ระหว่างการต่อสู้ ดาบทั้งสองกระทบกันเป็นระยะๆ จดเกิดเป็นประกายไฟขึ้น แต่ประหลาดยิ่งนักที่ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ในศาลา กับมิได้ยินเสียงกระทบกันของอาวุธใดๆ เลย
เยี่ยหลีนั่งเอนพิงเสาของศาลารับลม ตาทั้งสองข้างหลับลงน้อยๆ พยายามรับรู้พลังที่เคลื่อนไหวอยู่ในอากาศด้วยความตั้งใจ จนในที่สุดนางก็สัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนจากพลังมหาศาลที่สัมผัสได้ยากยิ่ง แต่หากได้มองดูแล้วกลับดูเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง ซึ่งนั่นเป็นแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากกำลังภายในของทั้งสองในยามที่ปะทะกัน
การต่อสู้ครานี้ ดำเนินต่อไปถึงสองชั่วยามเต็มๆ แต่คนที่สังเกตการณ์อยู่ทั้งสามคน ถึงแม้จะมองอันใดไม่ชัดเลยแม้สักกระบวนท่า แต่ก็ยังไม่รู้สึกหมดความอดทน
แล้วจู่ๆ เยี่ยหลีก็รู้สึกถึงพลังโจมตีอันรุนแรงพุ่งแหวกอากาศเข้ามาเสียดแทงศีรษะตน จึงรีบเบิกตาขึ้น ก็ทันเห็นว่าร่างสีน้ำเงินและสีขาวต่างพากันถอยไปด้านหลัง
“พี่ใหญ่!” เหลิ่งหลิวเย่ว์อุทานขึ้นเบาๆ กระโดดลอยตัวพุ่งออกไป ยื่นมือไปประคองหลิงเถี่ยหานที่โงนเงนคล้ายจะล้ม
หลิงเถี่ยหานผลักมือเหลิ่งหลิวเย่ว์ออก โบกมือเป็นสัญญาณบอกนางว่าไม่ต้องเป็นห่วง แล้วถึงค่อยเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ม่อซิวเหยา “ติ้งอ๋องช่างเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากจริงๆ ข้าขอนับถือ”
ถึงแม้ม่อซิวเหยาจะยังยืนตัวตรงอยู่ แต่สีหน้าของเขาก็มิได้ดูดีกว่าหลิงเถี่ยหานสักเท่าไรนัก แต่ในแววตาของทั้งสองกลับเต็มไปด้วยความยินดีและพอใจ เขายิ้มเอ่ยว่า “เจ้าสำนักหลิงฝึกวรยุทธได้ล้ำลึกยิ่งนัก ข้าเองก็ขอนับถือ การต่อสู้ในวันนี้ ข้าได้รับความรู้ไปไม่น้อย ขอบคุณเจ้าสำนักหลิงมาก”
หลิงเถี่ยหานหัวเราะเสียงก้อง “พวกเราไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจาตามมารยาทกันเช่นนี้ การได้ต่อสู้กับติ้งอ๋อง ก็ถือว่าข้าเดินทางมาไม่เสียเที่ยวแล้ว ข้าขอตัวก่อน ไม่รบกวนติ้งอ๋องและพระชายาแล้ว”
“เจ้าสำนักหลิงค่อยๆ เดิน” เยี่ยหลีเดินช้าๆ ออกมาจากศาลารับลมพลางเอ่ยขึ้น นางเดินเข้าไปข้างกายม่อซิวเหยาพร้อมมองสำรวจเขา ใช้พลังมากเกินไป กำลังภายในก็โดนทำลายไปอย่างหนัก ทั้งยังอาการบาดเจ็บภายในที่ไม่ถือว่าหนักหนานัก ในการประลองยุทธกับยอดฝีมือที่มีฝีมือความสามารถเทียบเท่ากันเช่นนี้ บาดเจ็บเท่านี้ถือว่าเบาแล้ว ในใจเยี่ยหลีลอบถอนใจเบาๆ
เมื่อมองส่งคณะหลิงเถี่ยหานทั้งสามคนไปแล้ว เยี่ยหลีถึงได้ประคองม่อซิวเหยาเข้าไปนั่งในศาลารับลม เอ่ยถามว่า “อาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง ยามนี้สามารถลงเขาได้หรือไม่”
ม่อซิวเหยาฝืนยิ้มอย่างจนใจ “หลายปีนี้อ่อนซ้อมไม่น้อย ดูเหมือนข้าจะบาดเจ็บหนักกว่าหลิงเถี่ยหานอยู่เล็กน้อย”
หากว่าด้วยเรื่องความทุ่มเทในการฝึกซ้อมแล้ว ม่อซิวเหยาสู้หลิงเถี่ยหานไม่ได้จริงๆ ไม่ต้องพูดถึงการที่เขาต้องคอยสอบถามเรื่องการทหารและการดูแลชาวบ้านจำนวนมากด้วยตนเอง แค่เพียงด้วยฐานะติ้งอ๋องของเขา ชะตาก็ได้กำหนดไว้แล้วว่าเขามิอาจใช้เวลาจำนวนมากไปกับการฝึกวรยุทธได้ แต่ม่อซิวเหยากลับกับคนอื่น นั่นคือมีพรสวรรค์เจ็ดส่วน มีความพยายามสามส่วน เพียงแต่ดูท่ายามนี้ การทุ่มเทฝึกฝนอย่างไรก็ดูจะใช้ประโยชน์ได้จริงมากกว่า
ม่อซิวเหยาต้องยอมรับว่า ต่อให้ตนจะไม่พ่ายแพ้ให้กับหลิงเถี่ยหาน แต่เอาเข้าจริงเขาก็ยังอ่อนด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย
“เดิมทีก็มิใช่คนที่มีวิถีเดียวกันอยู่แล้ว หรือท่านอ๋องคิดจะไปเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งด้านวรยุทธอย่างนั้นหรือ” เยี่ยหลีมิได้คิดที่จะปลอบใจเขา จึงเพียงเอ่ยเช่นนั้นเรียบๆ
ต่อให้วรยุทธของม่อซิวเหยาจะสูงส่งเพียงใด แต่สิ่งที่เขาต้องให้ความสำคัญอย่างไรก็คือกองทัพตระกูลม่อ และประชาชนในซีเป่ย ต่อให้เขากลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งต้าฉู่ ก็ไม่มีทางจะกวาดล้างใต้หล้าด้วยตนเองเพียงคนเดียวได้
การทุ่มเทพัฒนาฝีมือของตนเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพียงแต่หากเพียงเพื่อยกระดับชื่อเสียงของตนเองเพียงคนเดียวจนละเลยภาพใหญ่ นั่นก็คงบอกได้เพียงว่าเป็นการให้ความสำคัญกับสิ่งที่ผิด
เดิมทีม่อซิวเหยาก็มิได้ตั้งใจจะผูดติดตนเองกับเรื่องนี้อยู่แล้ว ที่เอ่ยต่อหน้าเยี่ยหลีก็เพียงเพราะต้องการร้องขอความเห็นใจเท่านั้น เมื่อได้ยินเยี่ยหลีเอ่ยเช่นนี้จึงย่อมมิได้สนใจอันใด เพียงยิ้มเอ่ยว่า “ที่แห่งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว หากกลับไปเมืองหลวงก็มีแต่จะมีคนมารบกวน พวกเราพักกันที่นี่สักพักเถิด อาหลีรอข้าได้หรือไม่”
เยี่ยหลีพยักหน้าเป็นการตอบรับ
ม่อซิวเหยามิได้พูดอันใดให้มากความ หลับตาเดินกำลังภายในอยู่ในศาลารับลมเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บภายในของตนทันที
การนั่งของม่อซิวเหยานั้น เป็นการนั่งไปตลอดครึ่งวันและอีกหนึ่งคืนเต็มๆ ไม่รู้ว่าที่ตีนเขาด้วยเพราะเหตุเรื่องคุณหนูมู่หรงผู้นั้นหรือไม่ วันนี้ทั้งวันจึงไม่มีผู้ใดขึ้นมาเดินเล่นที่ด้านบนเลย
เยี่ยหลีก็มิได้รบกวนม่อซิวเหยา ตกเย็นก็เดินไปเด็ดผลไม้ป่าที่ยังสุกอยู่สามสี่ผลจากต้นไม้ที่อยู่ห่างจากศาลารับลมไปไม่ไกลนักมากินพอให้อิ่มท้อง
เช้าตรู่วันต่อมา เมื่อพระอาทิตย์เคลื่อนตัวผ่านหมู่เมฆขึ้นทางทิศตะวันออกแล้ว ม่อซิวเหยาถึงได้ลืมตาขึ้น
ดวงตาที่เพิ่งลืมขึ้นคู่นั้นมีประกายคมกล้าแวบผ่าน ความเย็นชาที่แผ่ออกมาน้อยๆ ก็ดูจะมีความอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
ม่อซิวเหยาผินหน้าไปมองสตรีที่นั่งเอนพิงเสานอนหลับอยู่ นัยน์ตายิ่งมีคลื่นแห่งความอ่อนโยนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เพียงม่อซิวเหยาลุกยืนขึ้น เยี่ยหลีก็ลืมตาทันที “หายแล้วหรือ”
“ลำบากอาหลีแล้ว นอนต่ออีกหน่อยเถิด” ม่อซิวเหยาดึงนางเข้ามากอดกับอก พร้อมเอ่ยเสียงเบา
เยี่ยหลีส่ายหน้า พิงกายลงกับอกเขาครู่หนึ่ง “ลงเขากันดีกว่า ข้าชักหิวแล้ว ท่านไม่ได้กินอะไรทั้งวัน ก็น่าจะหิวแล้วเช่นกัน”
การไม่ได้พักผ่อนสักหนึ่งหรือสองคืน สำหรับพวกเขาแล้วไม่ถือว่าเป็นอันใดมากนัก อีกทั้งนางยังได้เอนตัวหลับพักผ่อนอยู่กว่าครึ่งคืน หากมิได้จำเป็นจริงๆ เยี่ยหลีก็ไม่ค่อยชอบปล่อยให้ตนเองท้องหิว
ม่อซิวเหยากอดนางไว้ เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำว่า “ได้ เช่นนั้นก็ลงเขากันเถิด”
การที่ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีมิได้กลับมาที่พักทั้งคืนนั้น มิได้เป็นที่รับรู้ของผู้ใด แต่เหรินฉีหนิงกลับสังเกตได้ถึงเรื่องนี้ แต่ด้วยเพราะตัวเขาเองก็มีธุระปะปังอยู่มาก จึงย่อมไม่มีเวลาว่างไปซักถามเรื่องว่าทั้งสองคนที่สืบไม่พบแม้แต่ฐานะของพวกเขาว่าหายไปที่ใด
ดังนั้นเช้าตรู่วันต่อมา เมื่อประตูเมืองเปิด ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีก็เดินเรื่อยๆ กลับไปยังโรงเตี๊ยมภายในเมือง โดยมิได้ดึงดูดความสนใจของผู้ใด ทั้งสองนั่งลงที่โถงใหญ่ของโรงเตี๊ยม สั่งอาหารมากิน ระหว่างที่พวกเขากินกันอยู่นั้น หูก็คอยฟังสิ่งที่ผู้คนพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่วัดเจาหนิงเมื่อวานนี้ไปด้วย
การปรากฏตัวขึ้นอย่างใหญ่โตของคุณหนูมู่หรงผู้นั้น ย่อมดึงดูดความสนใจของคนจำนวนนับไม่ถ้วน ว่ากันว่าที่หน้าประตูวัดแห่งนั้น จู่ๆ ก็มีลมอ่อนๆ หอบหนึ่งพัดจนผ้าคลุมหน้าของคุณหนูมู่หรงปลิวขึ้น ใบหน้าของสตรีที่อยู่หลังผ้าคลุมหน้านั้น งดงามยิ่งนัก จนทำให้ยอดบุรุษแห่งยุทธภพทั้งหลายพากันหลงใหล ประตูวัดแห่งนั้น จึงกลายดูมีมนต์เสน่ห์ขึ้นมาเสียเฉยๆ
เยี่ยหลีฟังด้วยความสนใจ ผินหน้าไปเอ่ยถามม่อซิวเหยาว่า “คุณหนูมู่หรงผู้นั้นงดงามเพียงนั้นเชียวหรือ”
นางเองก็ได้เห็นคุณหนูมู่หรงผู้นั้น ถึงแม้ด้วยเพราะมีผ้าคลุมหน้าคอยพรางอยู่ เห็นเพียงดวงตาของนาง แต่เยี่ยหลีเห็นว่า อย่างน้อยดวงตาคู่นั้นก็ยังสู้ซูจุ้ยเตี๋ย หลิ่วกุ้ยเฟย หรือแม้กระทั่งเหยาจีไม่ได้ ดวงตาคู่นั้นของนาง เยี่ยหลีเห็นว่า ต่อให้คุณหนูมู่หรงเป็นสาวงามจริง ก็คงไม่ถึงกับงดงามตรึงตราตรึงใจแห่งยุคอย่างแน่นอน
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “ก็แค่ธรรมดาๆ”
เยี่ยหลีเอียงคอมองเขา ระบายยิ้ม “ท่านอ๋องช่างมีสายตาที่สูงส่งนัก”
ในโลกนี้ สตรีที่ได้ชื่อว่างดงามแห่งยุค ดูเหมือนม่อซิวเหยาจะได้พบมาหมดแล้ว ก็ไม่แปลกหากจะไม่ถูกใจคนงามอย่างคุณหนูมู่หรงผู้นี้
ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้งกับเยี่ยหลีว่า “ข้าย่อมมีสายตาที่สูงส่งอยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะมีภรรยาเช่นอาหลีได้อย่างไร”
เยี่ยหลีเบ้ปาก เขาเป็นคนเลือกนางเองหรืออย่างไร เพียงแต่หลายปีนี้เยี่ยหลีก็ได้เข้าใจแล้วว่า หากในยามนั้น ม่อซิวเหยาไม่คิดจะแต่งงานกับนางจริงๆ คงได้หาทางขัดวางการแต่งงานนี้ไปแล้ว “เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณที่ท่านอ๋องพึงใจข้า”
“ภรรยาไม่ต้องเกรงใจ สามีเองก็ต้องขอบคุณภรรยามากที่ไม่รังเกียจ” ทั้งสองคนต่างมิใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ หากดื้อดึงไม่ยอมรับการแต่งงานครั้งนั้น อย่าว่าแต่ม่อจิ่งฉีเป็นผู้พระราชทานงานสมรสเลย ต่อให้เป็นเทพจากสวรรค์ ก็คงถูกพวกเขาทำให้ต้องป่วยใจตาย
“คุณหนูมู่หรงทำเช่นนี้หมายความเช่นไรกัน” เยี่ยหลีย่นคิ้วเอ่ยถามเสียงเบา ที่หน้าประตูวัดมีลมหอบหนึ่งพัดมาจนผ้าคลุมหน้าปลิวขึ้น เรื่องบังเอิญที่เกิดขึ้นอย่างประหลาดเช่นนี้ ทำให้คนถึงกับพูดไม่ออก คนที่เคยใช้ผ้าคลุมหน้าต่างรู้กันดีว่า ต้องเป็นลมที่แรงเพียงใดถึงจะสามารถพัดของสิ่งนั้นให้ปลิวขึ้นได้
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ “เลือกคู่เขยนี่…ในใต้หล้านี้หาใช่ทุกคนที่ชื่นชอบในทรัพย์สมบัติไม่ หากถึงเวลาเกิดมีคนไปน้อย ตระกูลมู่หรงจจะไม่เสียหน้าเอาหรือ ถึงยามนั้นหากมีคุณชายชั้นสูงไปร่วมแย่งชิงนางจำนวนมาก ก็คงรู้สึกได้หน้าเช่นกัน”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว ยามนี้ม่อซิวเหยาก็ว่างอยู่มิได้มีธุระอันใดติดตัว แต่กลับไม่อยากพูดคุยเรื่องนี้แล้วหรือ นางยักไหล่ นางเองก็ไม่ใคร่ยินดีที่จะใคร่ครวญเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ถึงอย่างไรก็มีพี่ใหญ่อยู่ทั้งคน “เอาเถิด พวกเราไปดูเรื่องสนุกกันสักหน่อยก็แล้วกัน คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าพอใจ “ในที่สุดภรรยาก็เข้าใจสามีเสียที”
แล้วในที่สุดวันงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพที่ทุกคนตั้งตารอก็มาถึง งานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพจัดขึ้นที่ลานกว้างหน้าบ้านตระกูลมู่หรง ที่กว้างขวางเสียจนสามารถสร้างเป็นจัตุรัสได้เลยทีเดียว
ในวันงานนั้น ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีไปถึงไม่ช้าไม่เร็วเกินไปนัก ยามที่พวกเขาไปถึงบ้านตระกูลมู่หรง มีคนมาออกันอยู่จำนวนมากแล้ว ทุกที่เต็มไปด้วยศีรษะคน ซึ่งมิได้มีเพียงยอดฝีมือแห่งยุทธภพ ท่านอ๋องราชนิกุล และชนชั้นสูงผู้มีอิทธิพลเท่านั้น แต่ยังมีชาวบ้านในเมืองอันที่แวะมาร่วมชมความสนุกอีกด้วย
แต่ที่ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกตกใจไม่น้อยก็คือ แม้แต่เจิ้นหนานอ๋องและม่อจิ่งฉีก็ถึงกับมาร่วมงานด้วยตนเอง
เจิ้นหนานอ๋องก็ว่าไปอย่าง เขาเป็นคนซีหลิงทั้งยังเป็นหนึ่งในสี่ยอดฝีมือ การมาปรากฏตัวอยู่ในงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล แต่ม่อจิ่งฉีผู้นี้ อย่าว่าแต่ยามเป็นฮ่องเต้เลย แม้แต่ยามที่เป็นรัชทายาทก็ไม่เคยก้าวออกจากเมืองหลวงมาก่อน หรือว่าตระกูลมู่หรงจะมีแรงดึงดูดใจมากกว่าความสำคัญของชีวิตเขาอีกอย่างนั้นหรือ
“ซิวเหยา?” เมื่อเห็นม่อจิ่งฉี สิ่งแรกที่เยี่ยหลีทำก็คือการหันไปมองม่อซิวเหยา
ม่อซิวเหยาก้มหน้าลงยิ้มน้อยๆ ให้นาง “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ลงมือทำอันใดเขาในยามนี้หรอก”
หากเป็นเมื่อหกปีก่อน หากจู่ๆ บังเอิญเจอม่อจิ่งฉีเช่นนี้ ก็เป็นไปได้สูงที่ม่อซิวเหยาจะมุทะลุ พุ่งตัวเข้าไปฆ่าม่อจิ่งฉีให้ตายเสียเดี๋ยวนั้น แต่เวลาที่ผ่านมาหกปี ถึงแม้ความแค้นที่ฝังลึกเข้าไปถึงกระดูกจะยังมีอยู่ แต่ความมุทะลุเช่นนั้นกลับค่อยๆ หายไป เขาไม่มีทางให้ม่อจิ่งฉีได้ตายสบายๆ เขาต้องการให้เขาไม่อยากแม้แต่จะร้องขอชีวิต แต่อยากจะตายก็ตายไม่ได้!
เมื่อเห็นว่าม่อซิวเหยาดูสงบอยู่มาก เยี่ยหลีถึงได้วางใจมองสำรวจต่อไป แล้วถึงได้สังเกตเห็นว่า คนที่ม่อจิ่งฉีพามาทุกคน ล้วนเป็นยอดของยอดฝีมือ ถึงแม้จะมิได้เก่งกาจเทียบเท่าม่อซิวเหยา แต่หากเลือกใครสักคนให้ไปอยู่ในยุทธภพ แน่นอนว่าจะต้องกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างแน่นอน ซึ่งนี่ทำให้เยี่ยหลีอดสงสัยไม่ได้ว่า ม่อจิ่งฉีได้คัดเลือกเอายอดฝีมือที่สามารถคัดเลือกได้จากราชวงศ์มาหมดแล้วหรือไม่ ถึงแม้พี่น้องม่อจิ่งฉีจะเป็นคนที่ทุกคนต้องส่ายหน้าดิก แต่เมื่อเทียบกับม่อจิ่งหลีแล้ว อย่างน้อยความกล้าของเขาก็ยังดีกว่าเสด็จพี่ฮ่องเต้ของเขาอยู่เล็กน้อย