หยวนเจ๋อที่ไร้สุ้มเสียงเหมือนรูปปั้นโพธิสัตว์อยู่ข้างๆ พลันเงยหน้ามองเหมยซูแล้วหลุบตาลงช้าๆ ท่ามกลางความตึงเครียดของการเผชิญหน้า จึงไม่มีใครทันสังเกตว่าตาดำในดวงตาสีเทาเงินของเขาดูเหมือนจะโตกว่าปกติ
ชิวเยี่ยไป๋ฟังคำพูดแสนอ่อนหวานของเหมยซูแล้วก็เย็นเยือกในหัวอก
ไม่มีลมใบไม้ไม่ไหว วาจาของเหมยซูไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ฟังแล้วเหมือนคำสารภาพรักของบุรุษคนหนึ่ง และไม่สัมพันธ์ใดๆ กับประโยคแรกที่ว่า ‘ฆ่าคนปิดปากทำลายหลักฐาน’ มีแต่นางที่รู้อยู่เต็มอกว่านี่เป็นการข่มขู่…ข่มขู่อย่างแท้จริง
เหมยซูมิใช่ไป๋หลี่ชูที่ไม่ประสากับเรื่องของผู้คน ต่อหน้าเขาถ้านางรักษาภาพของบุรุษไว้โดยตลอด อาจไม่ทำให้เขาพบพิรุธใดๆ แต่เสียดายที่ดันให้เขาเห็นนางตอนเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย!
เหมยซูเป็นคนเจนโลก เกรงว่าตอนนั้นก็นึกสงสัยแล้ว
บัดนี้เอามาขู่นางหรือ
ทว่า น่าเสียดาย…
แต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยทุกข์ร้อนกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น อย่าว่าแต่เหมยซูก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ยืนยันว่านางเป็นสตรี!
ชิวเยี่ยไป๋ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจคราหนึ่ง “จริงหรือ น่าเสียดายจริง ข้าเป็นคนช่างเลือกนะ เป็นดั่งที่เจ้าพูด สตรีเป็นวิญญาณแห่งน้ำ ดังนั้นจึงยังไม่ต้องพูดถึงว่าข้าไม่ชอบบุรุษ ต่อให้วันหน้าข้าเวียนหัวแล้วได้เสียกับบุรุษ แต่ด้วยสารรูปของเจ้าก็ไม่อยู่ในสายตาของข้า ถ้าข้าอยากจะหาก็น่าจะเป็น…”
นางหยุดลง ดูเหมือนนึกขึ้นได้ มองซ้ายมองขวาแล้วคว้าตัวหลวงจีนโง่งมที่กำลังก้มหน้าไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ลากคอเขาหนีบไว้ที่ซอกรักแร้ แล้วยื่นมือเปิดผมที่ปรกหน้าเขาออก บังคับให้เงยหน้าขึ้น
เดิมทีใบหน้าของหยวนเจ๋อโผล่ออกมาเพียงครึ่งเดียว โฉมหน้าก็ดึงดูดสายตาคนแล้ว ยามนี้เลิกผมออก พริบตานั้นก็ปรากฏใบหน้าแสนหล่อเหลาผุดผาดจนแสบตาภายใต้แสงไฟ แทบทำเอาผู้คนลืมหายใจ
แม้แต่เหมยซูก็ยังตะลึง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่น
หยวนเจ๋อรู้สึกเย็นที่หน้าผาก พบว่าไม่มีผมปรกหน้าแล้ว แถมถูกคนอื่นหนีบไว้ใต้รักแร้ด้วยท่าทางประหลาด บังคับให้เผยใบหน้าเต็มใบ รับสายตาตกตะลึงที่มาจากทุกสารทิศ ในใจพลันรู้สึกเหมือนถูกจับเปลื้องผ้านำออกแสดง จึงคิดจะดิ้นรนตามสัญชาตญาณ
แต่ชิวเยี่ยไป๋จะยอมให้เขาหลบเลี่ยงได้อย่างไร จึงเดินพลังสามส่วนหนีบเขาไว้อย่างรำคาญ มองดูเหมยซูที่ยากนักจะได้เห็นอาการตะลึงลาน ก็รู้สึกว่าได้ระบายความอัดอั้นในใจออกไปบ้าง จึงกล่าวอย่างทระนงว่า “ถ้าข้าจะหาคนมาสยบอยู่ใต้ร่างข้าจริง ย่อมต้องเป็นอาเจ๋อที่ทั้งหล่อเหลานุ่มนวลและว่านอนสอนง่าย จะไปหาคนจิตใจเหมือนแมงป่องอสรพิษเช่นเจ้าได้อย่างไร เจ้าว่าจริงไหม!”
โจวอวี่กับเหล่าเจอกูพากันลอบปาดเหงื่อ แอบพึมพำในใจ หลวงจีนคนนี้…ช่างงามจริง แต่นอกจากอ่อนโยนชนิดตบคนฝังลงบนเสาทั้งเป็น นอกจากกินแล้วก็นอน และปากก็พูดจาแทบจะเฉือนคนตายทั้งเป็นแล้ว หยวนเจ๋อก็นับได้ว่า ‘ว่านอนสอนง่าย’ และ ‘นุ่มนวล’ จริง
หยวนเจ๋อถูกชิวเยี่ยไป๋หนีบไว้ รู้สึกกลิ่นตัวนางอบอวลเต็มจมูก ปากก็เริ่มหลั่งน้ำลาย จึงได้แต่ภาวนาอามิตาภพุทธในใจตลอดเวลา!
แต่การดิ้นรนของเขาอ่อนแรงลงทุกที จนในที่สุดแววตาก็มัวลง
สายตาเหมยซูจ้องมองที่ร่างหยวนเจ๋อ ดวงตางดงามฉายแววสงสัยแวบหนึ่ง แล้วเลิกคิ้วกล่าวว่า “อาจารย์น้อยท่านนี้ ดูเหมือนคุ้นหน้านะ”
โจวอวี่ถากถางอย่างอดไม่ไหว “เหมยซู เจ้านี่พอเห็นคนหน้าตาดีก็รู้สึกคุ้นหน้าไปหมดหรือ ที่แท้คุณชายใหญ่ตระกูลเหมยหน้าด้านถึงเพียงนี้ นับว่าเปิดหูเปิดตาจริง!”
เหมยซูกวาดตาใส่เขาอย่างเย็นชา ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เช่นนั้นหรือ เหมยซูยังคิดว่าคนที่เห็นใครหน้าตาดีก็กระลิ้มกระเหลี่ยจะเป็นคุณชายน้อยตระกูลโจวของราชธานีเสียอีก”
โจวอวี่สะอึกแล้วใบหน้าขาวผ่องก็แดงฉาน ดวงตาฉายแววอำมหิตแต่พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เพราะเหมยซูพูดไม่ผิด คนในวงการผู้ลากมากดีของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ใครบ้างที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้ ฟัดได้ทั้งบุรุษและสตรี ยังมีข่าวว่าหากเกิดอารมณ์ขึ้นมาก็ยอมทอดกายให้บุรุษเชยชมด้วยซ้ำ
ชิวเยี่ยไป๋เป็นคนเข้าข้างพรรคพวกอยู่แล้ว คนของตนเองมีแต่นางที่รังแกได้ พอเห็นโจวอวี่โดนรังแก นางก็ปล่อยตัวหยวนเจ๋อที่ถูกหนีบจนเกือบลงไปกองกับพื้นแล้ว และมองดูเหมยซูอย่างเย็นชา “เหมยซู อย่าเหลวไหล ถ้าเจ้าไม่เปิดทางก็อย่าโทษว่าข้าลงมือไร้ไมตรี!”
ถ้าเหมยซูฉลาดพอก็ไม่บังควรมาสนุกปาก ถ้านางเป็นเหมยซูจะยืนอยู่ข้างกายทหารทางการ ไล่ให้พลธนูปิดปากถ้ำและไม่เข้ามาในถ้ำตอนนี้ บัดนี้ตัวเขามาอยู่ข้างหน้า พวกทหารทางการจะขว้างมุสิกก็เกรงภาชนะเสียหาย ย่อมไม่กล้ายิงธนูเป็นธรรมดา เพราะเกรงว่าจะไปโดนเจ้านายข้า จึงได้แต่คิดจะล้อมจับในระยะประชิด
อาศัยพลังฝีมือและกำลังภายในของนางในขณะนี้ พาพวกโจวอวี่ฝ่าออกไปอาจเปลืองแรงอยู่บ้าง แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
“เหมยซูรู้ว่าเย่ไป๋ ท่านพลังฝีมือล้ำลึก ต่อให้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของยุทธจักรก็ยังไม่อยู่ในสายตาท่าน” เหมยซูยิ้มพลางพยักหน้าแล้วพูดต่อ “ดังนั้นจึงได้จัดแจงการละเล่นเล็กๆ ให้กับท่าน
พูดจบก็ปรบมือ ครู่เดียวบุรุษร่างสูงใหญ่หัวโล้นที่อยู่ข้างกายเขาก็พลันก้มตัวลง ยกเข่งใบใหญ่ขึ้น จากนั้นรองพ่อบ้านก็เปิดผ้าน้ำมันที่คลุมปากเข่งออก เผยให้เห็นลูกกลมสีดำขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งและมีเชือกร้อยไว้ด้วย จากนั้นเขาก็หยิบออกมาอย่างรวดเร็ว จุดไฟกับคบเพลิงในมือแล้วโยนใส่น้ำเบื้องหน้าชิวเยี่ยไป๋
ดวงตานางฉายแววเย็นเยียบวูบหนึ่ง พริบตาที่เห็นวัตถุนั้นก็คว้าคอเสื้อของโจวอวี่กับหยวนเจ๋อกระโจนถอยหลังทันที
บึ้ม! เสียงดังทึบๆ น้ำระเบิดเป็นฟูฝอย ยังมีเศษหินอีกไม่น้อย
“ระเบิดอสุนีบาต!” โจวอวี่ร้องลั่นแล้วรอจนฝุ่นควันจางลง เบิ่งตามองดูของเข่งนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา
ถึงกับเป็นระเบิดดินปืน
ชิวเยี่ยไป๋ย่อมรู้ดีว่านี่คืออะไร สีหน้าของนางเครียดลงทันที
เหมยซูผงกศีรษะหัวร่อกล่าวว่า “ไม่ผิด คุณชายน้อยตระกูลโจวฉลาดจริง เรือทุกลำข้างนอกมีของเช่นนี้เข่งหนึ่ง ทหารทุกคนมีในมือถุงหนึ่ง ถ้าเห็นใครที่ออกไปมิใช่ข้า พวกเขาจะจุดชนวนของบนเรือทั้งหมด แล้วโยนเข้ามาในถ้ำนี้ ระเบิดให้พินาศไปเลย”
เขาเชิดปากยิ้มน้อยๆ อย่างงดงาม แม้ริมฝีปากจะมีสีจาง แต่จุดแดงของแป้งผลอิง[1]ที่แต้มลงบนริมฝีปากนั้นงดงามราวกลีบบุปผา ทว่ารอยยิ้มที่ไร้ความอบอุ่นใดๆ นั้น เย็นเยียบจับหัวใจ
“ของของตระกูลเหมยต้องเป็นตระกูลเหมย นอกเสียจากข้าเป็นคนให้ ไม่เช่นนั้นใครก็เอาไปไม่ได้”
อุณหภูมิในถ้ำพลันลดลงจนแทบหายใจไม่ออก
โจวอวี่จ้องระเบิดอสุนีบาตเขม็ง สีหน้าดูไม่ได้ ส่วนเหล่าเจอกูตัวสั่นพั่บๆ อย่างอดมิได้
——
[1] หมายถึง เชอรี่