บทที่ 127 หลานจิ่วชิงมาจวนเฟิ่งยามวิกาล

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

เฟิ่งชิงเฉินได้แต่ตกตะลึง เดิมทีมือของนางที่กำลังทำการตรวจดูอาการที่ดวงตาของหวังจิ่นหลิงก็เลื่อนลงไปวางไว้ที่ใบหน้าของเขาโดยลืมที่จะดึงกลับ
หากมองดูจากระยะทางไกล คล้ายกับคู่รักที่กำลังสร้างความสัมพันธ์ต่อกัน ระหว่างหมอและผู้ป่วยของทั้งสองที่เรียบง่าย จึงกลายเป็นค่อนข้างคลุมเครือ
ด้วยระยะทางที่อยู่ค่อนข้างใกล้กัน เพียงแค่ลมหายใจ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงอีกฝ่ายหนึ่ง จนทำให้อุณหภูมิรอบตัวพวกเขาดูเหมือนจะสูงขึ้น
หวังจิ่นหลิงมองไปที่เฟิ่งชิงเฉินโดยไม่กะพริบตา
เฟิ่งชิงเฉินรีบดึงมือของตัวเองกลับมาแล้วหลบเลี่ยงสายตาของหวังจิ่นหลิง ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ว่า “จิ่นหลิงล้อเล่นหรืออย่างไรชิงเฉินจะไม่เป็นอนุภรรยาใคร”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เสน่ห์ของชายหนุ่มก็ไร้ซึ่งขอบเขต
ไม่จำเป็นจะต้องมีความชื่นชอบ เพียงแค่มีชายหนุ่มฐานะดี รูปร่างดี นิสัยดีมาขอแต่งงาน หากบอกว่าหัวใจไม่เต้นรัวคงจะเป็นเรื่องโกหก
“ชิงเฉิน ข้าจะแต่งเจ้าเป็นภรรยาหลวง ไม่ใช่อนุภรรยา” หวังจิ่นหลิงรู้ดีว่าเฟิ่งชิงเฉินคงจะปฏิเสธ แต่เขาก็ไม่เต็มใจสักเท่าไหร่
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาคิดจะแต่งภรรยา และเขายินดีที่จะจับมือกับเฟิ่งชิงเฉินไปจนแก่เฒ่า
“จิ่นหลิง เจ้าคือคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวัง” เฟิ่งชิงเฉินได้สติกลับคืนมาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาทั้งสองไม่อาจเข้ากันได้
เนื่องจากการแต่งงานในยุคสมัยนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความรัก
หากกล่าวในมุมมองของตระกูลแล้ว การแต่งงานนับว่าเป็นความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง การแต่งงานของคนสองคนเป็นการรวมกันของตระกูลที่ดี หากทั้งสองตระกูลที่ดีมาปรองดองกัน ในอนาคตบุตรหลานก็เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
“จิ่นหลิง เจ้าคือคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวัง” เฟิ่งชิงเฉินได้สติกลับคืนมาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
และในตำแหน่งว่าที่นายหญิงแห่งตระกูล ตระกูลหวังคงจะไม่ยอมให้สตรีเช่นนางซึ่งไม่มีรากฐานใดๆ มาครอบครองตำแหน่งนี้
“แต่ข้าคือหวังจิ่นหลิง” ประโยคนี้ที่จริงแม้แต่ตัวหวังจิ่นหลิงเองก็ไม่มั่นใจที่จะกล่าวมันนัก
หากเป็นก่อนหน้านี้ที่ดวงตาของเขายังไม่กลับมาหายเป็นปกติ บางทีเขาอาจจะบอกว่าต้องการแต่งงานกับเฟิ่งชิงเฉินได้ แต่ตอนนี้……
เป็นไปไม่ได้เลย
ที่แท้การที่เราได้บางอย่างมาก็จะต้องสูญเสียบางอย่างไป
และนี่คือการที่ต้องแลกมากับดวงตามองเห็นได้
ขนตาเรียวยาวสั่นสะท้านเบาๆ เพื่อปกปิดความชอกช้ำใจ
หวังจิ่นหลิงรู้ดี เพราะว่าตัวเขาและเฟิ่งชิงเฉินไม่อาจไปด้วยกันได้อย่างแน่นอน ต่อให้ตระกูลหวังยินดียอมรับ แต่จากนิสัยส่วนตัวของชิงเฉินแล้ว คาดว่าคงจะไม่ยอมแต่งเข้าไปในตระกูลหวังที่เข้มงวดเช่นนั้น
บรรยากาศค่อนข้างจะเคอะเขิน รอยยิ้มบนใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินไม่อาจฝืนทนได้ต่อไป นางจึงหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจากบนโต๊ะแล้วดื่มไปจนหมดภายในอึกเดียว ก่อนจะกล่าวว่า “จิ่นหลิง ดวงตาของเจ้าฟื้นตัวได้ดีทีเดียว สองสามวันนี้ก็คงยังต้องกำชับเช่นเดิม ใช้ดวงตาให้น้อยลงและพักผ่อนให้มาก พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางมาดูเจ้าอีก”
หลังจากกล่าวจบ นางก็วางถ้วยน้ำชาลงแล้วเดินออกไปทันที
ดูเหมือนเฟิ่งชิงเฉินจะแสดงออกมาซึ่งความกล้าหาญ แต่ที่จริงแล้วนางกำลังหลบหนี
หวังจิ่นหลิงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ และพยายามจัดการความเงียบเหงาเมื่อครู่ทิ้งไป
“จิ่นหลิง เจ้าไม่มีคุณธรรมเสียจริง!” เฟิ่งชิงเฉินหยุดยืนอยู่ที่ปากประตูแล้วหันไปจ้องเขา
คนคนนี้…… จริงๆ เชียว
การที่เขาเอ่ยปากขอนางแต่งงาน บางทีก็อาจไม่เกี่ยวข้องกับความรักแต่อย่างใด
นางคิดมากไปเอง ในยุคสมัยนี้จะมีสักกี่คนกันที่แต่งงานเพราะความรัก นางคิดมากไปจริงๆ
“ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าชิงเฉินจะมีช่วงเวลาที่เขินอายเช่นนี้” หวังจิ่นหลิงยิ้มขึ้นอย่างสดใส แตกต่างจากท่าทางอันอ่อนโยนและสง่างามตามปกติของเขา
“ก็เป็นเพราะเจ้านั่นแหละ!”
“ใช่ๆ เป็นเพราะข้า เป็นความผิดข้าเอง ถือเสียว่าข้าไม่เคยกล่าวมันมาก่อน ข้าไม่ต้องการให้เราเป็นไม่ได้แม้แต่เพื่อน” หวังจิ่นหลิงกล่าวด้วยความรู้สึกบางอย่างในใจออกมา
การที่เขาเอ่ยขอนางแต่งงานออกมาเช่นนี้ค่อนข้างจะหุนหันพลันแล่นไปหน่อย
และเขาไม่ได้รู้สึกหุนหันพลันแล่นเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้าอย่างจริงจัง “อืม เราเหมาะที่จะเป็นเพื่อนกันมากกว่า หรือบางทีควรจะกล่าวได้ว่าสตรีเช่นข้านั้นไม่ควรที่จะแต่งไปเป็นภรรยา”
“แต่งเจ้าเป็นภรรยาช่างกดดันมากเหลือเกิน” หวังจิ่นหลิงพยักหน้าเห็นด้วย และไม่ต้องการให้ทั้งสองฝ่ายต่างเคอะเขิน
“การที่แต่งงานกับเจ้าต่างหากจึงจะมีแรงกดดันสูงยิ่งนัก เจ้าดูตัวเจ้าสิรูปงามกว่าข้าเสียอีก ดูดีกว่าข้า สง่างามกว่าข้า นิสัยดีกว่าข้า ยิ่งไม่พูดถึงเรื่องที่มีชาติตระกูลดีกว่าข้า การที่ข้ายืนอยู่ตรงหน้าท่าน ทำให้ข้าละอายใจเหลือเกิน”
“ไม่ควรใช้คำว่างามมาเรียกชายหนุ่ม” ก่อนหน้าที่ดวงตาของหวังจิ่นหลิงจะกลับมาหายดี เขาไม่มีความคิดเกี่ยวกับความงามหรืออัปลักษณ์แต่อย่างใด
“แต่ข้ากล่าวความจริง เจ้าจะปฏิเสธไม่ได้ หนุ่มหยกแห่งตระกูลหวัง ผู้เป็นดั่งดอกไม้งาม พระจันทร์เด่น สง่าราศี รอเมื่อใดที่เจ้าก้าวเข้าไปในสังคม รับรองว่าเจ้าจะต้องโดดเด่นและดึงดูดสตรีมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อถึงเวลานั้นหวังว่าหนุ่มหยกแห่งตระกูลหวังอย่าได้หลงใหลจนเกินไปเล่า” เฟิ่งชิงเฉินหัวเราะขึ้นอย่างติดตลก
หนุ่มหยกเป็นชื่อการยกย่องสำหรับชายหนุ่มที่มีลักษณะโดดเด่น ทั้งเรื่องของหน้าตาและความสามารถพิเศษอันเก่งกาจ จึงจะเรียกว่าหนุ่มหยกได้
ซึ่งหวังจิ่นหลิงก็เหมาะสมที่จะได้รับคำยกย่องนั้น
“ทุกครั้งที่สนทนากับเจ้าช่างสนุกเหลือเกิน เราสองเหมาะจะเป็นเพื่อนกันมากกว่าจริงๆ แต่ว่าในวันนี้ข้าคงไม่รั้งเจ้าเอาไว้นาน ดูสีหน้าเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก รีบกลับไปพักผ่อนเถิด อย่าได้รักษาข้าจนหายแล้วกลายเป็นตัวเจ้าที่ป่วย ไม่เช่นนั้นคงจะทำลายชื่อเสียงหมอเฟิ่งอันโด่งดังของเจ้า” คำพูดอันห่วงใยของหวังจิ่นหลิงดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความหมายอื่น ที่ค่อนข้างคลุมเครือ
ก่อนหน้านี้พวกเขาสนทนากันเรื่องการแต่งงาน ต่อจากนั้นก็หัวเราะสนุกสนานยิ้มแย้มต่อกัน ทั้งสองคนมีสติและมีเหตุผลยิ่งนัก การที่หวังจิ่นหลิงเอ่ยขอนางแต่งงานไม่ใช่เพียงการกระทำอันหุนหันพลันแล่น
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้า จากนั้นหันหลังกลับไปโดยไม่ลังเล
แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจะเป็นคนดียิ่งนัก แต่ไม่ใช่ผู้ที่เหมาะสมกับนาง
เมื่อกลับมาภายในห้อง พบว่ามีน้ำตาลแดงร้อนวางอยู่บนโต๊ะ พร้อมกับพุทราลูกใหญ่
เฟิ่งชิงเฉินดื่มน้ำตาลร้อนนั้นจนหมด ก่อนจะกินพุทราลูกใหญ่ไปถึงสามลูก จากนั้นนางก็อาบน้ำชำระกายและนอนหลับ
นางเหนื่อยมาก
ทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นในพระราชวัง อีกทั้งจู่ๆ หวังจิ่นหลิงก็ขอนางแต่งงาน
บุญคุณในการช่วยเหลือด้วยชีวิต ไม่อาจตอบแทนได้จึงทำได้เพียงมอบให้ทั้งกายใจ
ประโยคนี้คาดไม่ถึงว่ามีอยู่วันหนึ่งจะเกิดขึ้นกับตัวนางเอง
เฟิ่งชิงเฉินยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น แม้จะมีเรื่องกังวลมากมายในใจแต่นางก็บีบบังคับให้ตัวเองนอนหลับไปในที่สุด
พรึ่บ…… มีเสียงแผ่วเบาดังขึ้นที่ด้านนอก
แม้เฟิ่งชิงเฉินจะตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา แต่เวลานอนหลับนางก็ไม่ต่างกับผู้หญิงธรรมดาทั่วไป เมื่อเปรียบเทียบกับผู้มีความสามารถระดับสูงในยุทธจักรเหล่านั้นแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับดิน
เสียงนี้สำหรับเฟิ่งชิงเฉินแล้วเหมือนกับมันไม่เคยเกิดขึ้น
หลานจิ่วชิงบุกเข้าไปในจวนเฟิ่งโดยไม่ทำให้ผู้คนในจวนเฟิ่งแตกตื่นแม้แต่น้อย เขาเปิดม่านขึ้นแล้วแทรกตัวเข้าไปด้านใน
แสงจันทร์นวลผ่องส่องเข้ามาทางหน้าต่าง หลานจิ่วชิงใช้ความสว่างจากแสงจันทร์นั้นมองไปยังเฟิ่งชิงเฉินที่นอนอยู่บนเตียง
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงของดวงจันทร์ยามค่ำคืนที่งดงามเหลือเกิน หรือเป็นเพราะเมื่อตอนเฟิ่งชิงเฉินนอนหลับ นางไม่ได้มีทีท่าตื่นตระหนกป้องกันตนแต่อย่างใด หลานจิ่วชิงรู้สึกว่าตอนที่เฟิ่งชิงเฉินนอนหลับราวกับแมวเชื่อง นางไม่ได้ป้องกันตนเองอย่างระมัดระวังตลอดเวลาเหมือนเมื่อตอนกลางวันที่ยืนขึ้นปกป้องตนเอง มันแตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง
หลานจิ่วชิงก้าวขาไปด้านหน้า แล้วนั่งลงข้างเตียงของเฟิ่งชิงเฉิน
เขามองไปที่ใบหน้าของเฟิ่งชิงเฉินอยู่ชั่วครู่ หลานจิ่วชิงได้แต่ยิ้มอยู่ในใจอย่างขมขื่น นี่เขามาเพื่อสิ่งใด?
มาเพื่อดูนาง?
ดูแล้วอย่างไรเล่า?
หากเฟิ่งชิงเฉินต้องการจะมีชีวิตที่ดี นางก็จำเป็นจะต้องมีความสามารถในการป้องกันตนเอง
เขาส่ายหน้าก่อนจะตั้งใจจากไป แต่หางตากลับเหลือบไปพบว่าตอนที่เฟิ่งชิงเฉินนอนหลับอยู่ยังคงใช้มือขวากุมข้อมือซ้ายเอาไว้แน่น
เนื่องจากเป็นห่วงนาง หลานจิ่วชิงจึงได้ดึงมือขวาของนางออกแล้วยกมือซ้ายขึ้นมามองดู
เกิดอะไรขึ้น? เขาใช้ปลายนิ้วถูเบาๆ ไปที่บาดแผลฟกช้ำ แล้วกำลังนึกว่าเฟิ่งชิงเฉินได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่
……
เฟิ่งชิงเฉินไม่ใช่คนตาย นางถูกคนอื่นจับข้อมือเอาไว้หากนางยังคงนอนนิ่งไม่มีปฏิกิริยาใด นางก็คงจะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมนี้โดยเปล่าประโยชน์ช่วงที่ผ่านมา
แม้ว่านางจะไม่ได้ตื่นตัวเช่นผู้มีความสามารถระดับสูงดั่งหลานจิ่วชิง แต่บัดนี้นางเองก็ตื่นขึ้นเช่นกัน
เพียงแต่นางไม่กล้าจะขยับตัว ทำได้เพียงแกล้งหลับต่อไป
การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของลมหายใจ และท่าทางกล้ามเนื้อที่ตึงแน่นชั่วขณะก่อนจะผ่อนคลายลงไม่อาจหลบสายตาของหลานจิ่วชิงไปได้
รอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของหลานจิ่วชิง ก่อนจะจับมือเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้อย่างตรงไปตรงมา “ในเมื่อเจ้าตื่นแล้ว จะเสแสร้งแกล้งหลับทำไม ข้าไม่กินเจ้าสักหน่อย!”