ตอนที่ 247-2 การรวมตัวของยอดบุรุษ

ชายาเคียงหทัย

บริเวณหน้าสุด มีโต๊ะและเก้าอี้วางอยู่จำนวนไม่น้อย บนโต๊ะยังมีผลไม้สดที่ซื้อมาจากทางตอนใต้ของต้าฉู่โดยเฉพาะวางตั้งอยู่ ที่ตรงนั้นย่อมเตรียมไว้ให้สำหรับผู้ที่มีฐานะและมีชื่อเสียงนั่ง ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลียามนี้เป็นเพียงคู่สามีภรรยาที่ไร้ชื่อเสียงคู่หนึ่ง ย่อมไม่มีสิทธิได้นั่งตรงจุดนั้น

ทั้งสองเพียงยืนอยู่บนกิ่งไม้บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างจากเวทีไปไม่ไกลนัก หากเหน็ดเหนื่อยก็ยังสามารถเอนตัวพิงต้นไม้พักสักหน่อยได้ หรือจะนั่งลงไปบนกิ่งไม้เลยก็ยังได้

ด้านหน้า เจิ้นหนานอ๋องที่มาถึงก่อนแล้ว พาเหลยเถิงเฟิงพูดคุยปราศัยอยู่กับพี่น้องม่อจิ่งฉี

เยี่ยหลีเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “เหลยเถิงเฟิงดูเหมือนจะแต่งชายารัชทายาทไปแล้ว เจิ้นหนานอ๋องคงมิได้นึกสนใจในคุณหนูมู่หรงขึ้นมากระมัง”

ม่อซิวเหยาที่เอามือโอบเอวนางอยู่ เอนตัวพิงกับต้นไม้อย่างเกียจคร้านพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นจะมีอันใดแปลกกัน ชายาเจิ้นหนานอ๋องเสียชีวิตไปหลายปีมากแล้ว เพียงแต่ไม่แน่ว่าตระกูลมู่หรงจะถูกใจในตำหนักเจิ้นหนานอ๋อง”

ซึ่งนั่นมิใช่เพราะตำหนักเจิ้นหนานอ๋องมีอำนาจไม่เพียงพอ แต่เป็นเกินจะพอต่างหาก หนำซ้ำเจิ้นหนานอ๋องและตระกูลมู่หรงต่างก็อยู่ในซีหลิง ไม่ว่าคุณหนูมู่หรงจะแต่งงานกับผู้ใดในตำหนักเจิ้นหนานอ๋อง ตั้งแต่นั้น ตระกูลมู่หรงก็จะไม่มีตัวตนอยู่อีกต่อไป

เยี่ยหลีเข้าใจในทันที แต่ยังคงขมวดคิ้วเอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า “หากข้าเป็นคนของตระกูลมู่หรง ก็ควรถ่อมตนสักหน่อย หาคนธรรมดาสักคนที่มีความสามารถและสามารถพึ่งพิงได้มาคอยสนับสนุนตระกูลมู่หรง เมื่อมีมู่หรงสยงคอยนั่งคุมอยู่ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดใจกล้าทำอันใดไม่ดีอย่างแน่นอน การทำเช่นในยามนี้ จะไม่เป็นการชักศึกเข้าบ้านหรือ หรือว่ามู่หรงสยงมีความสามารถมากพอที่รับมือยอดบุรุษทั้งใต้หล้าได้”

ม่อซิวเหยายิ้มตาหยี “ก็อย่างที่ภรรยาเคยพูดไว้ประโยคหนึ่ง อันใดนะที่ว่า…คนบางคน ก็ชอบแสดงให้เห็นถึงการมีตัวตนใช่หรือไม่นะ”

บุคคลสำคัญที่อยู่ด้านหน้าสุดต่างพากันนั่งประจำที่ ดังนั้นจึงยิ่งทำให้ที่นั่งที่ว่างอยู่ยิ่งดูสะดุดตาเป็นพิเศษ

เจิ้นหนานอ๋องเลิกคิ้วมองที่นั่งที่อยู่ตรงข้ามตน “งานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพปีนี้ ติ้งอ๋องถึงขั้นไม่คิดจะมาร่วมเป็นเกียรติในงานเชียวหรือ”

เหลยเถิงเฟิงยิ้ม “ติ้งอ๋องไม่รอให้ถึงวันราชาภิเษกขององค์หญิงอันซี ก็ออกเดินทางกลับซีเป่ยกับพระชายาเสียแล้ว เกรงว่าคงด้วยเพราะมีธุระสำคัญจึงไม่ทันได้มาร่วมงานนี้”

คนที่นั่งอยู่ไม่ว่าจะเป็นคนที่ไร้หัวคิดเพียงใด ก็คงคิดไม่ถึงว่า จะมีคนผิดปกติที่บินหนีไม่ยอมอยู่ร่วมงานราชาภิเษกของประมุขแห่งแคว้น เพียงเพื่อออกไปท่องเที่ยวกับภรรยากระมัง

ดังนั้นทุกคนจึงต่างเชื่อมั่นว่า ติ้งอ๋องและพระชายารีบร้อนเดินทางกลับซีเป่ยไปกันแล้วจริงๆ และจะต้องเพราะด้วยมีเรื่องสำคัญบางอย่างอย่างแน่นอน

“การไม่ได้ประมือกับติ้งอ๋องอีกสักครั้ง ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายของชีวิตข้าจริงๆ” เจิ้นหนานอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยความเสียดายเล็กน้อย แต่ในใจกลับลอบคิดถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในซีเป่ยช่วงนี้

เขาได้รับข่าวว่าติ้งอ๋องและชายาติ้งอ๋องเดินทางกลับซีเป่ยกันไปแล้วจริงๆ กองทัพตระกูลม่อที่อยู่ในซีเป่ยก็เริ่มมีแววว่าจะเคลื่อนพล แต่กลับไม่เหมือนว่ากำลังจะยกทัพจับศึก จึงทำให้ติ้งอ๋องก็คาดเดาไม่ออกว่าม่อซิวเหยาคิดทำการใดกันแน่ แต่เพื่อให้ปลอดภัยไว้ก่อน เจิ้นหนานอ๋องจึงได้ลอบเคลื่อนทหารสองแสนนายขึ้นไปเพิ่มกำลังรักษาการณ์บริเวณชายแดนที่ติดกับซีเป่ยไว้ก่อน

“ติ้งอ๋องไม่สามารถมาร่วมงานได้ ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ เพียงแต่ที่ฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ถึงขั้นมาร่วมงานที่ซีหลิงได้ ข้าที่เป็นเจ้าบ้านก็ควรจัดงานเลี้ยงต้อนรับฮ่องเต้แห่งต้าฉู่ให้สมเกียรติ” เจิ้นหนานอ๋องหันไปยิ้มเอ่ยกับม่อจิ่งฉี

ม่อจิ่งฉียิ้ม “ท่านอ๋องไม่ต้องเกรงใจ ข้าก็แค่เพียงมารับชนความสนุกด้วยก็เท่านั้น ทำให้ท่านอ๋องต้องเห็นขันแล้ว”

เจิ้นหนานอ๋องเพียงยิ้มแต่มิได้เอ่ยอันใด เขาเห็นขันแล้วจริงๆ ถึงแม้เจิ้นหนานอ๋องจะมีองครักษ์ชุดแพรอยู่สามพันนาย แต่ก็ไม่เคยทำเช่นม่อจิ่งฉี ที่ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์ที่คอยคุ้มกันข้างกาย เรื่อยไปจนไปถึงบ่าวไพร่รับใช้ ก็ล้วนเป็นยอดฝีมือกันทุกคนเช่นนี้ นี่ถือเป็นการกลัวตายจนถึงระดับหนึ่งแล้วจริงๆ

ม่อจิ่งฉีคิดจริงๆ หรือว่ายอดฝีมือจำนวนมากเช่นนี้ไม่ต้องการเงินทาง หรือเขาคิดว่า ยอดฝีมือเหล่านี้พร้อมใจกันยินดีที่จะมาเป็นคนรับใช้ของเขาโดยไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอันใดแม้สักนิด? นึกย้อนไปถึงเมื่อครู่ที่ม่อจิ่งฉีได้ยินว่าม่อซิวเหยาไม่มาร่วมงานนี้ แล้วสีหน้าดูเบาใจลงนั้น เจิ้นหนานอ๋องก็ได้เข้าใจเขาอย่างถ่องแท้ เมื่อม่อจิ่งฉีล่วงเกินคนเช่นม่อซิวเหยาจนสุดทางแล้ว ม่อจิ่งฉีก็ควรหาองครักษ์ที่เก่งกาจไว้คอยปกป้องตนเองจริงๆ นั่นล่ะ

“เจ้าสำนักหลิง แห่งสำนักเยี่ยนอ๋องมา!” เสียงสูงก้องดังไปทั่วทั้งบริเวณ แสดงให้เห็นว่าคนที่ตระกูลมู่หรงเตรียมไว้ร้องประกาศชื่อนั้นก็ยังเป็นคนที่มีฝืมือ

เมื่อทุกคนหันไปมอง ก็เห็นว่าหลิงเถี่ยหานยังอยู่ในชุดธรรมดาที่น้ำเงินทั่วไป ด้านหลังมีเหลิ่งหลิวเย่ว์และบัณฑิตขี้โรค เดินพร้อมกันเข้ามาอย่างองอาจ เมื่อเทียบกับคนจำนวนมาที่ต่างแต่งกายกันอย่างหรูหราแล้ว หลิงเถี่ยหานที่แต่งกายธรรมดาๆ กับดูมีบารมีมากกว่าเสียอีก จอมยุทธหนุ่มเมื่อได้เห็นหลิงเถี่ยหานตัวเป็นๆ ใบหน้าก็เผยให้เห็นความเคารพนับถือ

เมื่อเจิ้นหนานอ๋องเห็นหลิงเถี่ยหานที่เดินเรื่อยๆ เข้ามาก็อดหางตากระตุกขึ้นไม่ได้ เมื่อเทียบกับคราก่อนที่ได้พบกันแล้ว วิทยายุทธของหลิงเถี่ยหานดูจะสูงขึ้นไปอีกขั้น หากคราก่อนที่ได้พบกันในเมืองหลี เขายังพอมั่นใจว่าจะสามารถต่อสู้กับหลิงเถี่ยหานได้เสมอหรือไม่แน่ว่าอาจจะเหนือกว่าอยู่เล็กน้อยแล้ว ในครานี้ความมั่นใจนั้นกลับไม่หลงเหลืออยู่อีกเลย

“เจ้าสำนักหลิง” ถึงแม้หลิงเถี่ยหานจะดูมีบารมีอย่างน่าเกรงขาม แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่มีฐานะพิเศษ นั่นคือเป็นนักล่าค่าหัวที่ทุกคนต่างรู้กันเป็นอย่างดี จึงทำให้มีคนเอ่ยทักทายเขาไม่มากนัก

หลิงเถี่ยหานพยักหน้าให้กับคนที่เอ่ยทักทายเขา ก่อนเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองทุกคนที่นั่งอยู่โดยรอบ แล้วนัยน์ตาก็ปรากฏแววผิดหวัง

เจิ้นหนานอ๋องยิ้มเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าสำนักหลิงกำลังมองหาติ้งอ๋องหรือ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก ติ้งอ๋องน่าจะติดภารกิจ ปีนี้จึงไม่อาจมาร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพได้”

หลิงเถี่ยหานหลุบตาลง มิได้บอกเรื่องที่เมื่อสองวันก่อนเขาได้พบม่อซิวเหยา เอ่ยเรียบๆ ว่า “ในเมื่อติ้งอ๋องไม่มา อีกเดี๋ยวคงต้องขอให้เจิ้นหนานอ๋องช่วยชี้แนะแล้ว”

ติ้งอ๋องไม่มามิใช่หรือ เช่นนั้นให้เขามาเป็นคู่ต่อสู้ก็ยังพอฝืนไปได้ หลิงเถี่ยหานที่เพิ่งทะลายคอขวดของตนลงได้ กำลังร้อนวิชาต้องการยอดฝีมือมาลับฝ่ามือเขาอยู่พอดี มิเช่นนั้นวันนี้ก็คงไม่มาร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพอันใดที่ว่านี้หรอก

เจิ้นหนานอ๋องสะอึกไป ถึงแม้เขาจะมาร่วมงาน แต่ก็มิได้คิดที่จะออกไปประมือกับผู้ใด เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น ความสนใจของเจิ้นหนานอ๋องก็มิได้อยู่ที่การฝึกวิทยายุทธอีกต่อไปแล้ว วิทยายุทธของเขาต่อให้ในใต้หล้าจะไร้คู่ทัดเทียมเพียงใด แต่จะสุขสมเท่ากับการได้ครอบครองใต้หล้าได้อย่างไร

“ประมุขตระกูลมู่หรงมา! คุณหนูมู่หรงมา!” ในลานชุมนุมมีเสียงประกาศดังขึ้นอีกครั้ง เจิ้นหนานอ๋องและคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ล้วนพากันหน้าบึ้งตึงลงด้วยความไม่พอใจ พวกเขาล้วนเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ของแต่ละฝ่าย หยิ่งผยองกันจนเคยชิน และสิ่งที่ทนไม่ได้ที่สุดก็คือคนที่ทำตัวโอ้อวดเสียยิ่งใหญ่กว่าพวกเขา หากคนผู้นี้เป็นคนที่มีอำนาจบารมีทัดเทียมกับตนก็แล้วไปเถิด แต่นี่เป็นเพียงพ่อค้ากลับทำเช่นนี้ คนที่มีสีหน้าย่ำแย่ที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเจิ้นหนานอ๋องและเหลยเถิงเฟิงแล้ว เพราะถึงอย่างไรตระกูลมู่หรงก็อยู่ในอาณาเขตของซีหลิง ก็ถือว่าเป็นขุนนางของซีหลิง

ไม่นาน ก็ได้เห็นประมุขตระกูลมู่หรงที่อายุล่วงเลยวัยหกสิบปีไปแล้ว ผมและหนวดเคราขาวโพลนไปทั้งศีรษะ เดินนำคุณหนูมู่หรงที่อยู่ในชุดสีม่วงอ่อน ปักลายกิ่งดอกฝูหรง เดินออกมาจากประตูบ้านตระกูลมู่หรง ทุกคนที่เดินทางมาถึงที่ลานย่อมต้องหลีกออกเป็นทางให้ มองดูแล้วมีความคล้ายคลึงกับการมีผู้คนมายืนออต้อนรับกันอยู่หลายส่วน

ทุกคนสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่า ข้างกายประมุขตระกูลมู่หรง มีชายชราอีกคนหนึ่งที่อายุดูไล่เรี่ยกับประมุขตระกูลมู่หรงเดินตามมาอยู่ด้วย เขามิได้ใส่เสื้อผ้าหรูหราอันใด แม้แต่รูปลักษณ์ก็มิได้โดดเด่น คนทั่วไปอาจไม่ได้รู้สึกอันใดมากนัก แต่หลิงเถี่ยหานและเจิ้นหนานอ๋องกลับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ทั้งสองหันมองอีกฝ่าย รัศมีของชายชราผู้นี้ ดูจะแข็งแกร่งกว่าประมุขตระกูลมู่หรงนั่นสักสิบเท่าเห็นจะได้

ถึงแม้ลักษณะท่าทางของเขาจะมิได้มีอันใดโดดเด่น แต่กลับเดินเคียงคู่มากับประมุขตระกูลมู่หรง หากลองสังเกตดีๆ ก็จะพบว่า อันที่จริงประมุขตระกูลมู่หรงดูจะให้ความเคารพและเกรงใจเขาอีกด้วย ไม่ต้องใช้เวลามาก ทั้งสองก็คาดเดาได้แล้วว่า คนผู้นี้มีฐานะเช่นไร

ประมุขตระกูลมู่หรงเดินขึ้นมาข้างหน้า กวาดตามองทุกคนที่นั่งอยู่ เมื่อกวาดไปเห็นที่นั่งตำแหน่งของติ้งอ๋องยังว่างอยู่ก็อึ้งไปเล็กน้อย แววตาดูครึ้มลง แต่ใบหน้ายังคงอมยิ้มเอ่ยว่า “ข้าน้อยประมุขตระกูลมู่หรงรุ่นปัจจุบัน ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพในวันนี้ การชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพในครานี้ เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ตระกูลมู่หรงจึงได้เชิญยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งยุทธภพเมื่อห้าสิบปีก่อน ท่านผู้อาวุโสมู่หรงสยงมาเป็นผู้ตัดสินในครานี้

เมื่อกล่าวออกไปเช่นนี้ ก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นในหมู่ฝูงชนทันที ทุกคนพากันหันมองไปทางชายชราในชุดผ้าที่เมื่อเข้ามาในงานก็เดินไปนั่งลงตรงตำแหน่งหน้าสุดอย่างไม่สนใจผู้ใดทันที เดิมทียังต่างพากันคาดเดาถึงฐานะของชายชราผู้นี้ เมื่อได้มารู้ในยามนี้ จึงต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ประหนึ่งหม้อที่ระเบิดออกทันที

ประมุขตระกูลมู่หรงดูจะพอใจที่เห็นทุกคนตื่นตกใจ เขายิ้มพร้อมพยักหน้า “ผู้อาวุโสมู่หรงปิดประตูไม่พบผู้ใดมาหลายสิบปี เรื่องวิทยายุทธเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งเดียวแห่งยุค เมื่อได้ท่านมาเป็นผู้ตัดสินย่อมถือว่าเหมาะสมเป็นที่สุด”

หลิงเถี่ยหานหัวเราะเยาะออกมาทีหนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบๆ ว่า “เหตุใดข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า งานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพจำเป็นต้องมีผู้ตัดสินด้วย”

การต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือในงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพ แต่ไหนแต่ไรมาก็ต่อสู้กันจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมแพ้ทั้งกายและใจ ย่อมไม่จำเป็นต้องมีผู้ที่เรียกว่าผู้ตัดสิน

ใบหน้าของประมุขตระกูลมู่หรงแข็งเกร็งไปเล็กน้อย รอยยิ้มที่ส่งให้หลิงเถี่ยหานดูอ่อนลงเล็กน้อย “การชุมนุมใหญ่ในครานี้ ในเมื่อจัดขึ้นที่บ้านตระกูลมู่หรง แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลมู่หรงไม่ชื่นชอบการเห็นเลือด ย่อมต้องมีการสั่งให้หยุด”

หลิงเถี่ยหานส่งเสียงหึเบาๆ เอนตัวกลับพิงพนักเก้าอี้ และมิได้พูดอันใดอีก

ส่วนคุณหนูมู่หรงที่ยืนอยู่ด้านหลังประมุขตระกูลมู่หรงนั้น ไม่แม้แต่ส่งสายตามามอง การกระทำอันไร้มารยาทเช่นนี้ ทำให้ประมุขตระกูลมู่หรงยากจะทานทน เขาเหลือบมองมู่หรงสยงที่พอนั่งลงได้ก็หลับตาพักผ่อน ในขณะที่ประมุขตระกูลมู่หรงกำลังคิดจะพูดอันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงที่ด้านนอกมีคนตะโกนรายงานขึ้นว่า “คุณชายชิงเฉินแห่งเมืองหลีมา!”