เมื่อทั้งสองขึ้นไปถึงยอดเขา ศาลารับลมกลับมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
หลิงเถี่ยหานพาเหลิ่งหลิวเย่ว์และบัณฑิตขี้โรคนั่งรับลมและพูดคุยกันอยู่ภายในศาลา เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นม่อซิวเหยากับเยี่ยหลี ก็ดูจะตกใจไม่น้อย นิ่งไปครู่หนึ่งถึงได้เอ่ยออกมาว่า “ติ้งอ๋อง? ชายาติ้งอ๋อง?”
เดิมทีม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีก็เพียงเปลี่ยนการแต่งกายเล็กน้อยเท่านั้น หากเป็นคนที่ไม่เคยพบหน้าพวกเขามาก่อน ย่อมยากที่จะคิดโยงไปถึงพวกเขาได้ แต่หากเจอหน้าคนที่เคยรู้จักตรงๆ แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถปิดบังไว้ได้
ม่อซิวเหยาก็ไม่หลบเลี่ยง ประคองเยี่ยหลีก้าวขึ้นไปถึงบันไดขั้นสุดท้าย เลิกคิ้วยิ้มให้ทั้งสามพร้อมเอ่ยว่า “เจ้าสำนักหลิง? ยินดีที่ได้พบ”
หลิงเถี่ยหานเห็นว่าม่อซิวเหยาดูจะอารมณ์ดีอยู่พอสมควร จึงเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงก้องว่า “ยินดีที่ได้พบจริงๆ เดิมทีข้ายังคิดว่าปีนี้ติ้งอ๋องจะมาไม่ได้เสียแล้ว ไม่คิดว่าจะบังเอิญได้พบที่นี่ เป็นอย่างไรบ้าง? การประลองยุทธที่ท่านอ๋องติดไว้เมื่อหลายปีก่อน สามารถกลับมาจัดได้หรือยังหรือ”
คิ้วคมของม่อซิวเหยาเลิกขึ้นทันที อมยิ้มเอ่ยกับหลิงเถี่ยหานว่า “เจ้าสำนักจะประลองยุทธกับข้าในเวลานี้จริงๆ หรือ ถึงยามนั้นงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพก็คง…เมื่อครู่ข้าได้เห็นคุณหนูมู่หรง ช่างเป็นสาวงามแห่งแคว้นโดยแท้ เจ้าสำนักไม่ใจเต้นสักนิดเลยหรือ”
หากพวกเขาทุ่มเทพลังทั้งหมดในการต่อสู้กัน แล้วยังมีผู้ใดสามารถไปร่วมการชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพได้อีกล่ะก็ เช่นนั้นก็บอกได้เพียงว่า ทั้งสองคนล้วนออมแรงให้อีกฝ่ายแล้ว
หลิงเถี่ยหานพ่นเสียงหัวเราะออกทางจมูก นัยน์ตามีแววดูแคลนและเฉยเมย “ก็แค่เด็กสาวที่คิดว่าตนเองฉลาดเท่านั้น ข้ามิได้มาเพื่อตระกูลมู่หรงเสียหน่อย”
ถึงแม้หลิงเถี่ยหานจะมีฐานะเป็นนักฆ่า แต่กลับมีนิสัยที่สุขุมและมั่นคง น้อยนักที่จะเห็นเขาแสดงท่าทีเหยียดหยามและไม่พอใจต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าคุณหนูมู่หรงท่านนั้นทำอันใด ถึงทำให้เขาโกรธเข้า
“เดิมทีข้าคิดจะมาเจอเหลยเจิ้นถิง แต่ในเมื่อได้พบท่านที่นี่ เหลยเจิ้นถิงก็มิได้ถือว่าสำคัญอันใด ว่าอย่างไร…ติ้งอ๋องยินดีชี้แนะข้าสักเล็กน้อยหรือไม่”
เมื่อเหลยเจิ้นถิงเอ่ยปากอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ถึงแม้เขาคิดอยากมาหาเรื่องเหลยเจิ้นถิง แต่เหลยเจิ้นถิงเขาจะสามารถไปหาเมื่อใดก็ได้ แต่ม่อซิวเหยากลับมิใช่คนที่เขาสามารถประมือกับเขาเมื่อใดก็ได้
หลายปีมานี้หลิงเถี่ยหานก็รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การฝึกวรยุทธของตนย่ำอยู่กับที่ไม่ก้าวหน้าขึ้น เห็นได้ชัดว่ามาถึงช่วงคอขวดเสียแล้ว หากได้ประมือกับยอดฝีมือเช่นม่อซิวเหยา ไม่แน่ว่าเขาอาจจับจุดอันใดได้ จนฝีมือก้าวขึ้นอีกขั้นก็เป็นได้
ม่อซิวเหยาก้มลงมองเยี่ยหลี
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ยื่นมือมาตบแขนเขา แล้วถึงได้ปล่อยมือถอยหลังไปสามสี่ก้าว เข้าไปยังศาลารับลม
ส่วนหลิงเถี่ยหานนั้นเดินออกมาก่อนแล้ว
ม่อซิวเหยาอมยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็มีวาสนาได้รับการชี้แนะจากฝีมือชั้นเลิศของเจ้าสำนักหลิงแล้ว”
ภายในศาลารับลม เยี่ยหลีเพียงพยักหน้าให้เหลิ่งหลิวเย่ว์กับบัณฑิตขี้โรคเท่านั้น ทั้งสามจับจ้องไปยังทั้งสองที่ด้านนอกศาลานิ่ง ยามนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีเวลามาเอ่ยทักทาย พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยแล้ว
หลิงเถี่ยหานอยู่ในชุดผ้าสีน้ำเงิน หากเทียบกับรัศมีของเขาเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ดูจะนิ่งและมีรัศมีแห่งความยิ่งใหญ่ขึ้นอีก
หากว่าเรื่องอายุ หลิงเถี่ยหานอายุเกินสี่สิบปีแล้ว เพียงแต่กำลังภายในที่ล้ำลึกและการฝึกวรยุทธทำให้เขายังดูเหมือนบุรุษฉกรรจ์วัยสามสิบต้นๆ คนหนึ่งเท่านั้น
แสงหนึ่งเป็นประกายแวบผ่านในดวงตา ดามยาวโบราณหน้าตาเรียบง่ายเล่มหนึ่งตกลงมาอยู่ในมือของหลิงเถี่ยหาน
บนยอดเขา มีบุรุษในชุดสีน้ำเงินยืนถือดาบอยู่ ประหนึ่งภูเขาไท่ซานที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่ง ทำให้ผู้คนต้องหันมอง
ม่อซิวเหยาเองก็อยู่ในชุดสีขาวธรรมดาทั่วไป เส้นผมดำขลับพลิ้วไหวประหนึ่งเมฆ มุมปากมีรอยยิ้มจางๆ แฝงอยู่ เห็นได้ชัดว่าสามารถสู้กับหลิงเถี่ยหานได้ ซึ่งทำให้เขาดูอารมณ์ดีไม่น้อย
ดวงตาเขาเป็นประกาย ประกายสีขาวแวบผ่านดวงตาเขา แล้วในมือของม่อซิวเหยาก็มีดาบอ่อนเป็นประกายเย็นเยียบปรากฏขึ้นในมือ
ดาบในมือเขาไม่เหมือนกับดาบในมือหลิงเถี่ยหานที่ดูเก่าแก่และเรียบง่าย แต่ดาบอ่อนในมือม่อซิวเหยาดูพลิ้วบางประหนึ่งปีกจั๊กจั่น แค่เพียงขยับข้อมือ ใบมีดก็ขยับเคลื่อนไหวไม่หยุด
ทั้งสองไม่มีผู้ใดชิงลงมือก่อน ทั้งสองยืนจ้องตาอีกฝ่ายอยู่เป็นนาน ชุดเสื้อผ้าและเส้นผมขยับเคลื่อนไหวน้อยๆ อยู่บนร่างกายเองโดยไม่มีแรงลม
อีกสามคนที่อยู่ในศาลารับลมต่างพากันกลั้นใจรอ จับจ้องไปยังทั้งสองที่ยืนนิ่งอยู่ ทั้งสองเอียงตัวค่อยๆ ตั้งท่าเดินพลัง ทำให้พวกเขาต่างรับรู้ได้ถึงแรงกดดันจางๆ ที่แผ่ออกมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ๆ ทั้งสองก็ถีบตัวขึ้น ร่ายรำกระบวนท่าต่างๆ กลางอากาศ
เยี่ยหลีเบิกตากว้างขึ้นอย่างอดไม่อยู่ สายตาพยายามจับจ้องไปยังกระบวนท่าของทั้งสองที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่นางมองเห็นกลับเป็นเพียงร่างลวงตาสีน้ำเงินและสีขาวที่เคลื่อนไปมาเท่านั้น
เยี่ยหลีรู้ดีว่ามิใช่พวกเขากลายเป็นร่างลวงตาไปจริงๆ เพียงแต่พวกเขาเคลื่อนตัวกันรวดเร็วเกินไป ด้วยความสามารถในการมองเห็นและวิทยายุทธของนาง ไม่มีทางที่จะมองท่าทางของพวกเขาออกได้ชัดเจน
ในชั่วเวลานั้น เยี่ยหลีเข้าใจถึงเรื่องหนึ่งว่า ด้วยความสามารถของตน บางทีอาจสามารถต่อกรกับยอดฝีมือทั่วไปได้ แต่หากต้องปะทะกับสุดยอดฝีมืออย่างหลิงเถี่ยหานและม่อซิวเหยาแล้ว ยังถือว่าห่างไกลอยู่มาก นางรู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมาเล็กน้อย แล้วเยี่ยหลีก็ขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
มือหนึ่งจับลงบนหัวไหล่ของนาง ปฏิกิริยาตอบโต้ของนางคิดอยากปัดมือนั้นออก แต่ก็ได้ยินเสียงเรียบเรื่อยของเหลิ่งหลิวเย่ว์ดังขึ้นว่า “ไม่ต้องฝืน”
เยี่ยหลีผินหน้าไปมอง เหลิ่งหลิวเย่ว์กับบัณฑิตขี้โรคต่างมิได้จับจ้องไปยังทั้งสองที่ต่อสู้กันอยู่ เพียงเหลือบมองเป็นระยะๆ เท่านั้น เหลิ่งหลิวเย่ว์ยังไม่เท่าไร แต่บัณฑิตขี้โรคที่เดิมทีหลายปีมานี้ดูแลร่างกายจนดีขึ้นมากแล้ว แต่สีหน้าของเขากลับเปลี่ยนเป็นซีดขาว
เหลิ่งหลิวเย่ว์เอ่ยอธิบายให้นางฟังอย่างตั้งใจว่า “ยามที่สุดยอดฝีมือเขาปะทะกัน ฝีมือของพวกเราแตกต่างกันมากเกินไป ดูไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ทั้งยังอาจจะทำให้จิตหลุดเข้าไปอยู่ในการต่อสู้ของพวกเขาอีกด้วย”
ก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาและเจิ้นหนานอ๋องก็เคยต่อสู้กันมาก่อน แต่นั่นไม่ถือว่าเป็นการทุ่มเทพลังทั้งหมด ทั้งสองต่างออมฝีมือกันไว้ แต่ครานี้ หลิงเถี่ยหานกับม่อซิวเหยากลับใช้พละกำลังสูงสุดของพวกเขาเข้าห้ำหั่นกับอีกฝ่าย เมื่อทั้งสองทุ่มเทพลังทั้งหมดเข้าใส่กันเช่นนี้ ความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นในการต่อสู้ในกระบวนท่าของพวกเขา ก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่มีวิทยายุทธอ่อนด้วยหรือมีจิตใจที่ไม่แน่วแน่ อย่างเบาอาจได้รับบาดเจ็บภายใด แต่หากอย่างหนัก อาจถึงขั้นเสียสติไปเลยก็เป็นได้
จิตใจของเยี่ยหลี หากนับกับคนในโลกนี้ก็ถือว่าติดหนึ่งในสิบ เพียงแต่การฝึกฝนกำลังภายในของนางกลับเริ่มต้นช้าเกินไป อย่างมากก็เพียงสามารถเทียบเคียงได้กับบัณฑิตขี้โรคเท่านั้น แต่หากเทียบกับเหลิ่งหลิวเย่ว์แล้ว ก็ยังห่างชั้นกันอยู่ไม่น้อย
เมื่อครู่นางใช้สมาธิทั้งหมดจับจ้องไปยังกระบวนท่าในการต่อสู้ระหว่างม่อซิวเหยาและหลิงเถี่ยหาน หากมิใช่เหลิ่งหลิวเย่ว์เข้ามาขัดไว้ เกรงว่ายามนี้นางคงบาดเจ็บภายในไปแล้ว
ความประสงค์ดีของเหลิ่งหลิวเย่ว์ เยี่ยหลีย่อมนึกขอบคุณนาง นางเบนไปสายตาไปมองทั้งสองที่กำลังต่อสู้กันอยู่ ในใจนึกทอดถอนใจน้อยๆ เมื่อได้เห็นวิทยายุทธของม่อซิวเหยาและหลิงเถี่ยหานที่ฝึกปรือมา นางมิใช่ไม่นึกอิจฉา เพียงแต่นางเริ่มต้นช้าเกินไปสักหน่อย การฝึกวิทยายุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกำลังภายในนั้น จำเป็นต้องฝึกตั้งแต่เล็กๆ เรื่องราวของตัวละครในนิยายที่ได้รับยาวิเศษหลิงตัน กับตำราวิชาลึกลับอันใดนั่น ทำให้จากคนที่เดิมไม่เป็นอันใดเลย กลายเป็นยอดฝีมือแห่งยุคนั้น อย่างไรก็เป็นเพียงเรื่องที่แต่งเติมขึ้น
เหลิ่งหลิวเย่ว์ดูเหมือนจะรู้สึกดีต่อเยี่ยหลีมากพอตัว เมื่อเห็นนางขมวดคิ้ว จึงเอ่ยเบาๆ ขึ้นว่า “ดูเฉยๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก แต่อย่าฝืนตนเองจนเกินไปก็พอ ติ้งอ๋องกับพี่ใหญ่ล้วนรู้ว่าอันใดควรไม่ควร ไม่มีทางสู้จนบาดเจ็บสาหัสกันไปทั้งสองฝ่ายหรอก”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ขอบคุณเจ้าสำนักเหลิ่งมาก”
นางหันมองทั้งสองที่ด้านนอกด้วยความจนใจ หากฝืนสักหน่อย นางยังพอมองออกบ้างเล็กน้อย แต่หากไม่ฝืนเลย ก็เท่ากับนางมองอันใดไม่ออกเลยนี่สิ
เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว เยี่ยหลีจึงไม่หันไปมองด้านนอกอีก แต่กลับหลับตาลงฟังความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นด้านนอกอย่างตั้งใจแทน
เหลิ่งหลิวเย่ว์เมื่อเห็นเช่นนั้น ในดวงตาที่เรียบเย็นก็ปรากฏประกายชื่นชมขึ้นจางๆ