงบนิ่ง เคร่งขรึม ไม่ร้อนรน
ฉู่ฉีเฟิงมองนางครั้งหนึ่ง ทว่ากลับพยายามปิดบังแววตาวิตกกังวลของตนเองไว้ พูดขึ้นว่า “เจ้ารอข้าสักครู่”
พูดแล้วก็ยกพู่กันขึ้น ปลายพู่กันตวัดอย่างรวดเร็ว เขียนเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ให้แก่ฉู่อี้อันรับรู้
ฉู่สวินหยางถือถ้วยน้ำชาเดินเข้าไป
แม้ว่าท้องฟ้าจะค่อยๆ สว่างขึ้น แต่ทว่าภายในกระโจมไม่สามารถเปิดประตูกว้างเกินไปนัก แสงสว่างภายในกระโจมจึงดูแล้วยังคงมืดเล็กน้อย
ต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายและน้องสาวของพวกเขาจะใกล้ชิดกว่านี้ ฉู่ฉีเฟิงก็รู้สึกว่ายากนักที่จะเอ่ยปาก
เมื่อสงบจิตใจลงได้ เขาได้ทุ่มสติและความสนใจโดยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ก่อนหน้านี้ฉางซือหมิงถูกสังหาร แล้ว เจ้ายังมามีข่าวที่ไม่เป็นผลดีต่อหน้าธารกำนัล ยามนี้กองทัพหนานฮวาแม้จะถูกองค์รัชทายาทผู้นั้นกำราบเอาไว้ แต่ที่จริงแล้วยังไม่สงบอย่างที่เห็น หากเจ้าต้องการระบายความแค้นก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ยุ่งยากเช่นนั้น คิดๆ ดูแล้วศึกครั้งนี้ช้าเร็วก็ต้องรบ เวลานี้เราได้ทีขี่แพะไล่ ส่งหนังสือท้ารบไปให้พวกเขาก็สิ้นเรื่อง”
————————–