หนูข้ามถนน

 

ซูหลิงปู้สั่งให้หงหยิงถ่ายถอดเนื้อความออกไปทั้งหมดโดยละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นเขาพลันถอนหายใจเสียงใหญ่และทิ้งท้ายไปว่า

“เฮ้อ…ชสาวน้อยผู้น่าสงสาร หงหยิงพาแม่นางหวางหรูกลับไปพักผ่อนเถอะ!”

ด้วยนิสัยของเหลัยงหวางหรู การจะผลักดันนางจนมาถึงจุดนี้ได้กลับมิใช่เรื่องง่ายเลย

ในตอนนั้น ไม่ว่าเหลียงหวางหรูจะถูกทุบตีอย่างไร นางก็เลือกที่จะให้อภัยมทาโดยตลอด

แต่ความเฉยเมยของเหลียงหมิงอี้ที่มีต่อนางในครั้งนี้ จึงทำให้เหลียงหวางหรูสูญเสียความหวังและความเชื่อใจทั้งหมดไป

ในที่สุดนางก็ตาสว่าง ตระกูลเหลียงแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีที่ว่างสำหรับนางอีกต่อไป

 

ยามนี้ฝูงชนพินิจจับจ้องไปยังเหลียงหวางหรูที่เดินกลับไปทั้งน้ำตา ประกอบคำเนื้อความจากที่เขียนทั้งหมด สิ่งที่ทำให้หลายต่อหลายคนเห็นใจไปตามๆกัน

นี่คือเนื้อความที่ถูกกลั่นกรองมาจากประสบการณ์อันแสนขมขื่นตลอดหลายปีของนาง

 

ทันทีทันใด หวังเพียนหลานรู้สึกได้ถึงจิตสังหารจากคนรอบข้างที่รายล้อม ทุกสายตาต่างจับจ้องนางด้วยความรังเกียจสุดหัวใจ

สายตานั้นยังเผยให้เห็นถึงความโกรธเกรี้ยว ที่พวกตนถูกสุกรอ้วนนี่หลอกใช้ประโยชน์!

จำต้องหน้าด้านเพียงใด ถึงบอกว่าเหลียงหวางหรูเปรียบเสมือนลูกแท้ๆ

ทั้งที่ความเป็นจริง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหลียงหวางหรูถูกทุบตีดุด่าราวกับไม่ใช่คน

ส่วนเรื่องอื่นๆ คงไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใดอีก!

 

“เจ้า…พวกเจ้าจะทำอะไร? ข้า…พี่ชายของข้าเป็นถึงประมุขตระกูลหวัง หวังหลินโป!”

หวังเพียนหลานตะคอกขู่ทุกคนเสียงดังลั่น

 

“ถุย!! ตระกูลหวังมันแน่แค่ไหนเชียว!”

เสมหะสีขาวขุ่นก้อนใหญ่พุ่งแปะหน้าหวังเพียนหลานอย่างแม่นยำ จากนั้นยังมีธารเสมหะจากฝูงชนนับไม่ถ้วนถ่มถุยกระหน่ำใส่ทั่วหน้าทั่วตัวของหวังเพียนหลานต่อไม่หยุดหย่อน

เสี้ยวอึดใจต่อมา กลิ่นเน่าเหม็นพลันคลุ้งไปทั่วร่างอ้วนๆของนาง จนนางหายใจแทบไม่ออก

นางเร่งปรี่ร้นถอยในทันใด แต่ต้องพลาดสะดุดขาตัวเองจนล้มขมำไปกับพื้นดิน นี่ยิ่งเข้าทางทุกคน ฝูงชนทั่วสารทิศตรงเข้ามากระหน่ำถุยเสมหะก้อนหนาอัดนางประดุจสายฝน

 

“ถุย! ไอ้สวะ!”

 

“ถุย!! รีบๆไปให้พ้นหน้า!”

 

“ถุย! คิดว่าตัวเองวิเศษวิโสเพียงใด! ไสหัวไป!”

 

 

……………..

 

 

คำสาปแช่งพร้อมน้ำลายปนก้อนเสมหะสาดกระเซ็นจากทั่วทุกมุม หวังเพียนหลานในยามนี้เนื้อตัวเปียกชโลมน้ำลายเหนียว ส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากร่างกาย

เมื่อทุกคนตระหนักได้ว่าตนถูกหลอกใช้ ความงจริงเผยปรากฏ พวกเขาโกรธเกี้ยวเป็นที่สุด

ยามนี้ถ่มถุยน้ลายจนปากแห้ง บางคนถึงขั้นสั่งน้ำมูกใส่จนหวังเพียนหลานไม่มีที่หลบ

 

“กรี๊ดด! กรี๊ดด! กรี๊ดดด!! น่าขยะแขยง! ไอ้พวกบัดซบ! พวกแก…พวกแกตายแน่! ข้าจะสั่งให้พี่ขายมาไล่ฆ่าพวกแกทีละคน อ๊อกก…”

ในขณะที่หวังเพียนหลานกำลังอ้าปากตะโกนขู่ ก็มีเสมหะก้อนหนึ่งพุ่งเข้าปากนางโดยตรง

นางไม่สามารถทนรับไหวอีกต่อไป และเริ่มอาเจียนออกมากองกับพื้น

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ทุกคนต่างหัวเราะเยาะด้วยความสะใจ

ภาพฉากในขณะนี้คือ หวังเพียนหลานที่กำลังนอนจมกองอ้วกพร้อมก้อนเสหมะชโลมทั่วร่าง คำขู่ของหวังเพียนหลานกลับไม่มีผลอันใดเลย ซึ่งหากกล่าวตามจริง ไม่ว่าตระกูลหวังจะทรงอิทธิพลอย่างไร แต่การจะฆ่าล้างผู้คนจำนวนมหาศาลขนาดนี้กลับไม่มีทางเป็นไปได้

หวังเพียนหลานในปัจจุบัน ไม่ต่างอะไรกับสุกรที่ถูกทุกคนถ่มถุยทุบตีอย่างสนุกมือ

 

อย่างไรก็ตามแต่ ถึงทุกคนจะมุงรังแกนางเพียงใด ทว่านั้นไม่ถึงขั้นฆ่าแกง ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอจนทำให้นางจำฝังใจไปชั่วชีวิตแล้ว

ในความเป็นจริง ปล่อยให้นางตายไปยังดีเสียกว่าด้วยซ้ำ

แม่เลี้ยงชั่วควรได้รับความอัปยศเช่นนี้

เนื่องจากหวังเพียนหลานไม่สามารถพยุงตัวขึ้นได้เลย ดังนั้นเหล่าผู้ใต้บัญชาของนางจึงทำให้เพียงแหวกฝูงชนเข้ามาช่วย และนำตัวนางออกจากหอมหาสมบัติทันที

 

หวังหลิงโปที่เห็นแบบนั้นช่างมีความสุขประดุจบุปผางามบานในใจ เห็นยามนี้หวังเพียนหลานจากไป เขาก็แยปากกล่าวขึ้นพร้อมเสียงดังฟังชัดว่า

“ตอนนี้ ทุกท่านคงทราบแล้วใช่หรือไม่ หอมหาสมบัติของเราหาใช่ฆาตกร ในภายภาคหน้า หากมีใครถูกวางยาพิษ สามารถมาได้ที่หอมหาสมบัติของเรา! ทุกท่านจงมั่นใจ ข้าคนนี้ขอรับประกัน โอสถถอนพิษของที่นี่มีประสิทธิภาพดีเลิศ!”

 

เมื่อคำกล่าวเช่นนี้ออกมา ต่างทำให้ทุกคนตื่นตะลึงในทันใด!

 

“ผู้จัดการซู ท่านกำลังจะบอกว่า…ไม่มีพิษชนิดใดที่พวกท่านไม่สามารถถอนได้?”

มีบางคนกล่าวขึ้นด้วยความสงสัย

 

ซูหลิงปู้ยิ้มและกล่าวว่า

“แน่นอนว่าข้าไม่กล่วาเกินจริงขนาดนั้น! บนมหาพิภพแห่งนี้มีพิษพันหมื่นชนิด แล้วข้าจะรักษาได้หมดอย่างไร? แต่พิษทุกชนิดภายในเมืองกุยฉางแห่งนี้ พวกเราหอมหาสมบัติขอรับประกัน สามารถรักษาได้ทั้งหมด!”

ความหมายในคำกล่าวนี้ค่อนข้างชัดเจนเกินไป!

ตั้งแต่เย่หยวนเข้ามา หอมหาสมบัติก็แข็งแกร่งขึ้นโดนพลัน

ถ้าแม้แต่พิษขนวิหคพันราตรียังสามารถรักษาได้ แล้วยังมีพิษใดน่ากลัวอีก?

ทุกคนต่างตระหนักชัดแจ้งดีเยี่ยมถึงความรุนแรงของพิษขนวิหคพันราตรี โดยธรรมชาติหากไม่สามารถรักษาได้จริง ย่อมไม่มีใครกล้ารับประกันขนาดนี้แน่นอน

 

“ผู้จัดการซู หรือเป็นไปได้ไหมที่…อาคันตุกะนักหลอมโอสถคนใหม่ของหอมหาสมบัติ เป็นคนหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะขึ้นเองกับมือ?”

มีบางคนเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง

 

ซูหลินปู้กล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มว่า

“หากกล่าวถึงอาคันตุกะนักหลอมโอสถของเรา เขามีนามว่าเย่หยวน และยังเป็นบุคคลที่น่าทึ่งนัก! ทุกคนคงทรราบดีว่า ทะเลจิตศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้รับความเสียหายหนักจนไม่สามารถระดมสร้างพลังปราณเทวะได้ ดังนั้นเขาจึงหลอมกลั่นโอสถโดยใช้ศาสตร์แห่งค่ายกล!”

 

“ห่ะ?! หลอมกลั่นโอสถโดยใช้ค่ายกล!”

 

“ภูมิหลังของอาคันตุกะท่านนี้เป็นใครกันแน่? ไฉนถึงเก่งฉกาจถึงขั้นใช้ค่ายกลเพื่อหลอมกลั่น!”

 

“ผู้จัดการซู พวกท่านเก็บไพ่ตายสุดยอดไว้กับตัวโดยแท้ ดูเหมือนว่าในภายภาคหน้า หอมหาสมบัติจะมีแต่ของดีมาวางจำหน่าย!”

 

 

…………………..

 

 

ซูหลิงปู้ที่กล่าวเช่นนั้นออกไป มันได้กลายมาเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในตอนนี้ทันที

ทุกคนต่างตกตะลึงจนแทบลืมหายใจ

ไม่ว่าจะเป็นโอสถล้างพิษขั้นเทวะ หรือการหลอมกลั่นโอสถด้วยศาสตร์แห่งค่ายกล ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับเมืองกุยฉางแห่งนี้

ท้ายที่สุดนี้ ในขั้นต้นทุกคนต่างคิดว่า เหลียงหวางหรูสิ้นใจตายไปแล้ว

แต่นี่ไม่เพียงนางยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่พวกเขายังได้มาพบเจอกับเรื่องมหัศจรรย์ชนิดนี้อีก!

 

เมื่อเห็นภาพฉากเหล่านี้ ซูหลิงปู้ก็ยิ้มจนตาหยี๋

ด้วยเหตุนี้ชื่อเสียงของเย่หยวน จึงดังกระช่อนไปทั่วทั้งเมืองกุยฉางอย่างรวดเร็ว

ในอนาคตต่อไป ไม่เพียงอำนาจอิทธิของหอมหาสมบัติจะขยายตัวขึ้นจนบดบังตระกูลอื่นๆ แต่เหล่านักสู้ยอดฝีมือแทบทั้งหมดต่างต้องขอร้องอ้อนวอนเย่หยวนให้ช่วยหลอมกลั่นโอสถให้

 

 

……………………….

 

 

ภายในโรงน้ำชา หลู่จินห่าวและหลินซือเทียนค่อยๆนั่งลงอย่างแช่มช้า ขณะนี้พวกเขายังระทึกใจไม่ได้สติดี

ทันทีที่เหลียงหวางหรูปรากฏตัวขึ้นมา ทั้งสองที่กำลังนั่งจิบน้ำชาถึงกับลุกพรวดขึ้นมาพร้อมกัน

เหตุการณ์สำคัญระดับนี้ มันเพียงพอแล้วที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงในเมืองกุยฉางในปัจจุบัน!

ใครๆต่างก็คิดกันว่า กิจการของหอมหาสมบัติอาจถึงขั้นล้มละลาย ยามนั้นอำนาจอิทธิพลของตระกูลหลู่และตระกูลหลินจะต้องผงาดขึ้นอย่างรวดเร็ว

แต่เรื่องกลับกลายมาเป็นแบบนี้ พวกเขาทั้งสองตระกูลเองต้องได้รับผลกระทบแน่นอน

อย่างไรก็ตามแต่ ฝ่ายที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดยังคงหนีไม่พ้น ตระกูลหวัง!

 

“ตาแก่หลู่ ข้าคิดไม่ออกจริงๆว่า หยางรุยไปเสาะหาสัตว์ประหลาดชนิดนี้มาจากไหน!”

หลินซือเทียนกล่าวขึ้นพลางจิบชาด้วยความขื่นขม

 

หลู่จินห่าวยิ้มตอบอย่างขมขื่นไม่ต่าง เขากล่าวว่า

“อาคันตุกะนักหลอมโอสถคนใหม่ของหอมหาสมบัติ ช่างลึกลับอย่างแท้จริง! แต่ใครจะไปคิดว่า เขาจะทรงพลังมากฝีมือขนาดนี้! หลังจากนี้ต่อไป พวกเราสองตระกูลจำต้องเผชิญกับความยากลำบากเสียแล้ว”

 

“นั้นสิ! นักหลอมโอสถผู้นั้นสามารถหลอมกลั่นโอสถล้างพิษขั้นเทวะได้จริงๆ สถานะของพวกเราในยามนี้กลับไม่นับเป็นอันใดแล้ว! แต่กระนั้นเอง คนที่ปวดเศียรที่สุดยังเป็นหวังหลินโป เรื่องของวันนี้คงไปปิดกั้นอนาคตอันสดใสของตระกูลหวังหมดสิ้น?”

หลินซือเทียนคลี่ยิ้มไม่คลายอ่อน

 

“หึ เจ้านั้นกำลังขุดหลุมฝังตัวเอง! สร้างความวุ่นวายมากว่าหนึ่งเดือน สุดท้ายกลับเป็นผลเสียครั้งใหญ่หลวง!”

หลู่จินห่าวกล่าวขึ้นด้วยความยินดีเจือลึก

 

 

………………………

 

 

ต่อสรรพเหตุการณ์ภายนอก เย่หยวนกลับตัดขาดโดยสิ้นเชิง

สำหรับเขาในตอนนี้ทุกเสี้ยวอึดใจมีค่าล้ำ

การหลอมกลั่นโอสถปราณเทวะและโอสถล้างพิษ ถึงจะทำได้อย่างน่าประทับใจ แต่โอสถทั้งสองชนิดนั้นกลับเป็นเพียงพื้นฐาน

โอสถตราสวรรค์หนึ่งดาว ทั้งยากและซับซ้อนยิ่งกว่าโอสถทั้งสองชนิดนั้นนับพันหมื่นเท่า!

แม้เย่หยวนจะใช้ระยะเวลาอันสั้นหลอมกลั่นโอสถสองชนิดนี้ ทว่าโอสถตราสวรรค์กลับต้องใช้เวลาถึงสิบปี!

 

เย่หยวนยังคงดำดิ่งอยู่กับการฝึกปรืออย่างบ้าคลั่ง ภูมิความรู้ปริมาณมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่ห้วงสมองของเขาเต็มไปหมด

เขากัดฟันแน่นและพยายามทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า!