บทที่ 422 ตามหาหลี่เม่ย

บทที่ 422 ตามหาหลี่เม่ย

ตอนเย็นในวันเดียวกัน อวี้ฮ่าวหรานก็เล่าแผนการทุกอย่างให้หลี่หรงฟัง

“พี่เขย…ทำไมไม่ให้ฉันไปด้วยล่ะ ฉันก็คิดถึงพี่สาวเหมือนกันนะ”

ขณะรับประทานอาหารเย็น หลังจากฟังเรื่องราวต่าง ๆ แล้ว เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ

“ยังไม่ได้ ครั้งนี้พี่ต้องลุยเดี่ยวก่อน”

อวี้ฮ่าวหรานมองอีกฝ่าย ก่อนปฏิเสธน้องสาวภรรยาอย่างอ่อนโยน ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากพาอีกฝ่ายไปด้วย แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ไปเที่ยวจริง ๆ

ระหว่างทางเขาต้องแวะสถานที่ลึกลับต่าง ๆ ดังนั้นการสืบหาเบาะแสครั้งนี้จึงค่อนข้างอันตรายและไม่เหมาะกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป

หลี่หรงกัดริมฝีปากเบา ๆ ก่อนพูดเสียงแผ่ว

“ฉัน…ฉันกลัวว่าพี่จะไม่กลับมา…เหมือนสามปีที่แล้ว”

ตั้งแต่เขากลับมา เธอก็ไม่อยากห่างกับพี่เขยอีกเลย

คราวนี้พี่เขยของเธอต้องออกเดินทางหลายวัน เธอจึงอดเป็นห่วงไม่ได้

“ฮ่า ๆ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พี่ไปสำรวจย่านนั้นมาแล้ว คงใช้เวลาไม่กี่วันหรอก”

อวี้ฮ่าวหรานหัวเราะเบา ๆ เพราะเขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายคิดมากเกินไป

กว่าสามหมื่นปีผ่านไป ชายหนุ่มได้ฝึกฝนตัวเองอย่างหนักหน่วงจนบรรลุขอบเขตก่อนรากฐานขั้นสูงสุด ต่อให้เจ็บหนักหรือสูญเสียพลังเทวะ เขาก็จะตกเข้าไปอยู่ในโลกอื่นอีกครั้ง

เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็แค่ทำลายมันแล้วหนีออกมาซะ!

“พ่อจ๋า ครั้งนี้พ่อต้องกลับมานะ โอเคไหม?”

ถวนถวนกระตุกชายเสื้อพ่อเบา ๆ ขณะที่ดวงตากลมโตจ้องมองเขาด้วยความคาดหวัง

“โอเค! อีกสองสามวันพ่อก็กลับมาแล้ว! หลังจากนั้นพ่อจะพาลูกไปกินอาหารอร่อย ๆ ให้พุงกางเลย”

อวี้ฮ่าวหรานก้มตัวลงไปอุ้มถวนถวนขึ้นมาแล้วคิดทบทวนอีกครั้ง

การตามหาหลี่เม่ยเป็นเรื่องสำคัญ แต่ถวนถวนก็เป็นดวงใจของเขาเช่นกัน ดังนั้นเขาจะยอมแพ้หรือเพิกเฉยต่อทั้งสองคนไม่ได้

“ฮี่ฮี่ ถวนถวนรักพ่อที่สุดในโลก!”

ลูกสาวตัวน้อยหัวเราะทันทีที่ได้ยินคำว่าอาหารอร่อย ๆ ภาพตรงหน้าทำให้หลี่หรงอิจฉาเล็กน้อย

ถ้าพวกเขาไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลอย่างถวนถวนก็ดีน่ะสิ

ค่ำคืนนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น อวี้ฮ่าวหรานเดินทางไปที่บริษัทเพื่อสั่งการบางอย่างกับหวังจุน จากนั้นจึงเลือกขับรถออฟโรดของบริษัทแล้วเริ่มออกเดินทาง

ตลอดทางไปทิศเหนือ สิ่งแวดล้อมรอบตัวค่อย ๆ เปลี่ยนไปกลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นตา

หลังจากกลับมา เขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กกับครอบครัวเป็นส่วนใหญ่

“อวิ๋นเหยียนอัน…ไปที่นี่ก่อนแล้วกัน”

อวี้ฮ่าวหรานมองสถานที่ที่ถูกทำเครื่องหมายในแผนที่ขณะพึมพำ

สถานที่บนแผนที่เป็นสำนักชีที่มีชื่อเสียงในภาคเหนือ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสถานที่ชมวิวที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง

เขาเหยียบคันเร่งอย่างไม่รอช้า ในที่สุดอวี้ฮ่าวหรานก็มาถึงสถานที่แรก

แต่น่าเสียดายหลังจากที่ตรวจสอบด้วยเนตรเทวะแล้ว อวิ๋นเหยียนอันเป็นแค่สำนักชีธรรมดาเท่านั้น

ภายในคืนเดียวกัน เขาก็มุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งที่สอง!

สำนักเมฆาเขียว

“ผู้อาวุโส! ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าความแค้นจบลงแล้วและจะไม่มีการแก้แค้นอีกต่อไปไม่ใช่เหรอ?”

ภายในห้องโถง เจ้าสำนักเมฆาเขียวพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุด ท่านเลือกที่จะแหกกฎของสำนัก หรือว่าท่านลืมกฎของสำนักเราแล้ว?”

เขาพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะขัดคำสั่ง!

“ท่านเจ้าสำนัก! ผม…อู๋เหนียนไม่ได้ตั้งใจจะแหกกฎสำนัก แต่อู๋ลั่นคือเครือญาติของผม ถ้าผมไม่แก้แค้น! คนอื่นจะไม่หัวเราะเยาะเหรอ?”

ตอนนี้อู๋เหนียนยืนอยู่กลางห้องโถงด้วยท่าทางไม่สำนึกผิดแม้แต่น้อย

อีกด้านหนึ่งของห้องโถง ฉินชางมองผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ข้างหน้าด้วยสายตาเย็นชา

“ถ้าอย่างนั้นทำไมท่านถึงไม่บอกผมก่อนจะเดินทางไปแก้แค้นล่ะ? ท่านต้องรอให้ผมรู้ด้วยตัวเองก่อนเหรอ?”

หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งที่แล้ว เขาจึงรู้ข่าวว่าอีกฝ่ายนำลูกศิษย์ของสำนักเดินทางไปแก้แค้น

เจ้าสำนักฉินไม่ได้ห้ามอีกฝ่ายแก้แค้น แต่ไม่คิดว่าผู้อาวุโสสูงสุดอู๋จะไม่บอกกล่าวใด ๆ หลังจากกลับมาแล้ว

แถมยังไม่สำนึกผิดสักนิด

ดังนั้นเรื่องในวันนี้จึงเกิดขึ้น!

ดูเหมือนว่าหลังจากที่ผู้อาวุโสสูงสุดได้ยินคำถามของอีกฝ่าย เขาก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนแสดงท่าทางลังเลเล็กน้อย

ไม่นานอู๋เหนียนเห็นว่าเจ้าสำนักไม่มีท่าทีผ่อนปรน เขาจึงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้

“เฮ้อ…พูดยากนะ ถ้าการแก้แค้นครั้งนั้น ผมสามารถเอาชนะอีกฝ่ายและฆ่ามันได้ ผมจะขอให้เจ้าสำนักลงโทษตัวผมเอง”

พูดจบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเศร้าโศก

“น่าเสียดายที่ผมแพ้…แพ้แบบราบคาบ”

พอผู้อาวุโสสูงสุดรายงานผลการแก้แค้น ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างนิ่งอึ้งไปทันที!

“ผู้อาวุโส! บอกว่า…แพ้เหรอ?

“เป็นไปได้ยังไง! ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสเทียบเท่ากับปรมาจารย์ของสำนักเราเลยนะ เขาบรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงและเก่งเรื่องค่ายกล แล้วจะแพ้ผู้ชายคนนั้นได้ยังไง?”

“แล้ว…ใครคือผู้ชายคนนั้น?”

“…”

ทันทีที่อู๋เหนียนพูดออกไป ผู้ที่อยู่ในห้องโถงทุกคนต่างส่งเสียงวิจารณ์ด้วยความประหลาดใจ

ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสหลินที่เป็นตัวกลางในการเจรจาก็ตกตะลึงอย่างหนักเช่นกัน!

ถึงตัวเองจะชอบดูถูกอีกฝ่าย แต่อู๋เหนียนก็ถือเป็นผู้ที่มีฝีมือเก่งกาจระดับต้นของสำนักเชียวนะ!

“นายแพ้ได้ยังไง? เป็นไปไม่ได้!”

เจ้าสำนักฉินที่อยู่ข้างหน้าอู๋เหนียนก็อดตกใจไม่ได้เช่นกัน!

อู๋เหนียนคือผู้อาวุโสสูงสุดของสำนัก มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับสองรองจากตัวเขา แต่ตอนนี้กลับพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายเหรอ?

ฟังดูน่าหวาดหวั่นเกินไปแล้ว!

“เกิดอะไรขึ้น?”

เขาโพล่งขึ้นอย่างประหลาดใจ อู๋เหนียนถอนหายใจ ท่าทางเย่อหยิ่งก่อนหน้านี้เลือนหายไปแล้ว

“เฮ้อ… วันนั้นผมไปที่นั่นและสืบเรื่องของอีกฝ่ายผ่านตระกูลอู๋ ผมเลยพาลูกศิษย์ตั้งค่ายกลเพื่อซุ่มโจมตีอีกฝ่าย แต่ใครจะไปรู้…”

เขาเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างช้า ๆ

“…สุดท้ายแล้วก็เป็นชายหนุ่มคนนั้นที่ไว้ชีวิตผม”

หลังจากเล่าไม่กี่คำ ทุกคนก็ปิดปากเงียบจนสามารถได้ยินเสียงเข็มตกพื้น!

“ท่าน…ท่านกำลังจะบอกว่าแม้แต่คนเก่งอย่างท่านก็โดนศัตรูบดขยี้เหรอ?”

เจ้าสำนักฉินไม่เชื่อคำบอกเล่าของอีกฝ่าย

น่าตื่นตาตื่นใจอย่างมากที่ชายหนุ่มคนนั้นมีพลังมากมายขนาดนี้!

“ครับ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมไม่รายงานท่านเจ้าสำนักหลังจากกลับมาที่นี่”

ใบหน้าของอู๋เหนียนฉายแววสิ้นหวัง วันนี้ชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมาได้พังทลายลงแล้ว

เขานำพวกลูกศิษย์ไปซุ่มโจมตีศัตรู แต่กลับถูกอีกฝ่ายโต้กลับจนต้องหนีหางจุกตูด

และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออีกฝ่ายยังเป็นแค่ชายหนุ่ม! เจ้าสำนักฉินตกตะลึงชั่วครู่ ก่อนพยายามยอมรับสิ่งที่ได้ยิน

“พวกเราห้ามไปยุ่งกับไอ้เด็กคนนั้นเด็ดขาด!”

จู่ ๆ ผู้อาวุโสหลินก็โพล่งขึ้นอีกครั้ง

เพียงแต่ว่าคำแนะนำตอนนี้ต่างกับครั้งที่แล้วลิบลับ แถมยังไม่มีใครกล้าค้านความเห็นเขาซะด้วย

“ใช่! ไอ้เด็กคนนั้นไม่ปล่อยพวกเราไว้แน่!”

เจ้าสำนักฉินตอบเห็นด้วยอย่างรวดเร็ว

ถ้าเขาสามารถเอาชนะผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักได้อย่างง่ายดาย คนผู้นั้นคงบรรลุขอบเขตก่อรากฐานขั้นสูงสุดแล้ว!”

เหล่าลูกศิษย์รวมไปถึงผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ของสำนักเมฆาเขียวต่างอึ้งงันไปทันทีที่ได้ยินข่าว แต่พวกเขาไม่สังหรณ์ใจสักนิดว่าอวี้ฮ่าวหรานกำลังมุ่งหน้ามาที่สำนักเมฆาเขียวแล้ว!

“ปกติแล้วมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นบนภูเขาลูกนี้บ่อยไหมครับ?”

อวี้ฮ่าวหรานจอดรถไว้ริมถนน ก่อนสอบถามชาวบ้านละแวกนั้น

“อืม เกิดขึ้นประจำครับ เมื่อก่อนจะมีคนหายตัวไปบนภูเขาลูกนี้บ่อย ๆ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเรื่องพวกนั้นจะซาลงแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าขึ้นไปบนนั้นครับ”

ชาวบ้านไม่กลัวคนแปลกหน้าและตอบคำถามของอีกฝ่ายอย่างกระตือรือร้น