บทที่ 438
ที่เชิงเขาหูหลู คนของเผ่าเพลิงฟ้าและเผ่าปีศาจนำคนที่พ่ายแพ้และได้รับบาดเจ็บลงไปจากภูเขา สีหน้าของพวกเขาดูไม่ค่อยดีนักและดูเหมือนกำลังสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ นอกจากนี้เลือดยังคงไหลออกมาไม่หยุด

ผู้อาวุโสจวินแห่งเผ่าเพลิงฟ้าเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “ถ้าพวกเจ้าเผ่าปีศาจยื่นมือมาเร็วกว่านี้ พวกเราจะพ่ายแพ้จนหมดรูปเช่นนี้หรือ ไหนจะยังปล่อยให้ตันหุยกู่ตัดหน้าไปง่ายๆ อีก”

ผู้นำกองธงกล้วยไม้ยิ้มเยาะ “พวกเจ้าเผ่าเพลิงฟ้าก็เหลือคนฝีมือดีไว้คอยป้องกันพวกเราแค่เพียงหยิบมือเดียวมิใช่รึ ถ้ารวมกำลังกันและขึ้นไปอย่างพร้อมเพรียง พวกเจ้าคงจัดการได้เองโดยที่พวกเราไม่ต้องยื่นมือไปจัดการกับอสุรกายมังกรระดับเจ็ด สุดท้ายแล้วพวกเจ้าก็ยังไม่เชื่อใจพวกข้า”

ผู้อาวุโสอวิ๋นเฟยเยี่ยที่มักอารมณ์เสียอยู่เสมอไม่พอใจขึ้นมาทันที “ให้พวกข้าขึ้นไปด้วยกันจนได้รับบาดเจ็บทั้งหมด แล้วให้พวกเจ้าชุบมือเปิบไปง่ายๆ น่ะหรือ”

ผู้อาวุโสหวงไท่ซั่งผู้ลึกลับต่อว่าอย่างรุนแรง “พอได้แล้ว! แทนที่จะมัวมาพูดกันอยู่อย่างนี้ สู้ช่วยกันคิดดีกว่าว่าจะชิงไข่มุกมังกรมาจากเงื้อมมือของพวกตันหุยกู่อย่างไร”

ผู้อาวุโสหวงไท่ซั่งพูดไปแล้วก็กระอักเลือดออกมาก ดูแล้วเขาเองก็น่าจะบาดเจ็บสาหัสมิใช่น้อย

“ผู้นำพวกตันหุยกู่ในคราวนี้คือผู้นำของพวกนั้น แม้ว่าจะเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง แต่การชิงไข่มุกมังกรจากเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และข้าก็คิดว่าเราไม่จำเป็นต้องกลับไปขอกำลังเสริม อยู่ที่นี่รักษาบาดแผล รอจนอาการบาดเจ็บทุเลาแล้วค่อยดักซุ่มโจมตีตรงระหว่างทางลงเขา จากนั้นค่อยชิงไข่มุกมังกรมา” ผู้นำกองธงดอกท้อกล่าว

“เจ้าลองเงยหน้าดูสิ”

ผู้นำกองธงดอกท้อและคนอื่นๆ เงยหน้ามองและเห็นว่าก้อนเมฆบนท้องฟ้าเปลี่ยนสี ค่ายกลแปดทิศโอบล้อมอยู่รอบตัวมังกรอสูรระดับเจ็ด สกัดกั้นลูกไฟของมังกรอสูรไม่ให้ปะทุออกมา

ทุกคนตกตะลึง

ตันหุยกู่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ

แม้ว่ามังกรอสูรระดับเจ็ดจะบาดเจ็บหนัก ทว่าอูฐที่ผอมตายก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี

หากอสุรกายมังกรระดับเจ็ดโกรธขึ้นมา ไม่ว่าใครก็มีสิทธิ์ตายได้ทั้งนั้น พวกเขาคุกคามมังกรอสูรอย่างรวดเร็วเกินไปจนมังกรอสูรตอบโต้กลับและทำให้พวกเขาบาดเจ็บสาหัส

แต่คิดไม่ถึงว่าพวกตันหุยกู่จะทำให้มังกรอสูรหมดหนทางโต้กลับจนได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป มังกรอสูรจะต้องถูกพวกเขาปราบสำเร็จเป็นแน่

เมื่อคิดว่าสิ่งที่พวกเขาลงทุนลงแรงไปมากมายกำลังจะกลายเป็นของผู้อื่น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็เริ่มไม่พอใจ

ผู้อาวุโสจวินยังคงแปลกใจ “พวกตันหุยกู่แข็งแกร่งขนาดนี้เชียวรึ พวกเขาไม่ได้มีชื่อเสียงด้านการกลั่นยาหรืออย่างไร”

“ตันหุยกู่มีชื่อเสียงด้านการกลั่นยา แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าพวกนั้นมีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการสร้างค่ายกล ลองคิดดูสิ ตันหุยกู่เก่งกาจด้านการกลั่นยา มีหรือที่จะกลั่นยาเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พวกพ้องไม่ได้ เพียงแต่พวกนั้นอยู่กันเงียบๆ ดังนั้นคนอื่นจึงไม่รู้เรื่องนี้”

“มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว”

ผู้อาวุโสหวงไท่ซั่งกล่าวว่า “ไม่หรอก พวกนั้นน่าจะเห็นตอนที่เราต่อสู้กับมังกรอสูรระดับเจ็ดจนสังเกตเห็นจุดอ่อนของมัน ดังนั้นจึงจงใจโจมตีไปที่จุดอ่อนนั่น”

“แล้วพวกเราจะมัวนิ่งทำไมอยู่ รีบพักฟื้นก่อนแล้วค่อยรอซุ่มโจมตี กันไม่ให้พวกมันชิงไปได้ จริงด้วย พวกเจ้าควรพาเส่าอี๋ไปยังทีที่ปลอดภัยก่อน ต้องให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยจริงๆ ห้ามให้เขาเป็นอันตรายอีกเด็ดขาด”

ขณะนั้นเอง มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นให้เห็นรางๆ ไม่ไกลจากตรงนั้น ทว่าผู้อาวุโสไท่ซั่งก็สังเกตเห็นในทันที “นั่นใคร ออกมาบัดเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ออกมาฆ่าจะฆ่าเจ้า”

พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หากเป็นผู้ที่มีฝีมือแม้เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็อาจจะถูกปลิดชีวิตได้โดยง่าย ดังนั้นทุกคนจึงเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้

สายลมพัดโชยพร้อมกับกู้ชูหน่วนที่ปรากฏตัวออกมาอย่างรวดเร็ว นางจงใจล้มลงต่อหน้าพวกเขา เนื้อตัวของนางสกปรกมอมแมม ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูไม่ต่างอะไรกับขอทาน

ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยความสง่างามและความมั่นใจดูตื่นตระหนก นางปกป้องสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนเอาไว้และพูดด้วยเสียงสั่นเครือ “พวกท่านคิดจะทำอะไร”

“เป็นเจ้านี่เอง เหตุใดเจ้าจึงอยู่ที่นี่ เยี่ยเฟิงอยู่ไหน” ผู้นำกองธงกล้วยไม้จ้องมองนางอย่างเย็นชา ผู้หญิงคนนี้เป็นปีศาจ ไม่รู้ว่าคราวนี้นางจะมาไม้ไหนอีก

“เยี่ยเฟิงออกจากหุบเขาโลหิตหูหลูไปแล้ว”

“เจ้าซ่อนอะไรไว้ในมือของเจ้า”

กู้ชูหน่วนหน้าถอดสีเล็กน้อย ทว่าก็กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว นางแบมือทั้งสองข้างและเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ข้าเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง ในมือของข้าไม่มีอะไรทั้งนั้น ข้าเพียงแต่กลัวว่าบุรุษร่างใหญ่อย่างพวกท่านจะลวนลามข้าก็เท่านั้น”

ไม่มีใครเชื่อคำพูดของนาง

การแสดงออกเพียงเล็กน้อยของนางเป็นตัวฟ้องว่านางโกหก ไม่ว่านางจะดูสงบแค่ไหนทุกคนก็ยังจับได้

คนของเผ่าปีศาจเข้ามาโอบล้อมนางไว้ แม้ว่าคนของเผ่าเพลิงฟ้าจะเฝ้าสังเกตการณ์อยู่เฉยๆ แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะปล่อยกู้ชูหน่วนไป

“แม่สาวน้อย ข้าแนะนำให้เจ้ามอบของสิ่งนั้นมาเสียดีๆ ไม่อย่างนั้น… ฮึ…”

คำพูดของผู้นำกองธงกล้วยไม้แฝงไปด้วยคำเตือน

ผู้นำกองธงโบตั๋นทำเสียงจิ๊จ๊ะและเอ่ยว่า “ถึงแม้สาวน้อยจะดูสกปรกไปหน่อย แต่รูปร่างก็ยังพอไปไหว ลองเอามาทำเป็นเตียงอุ่นเสียหน่อยก็น่าจะดีไม่น้อย”

“พะ… พวกเจ้าคิดจะทำอะไร…”

“ข้าจะบอกให้รู้ไว้ว่าข้าคือพระชายาหาน หากพวกเจ้าทำอะไรข้า ท่านหานอ๋องไม่ปล่อยพวกเจ้าไว้แน่”

“ว่าไงนะ… เจ้าเป็นพระชายาของเยี่ยจิ่งหานงั้นรึ เช่นนั้นพวกข้าเผ่าเพลิงฟ้าก็ยิ่งปล่อยเจ้าไปไม่ได้ พวกเจ้า มาเอาตัวนางไปฆ่าเสีย”

ทุกคนรีบปรี่เข้ามาพร้อมกันเพื่อจะจัดการปลิดชีวิตกู้ชูหน่วน กู้ชูหน่วนรีบไปยืนที่ขอบหน้าผาอย่างไม่ลังเลพร้อมกับชูระฆังวิญญาณสะบั้นขึ้นมา “ถ้าพวกเจ้าเข้ามาอีกก้าวละก็ ข้าจะทิ้งระฆังวิญญาณสะบั้นลงไปในทะเลโลหิต”

“ระฆังวิญญาณสะบั้น เป็นระฆังวิญญาณสะบั้นจริงๆ”

ทุกคนมีสายตาแหลมคม

ระฆังในมือของกู้ชูหน่วนค่อยๆ เรืองแสงขึ้นมาพร้อมกับอักษรรูนที่เป็นประกายระยับ นอกจากนี้ยังมีพลังวิญญาณแผ่ซ่านออกมา ดูเรียบง่าย ทว่าก็ทำให้ทุกคนละสายตาไม่ได้

ว่ากันว่าเพียงแค่หาระฆังวิญญาณสะบั้นพบก็จะได้ไข่มุกมังกรมาไว้ในครอบครอง

เวลานี้หากพวกเขาคว้าระฆังวิญญาณสะบั้นมาได้ ขอเพียงจัดการกับมังกรอสูรได้ ผลของมันก็จะยิ่งทวีคูณ

ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องชิงระฆังวิญญาณสะบั้นมาให้ได้

“ส่งระฆังวิญญาณสะบั้นมาซะ แล้วข้าจะไม่ทำอะไรกับศพของเจ้า”

“ช่างน่าขันยิ่งนัก ถ้าตายไปแล้วศพที่เหลือจะยังมีความหมายอะไรอีก ถ้าพวกเจ้าปล่อยข้า ข้าอาจจะพิจารณามอบระฆังวิญญาณสะบั้นให้พวกเจ้าก็ได้”

“ถ้าเจ้าไม่ใช่ชายาของเยี่ยจิ่งหาน พวกข้าอาจจะปล่อยเจ้าไป แต่ในเมื่อเจ้าเป็นชายาของคนผู้นั้น พวกข้าเผ่าเพลิงฟ้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด”

“หืม… เจ้ามีความแค้นอะไรกับเยี่ยจิ่งหานงั้นหรือ”

“ฮึ จะให้หรือไม่ให้” ผู้อาวุโสหวงไท่ซั่งเอ่ยอย่างอดกลั้น หากกู้ชูหน่วนกล้าบอกว่าจะไม่ให้ละก็ เขาจะฆ่านางทันที

กู้ชูหน่วนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างรู้งาน “หากต้องเลือกระหว่างชีวิตกับไข่มุกมังกร ชีวิตย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว เพียงแต่ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเจ้าจะไม่กลับมาฆ่าข้าทีหลัง”

“ข้า ผู้อาวุโสไท่ซั่งแห่งเผ่าเพลิงฟ้าขอรับรองด้วยเกียรติของข้า ขอเพียงเจ้ามอบระฆังวิญญาณสะบั้นให้ข้า ไม่ว่าใครในที่นี้ก็จะทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ถ้าไม่… ฮึ…”

กู้ชูหน่วนลังเลอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังคิดว่าคำพูดของเขาเชื่อถือได้

เผ่าเพลิงฟ้าและเผ่าปีศาจรู้สึกไม่มั่นใจ

หากนางโยนระฆังวิญญาณสะบั้นลงไปในทะเลโลหิตจริงๆ ก็หมดโอกาสที่จะคว้าระฆังนั้นกลับคืนมาใหม่

โชคดีที่กู้ชูหน่วนยอมตกลง

“ก็ได้ ดูจากท่าทีที่มีเมตตาของเจ้า ข้าจะเชื่อเจ้า แต่เจ้าต้องคอยดูแลความปลอดภัยของข้า”

กู้ชูหน่วนว่าแล้วจึงโยนระฆังวิญญาณสะบั้นไปทางพวกเขา

คนจากเผ่าเพลิงฟ้าและเผ่าปีศาจรีบเข้าไปแย่ง แต่เมื่อผู้นำกองธงกล้วยไม้ขยิบตา ทุกคนก็หยุดอยู่กับที่

“ระฆังวิญญาณสะบั้นเป็นของจริง” ผู้อาวุโสหวงไท่ซั่งแสดงสีหน้าพอใจ ทว่าไม่กล้ามองแผนที่กับอักษรรูนบนระฆังวิญญาณสะบั้น

“นี่คือแผนที่ของหุบเขาโลหิตหูหลู คิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะยังมีเขตอาคมและสถานที่อันตรายที่ยังไม่รู้จักมากมายขนาดนี้ หากรู้เร็วกว่านี้เราคงไม่ต้องสูญเสียผู้คนไปมากมายเช่นนี้ ไม่น่ะ… เหตุใดแผนที่จึงมีอยู่เพียงครึ่งเดียว แล้วอีกครึ่งหนึ่งอยู่ไหน”